รีวิว ทดลองขับ All-New Honda HR-V e:HEV RS ขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว อัตราประหยัดน้ำมัน 25.6 กม./ลิตร
รีวิว ทดลองขับ All-New Honda HR-V e:HEV RS ขุมพลังไฮบริด ราคา 1.179 ลบ.
หลังจากความยอดเยี่ยมของ Civic ใหม่ ก็ตามมาติดๆ ด้วย HR-V รถแบบเอสยูวีขนาดกะทัดรัดจาก Honda ที่เปลี่ยนใหม่หมดจดทุกกระเบียดนิ้ว นั่นรวมถึงระบบขับเคลื่อนที่หันมาใช้แบบไฮบริดในทุกเกรดเลเวล… ด้วยขุมพลังใหม่บวกกับการโฟกัสไปที่ความสนุกในการขับขี่ยิ่งขึ้น ส่งให้ HR-V เป็นรถที่น่าประทับใจมากทีเดียว!
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร ขนาด 106 แรงม้า และ 127 นิวตันเมตร ทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมทัพด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (ซึ่งทำกำลังได้มากกว่าเครื่องยนต์ซะอีก!!!) ขนาด 131 แรงม้า 253 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปสู่เกียร์อัตราทดคงที่ โดยแยกออกเป็น 2 ชุด สำหรับเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างละชุด ไม่มีตัวเลขจาก Honda ว่า HR-V ให้พละกำลังรวมได้เท่าไหร่
แต่คุณก็ยังสัมผัสถึงความกระฉับกระเฉงของรถรุ่นใหม่นี้ได้ผ่านอัตราเร่งที่น่าพึงพอใจ ไม่ถึงกับหวือหวาแต่ก็มีชีวิตชีวากว่าโมเดลที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ อัตราสิ้นเปลืองซึ่งทำได้ถึง 16 กม./ลิตร แม้ถูกกระหน่ำคันเร่งเกือบตลอดการขับทดสอบของเราก็ตาม! หากขับใช้งานทั่วไป คาดว่าจะทำได้ราว 18-20 กม./ลิตร เลยทีเดียว
บนถนนระหว่างเมือง HR-V ใหม่ ให้ความนุ่มนวลได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนเมื่อวิ่งผ่านผิวทางขรุขระ ทั้งยังทรงตัวมั่นคงขณะเข้าโค้งกว้างๆ ด้วยความเร็วอีกด้วย ต้องขอบคุณการจัดวางเลย์เอาท์ของช่วงล่างใหม่หมด เพื่อลดความฝืดในการทำงานขณะเริ่มหมุนพวงมาลัย ส่งให้ช่วงล่างด้านหน้าทำงานฉับไวและตอบสนองยิ่งขึ้น ขณะที่ด้านหลังใช้บุชแบบน้ำมันร่วมด้วยเรทสปริงที่น้อยลง (นิ่มกว่าเดิม) เพื่อช่วยลดความถี่ของแรงสั่นสะเทือน จึงเพิ่มความนุ่มนวลได้มากยิ่งขึ้น
HR-V จะทำให้คุณประหลาดเมื่ออยู่บนเส้นทางที่อุดมไปด้วยโค้ง แม้จะมีอาการอันเดอร์สเตียร์และเอียงตัวค่อนข้างมากตามประสาเอสยูวี ทว่าระบบบังคับเลี้ยวที่ยอดเยี่ยมจะช่วยเรียกความมั่นใจของคุณกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง พวงมาลัยตอบสนองฉับไว, เฉียบคม และสื่อสาร ทั้งยังให้น้ำหนักกำลังดี จึงช่วยให้คุณบังคับทิศทางได้ตามสั่ง พละกำลังในโหมด Sport
ขณะที่ขุมพลังทั้งสองยูนิตทำงานร่วมกัน เพียงพอสำหรับการส่งเอสยูวีรุ่นเล็กของ Honda ออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็ว ระบบเบรกซึ่งได้รับการอัพเกรดใหม่ – และตอนนี้มีแรงหน่วงจากการ Regen ของมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยอีกแรง – ให้พลังในการหยุดที่น่าประทับใจทีเดียว
แต่อย่าคาดหวังสมรรถนะจาก HR-V จนเกินไป แม้มันจะทรงพลังและให้การบังคับควบคุมที่เหนือกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ ทว่าโดยภาพรวมแล้วรถคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ขนาดที่กะทัดรัดช่วยเพิ่มความคล่องตัวเมื่อต้องซอกแซกไปมาท่ามกลางการจราจรหนาแน่น ทัศนวิสัยโดยรอบดีเยี่ยม และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติตั้งแต่ออกตัว (ส่วนหนึ่งของระบบ Honda Sensing) ที่อัพเดตใหม่
ก็ทำงานได้น่าพอใจเมื่ออยู่บนทางด่วน แม้จะยังคงเบรกแรงไปสักหน่อยก็ตาม การตัดเสียงรบกวนจากสิ่งแวดล้อมภายนอกทำได้ดีเช่นกัน ต้องยกความดีความชอบให้กับการเพิ่มวัสดุซับเสียงตามจุดสำคัญๆ อาทิ ฝากระโปรง, ห้องเครื่อง, ซุ้มล้อ เป็นต้น ในขณะที่ความกว้างขวางก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจทุกที่นั่ง
พูดได้เต็มปากว่า HR-V ใหม่ พัฒนาขึ้นจากโมเดลที่แล้วอย่างก้าวกระโดด ทั้งในเรื่องของการขับขี่, คุณภาพวัสดุ ตลอดจนการออกแบบที่ลงตัว เรื่อยไปถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้เต็มพิกัด… ในราคา 1.18 ล้านบาท ของเกรดสูงสุด “RS” เหมือนคันทดสอบของเรา นี่คือรถที่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์อย่างแท้จริง
SPECIFICATIONS : All-New Honda HR-V e:HEV RS
Price: ฿1,179,000
Engine: 1,498cc 4-cyl petrol, 106ps @ 6000-6400rpm, 127Nm @ 4500-5000 with e-motor 131ps @ 4000-8000rpm, 253Nm @ 0-3500rpm
Transmission: E-CVT, front-wheel drive
Performance: 10.6sec 0-100km/h, 18.5km/l (WLTP), 122g/km Co2 (WLTP)
Weight: 1407kg
Honda HR-V ใหม่ ทำได้ยอดเยี่ยมกว่าโมเดลที่แล้วแบบก้าวกระโดด ทรงพลังและโฟกัสไปที่การขับขี่ยิ่งขึ้น ทั้งยังนุ่มนวลกว่าเดิมและมาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเต็มพิกัดอีกด้วย โครงสร้างตัวถัง “Global Small Platform” ถูกเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้นเมื่อนำมาใช้กับ HR-V ด้วยการเสริมคานทำจากเหล็กความแข็งแกร่งสูงที่พื้นรถส่วนกลางและเสา B นอกจากนั้นยังเพิ่มโครงสร้างทรงวงแหวนเข้าไปบริเวณช่วงล่างหลังเพื่อเสริมความแกร่ง ส่งผลให้ช่วงล่างทำงานได้เฉียบคมยิ่งขึ้น ดีไซน์ทรงกล่องที่ดูเรียบง่าย ให้ภาพลักษณ์สไตล์รถต้นแบบ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ คันของเราเป็นเกรด RS มาพร้อมชุดแต่งรอบคันสีดำเงา รถรุ่นใหม่มีโอเวอร์แฮงก์ด้านหน้าสั้นลง 20 มม., ส่วนท้ายยาวขึ้น 20 มม. และหลังคาเตี้ยลง 20 มม. ขณะที่ความสูงใต้ท้องรถขยับขึ้นเป็น 188 มม. ในเกรด RS จะได้กระจังหน้าแบบรังผึ้งโครเมี่ยมตกแต่งด้วยกรอบสีดำ แต่เราชอบกระจังหน้าทรงซี่แนวนอนสีเดียวกับรถที่ดูมินิมอลและสะท้อนภาพลักษณ์แบบคอนเซปต์คาร์ได้ชัดเจนกว่า เส้นหยักของตะแกรงช่องรับลมที่กันชนหน้า สื่อถึงความเป็นรถไฮบริดได้อย่างมีชั้นเชิง นับเป็นไอเดียที่น่าปรบมือให้จริงๆ
ชุดไฟหน้า Full LED มาพร้อมไฟสูงอัตโนมัติและ DRL ที่เปลี่ยนเป็นไฟเลี้ยวซีเควนเชียลในตัว สปอตไลต์เป็น LED แบบ 5 ดวงเล็ก เอกลักษณ์ของ Honda ที่เราคุ้นเคยกันดี
เส้นไฟ LED แนวนอนที่พาดยาวตลอดฝาท้ายเน้นย้ำสไตล์แบบคอนเซปต์คาร์ รับกับชุดไฟที่แบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมเรียงต่อกัน น่าเสียดายที่ไฟเลี้ยวยังคงใช้หลอดไส้ธรรมดา แทนที่จะเป็น LED ยังคงใช้มือเปิดประตูหลังแบบติดตั้งไว้มุมบนเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ การดึงเปิดแนวตั้งอาจไม่คุ้นชินนัก แต่ใช้ไปสักพักก็จะปรับตัวได้เอง
ระบบ Honda Sensing ของ HR-V เป็นเวอร์ชั่นอัพเดตที่เปลี่ยนมาใช้กล้องความละเอียดสูงมุมกว้างทำงานเพียงลำพัง โดยไม่ต้องมีโซนาและเซ็นเซอร์อีกต่อไป ร่วมด้วยการใช้ AI ในการประมวลผลภาพ ส่งให้ระบบโดยรวมฉับไวและแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนั้น เวอร์ชั่นอัพเดตยังได้รับการขยายขอบเขตการทำงานออกไป อาทิ ตรวจจับรถคันหน้าและเส้นจราจรได้แม่นยำขึ้น, ตอบสนองการเพิ่มความเร็วตามรถคันหน้าหรือขณะแซงได้ฉับไวขึ้น, ตรวจจับขอบถนนแม้ไม่มีเส้นจราจร ด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างของพื้นผิวถนนกับอื่นๆ เช่นดินหรือหญ้า, ตรวจจับการเอียงออกนอกแนวถนนเมื่อไม่มีเส้นหรือสัญลักษณ์จราจร, ประเมินความลาดชันของถนนเพื่อปรับเพิ่มความเร็วให้คงที่อยู่เสมอ เป็นต้น ในขณะที่ระยะการตรวจจับด้านหลังก็เพิ่มจาก 3 เมตร เป็นไกลถึง 25 เมตรทีเดียว
ในเกรด RS ได้ล้อขนาด 18 นิ้ว และยาง 225/50 เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบเบรกใช้ดิสก์ขนาดใหญ่ถึง 293 มม. ที่ล้อหน้าและ 282 มม. สำหรับล้อคู่หลัง เมื่อทำงานร่วมกับแรงหน่วงจากมอเตอร์ไฟฟ้าขณะ Regen จึงช่วยให้รถมีระยะเบรกที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ช่วงล่างหน้าวางตำแหน่งสปริงเยื้องกับแดมเปอร์เพิ่มขึ้น ช่วยลดแรงกระทำแนวข้างกับแดมเปอร์ และยังลดแรงเสียดทานภายในแดมเปอร์ไปในตัว ขณะที่ด้านหลังใช้บุชต่างๆ แบบใหม่ ที่ปรับทั้งโครงสร้างและดีไซน์ โดยหนึ่งในนั้นคือบุชแบบบรรจุน้ำมันไว้ภายใน ที่จะช่วยลดแรงสั่นสะเทือนและคลื่นความถี่ที่ถ่ายทอดขึ้นมาจากผิวทาง นอกจากนั้น ยังเพิ่มหน้าแปลนของจุดยึดเพื่อลดการบิดตัวด้านข้างของบุช เมื่อจุดยึดแข็งแรงขึ้น จึงสามารถใช้บุชที่นุ่มกว่าเดิมได้ ส่งผลให้ช่วงล่างทำงานได้นุ่มนวลยิ่งขึ้นตามไปด้วย มอเตอร์ไฟฟ้าต่อยอดมาจากที่มีอยู่ใน Honda City e:HEV ได้รับการพัฒนาจนสามารถทำกำลังเพิ่มขึ้นจาก 109 เป็น 131 แรงม้า ขณะที่ระบบโดยรวมก็มีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม ทั้งยังเพิ่มจำนวนเซลล์ในแบตเตอรี่ขึ้นอีกถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และเปลี่ยนจากการระบายความร้อนด้วยอากาศมาเป็นการหล่อเย็นด้วยน้ำ จึงเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิของแบตเตอรี่ได้มากยิ่งขึ้น การออกแบบห้องโดยสารให้ความสำคัญกับความโปร่งโล่งและพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ จึงต้องปรับองค์ประกอบต่างๆ ไม่ให้เข้าไปกินพื้นที่ภายใน: องค์ประกอบในห้องเครื่องถูกจัดเรียงใหม่ เพื่อให้เกิดที่ว่างเพียงพอสำหรับนำชุดไฮบริดติดตั้งรวมเข้าไปได้ด้วย นอกจากนั้น ยังใช้ระบบปรับอากาศที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม จึงขยับแดชบอร์ดให้แบนกว้างและต่ำลงได้ ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ให้กับกระจกหน้าได้มากยิ่งขึ้น ขณะที่ถังน้ำมันติดตั้งไว้ท้องรถบริเวณใต้เบาะหน้า ร่วมด้วยการใช้ชุด PCU (Power Control Unit) ที่ขนาดเล็กกว่าระบบเดิมถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ใช้แบตเตอรี่ 12 โวลท์ ขนาดกะทัดรัดยิ่งขึ้นและติดตั้งไว้ในห้องเครื่อง จึงไม่ไปกินพื้นที่ของที่เก็บสัมภาระท้ายรถ ระบบบังคับเลี้ยวคือจุดที่โดดเด่นที่สุดของ HR-V ให้น้ำหนักที่เหมาะสมตามย่านความเร็ว ทั้งยังสื่อสาร, ฉับไว และเฉียบคมกว่าโมเดลที่แล้วอย่างชัดเจน ต้องขอบคุณการปรับค่าการบิดตัวและการหมุนกลับของคอพวงมาลัยให้ขึงตึงขึ้นอีก 15 เปอร์เซ็นต์ ร่วมด้วยการลดความฝืดของชิ้นส่วนขณะเริ่มหมุนพวงมาลัย โดยใช้สปริงแบบติดตั้งเยื้องศูนย์กลางของแดมเปอร์ และใช้บอลจอยท์ความฝืดต่ำกับบุชต่างๆ ที่ปรับให้แข็งขึ้นเพื่อเพิ่มการตอบสนองให้กับพวงมาลัย
ชุดควบคุมระบบปรับอากาศกลับมาใช้ปุ่มหมุนที่เรียบง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน แทนที่ระบบทัชสกรีนซึ่งตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับช่องต่อ USB ที่เอื้อมถึงได้ง่าย ต่างจากโมเดลก่อนหน้านี้ที่วางซ่อนไว้ใต้ฟลอร์คอนโซล จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเสียบสายโดยไม่ก้มมอง ช่องปล่อยลมแอร์ทรงอักษร “L” ที่ Honda เรียกว่า ‘Air Diffusion System’ ดีไซน์ขึ้นเพื่อไม่ให้กระแสลม (ของช่องแอร์แบบปกติ) พุ่งปะทะตัวผู้โดยสารตรงๆ ด้วยการปล่อยกระแสลมที่เบาสบายกระจายไปตามแนวกระจกข้าง ตลอดจนสร้างกระแสลมหมุนบริเวณหลังคา ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดม่านอากาศกั้นความร้อนที่ส่งผ่านมาจากกระจก “ราวกับลมเย็นในฤดูหนาว” Honda กล่าว… เราลองแล้ว และกลับมาใช้ช่องลมปกติเหมือนเดิม
จอแสดงผลส่วนกลางขนาด 8 นิ้ว อินเตอร์เฟซดีไซน์เรียบง่ายเพื่อผู้ขับสามารถกดใช้งานได้สะดวกรวดเร็ว ตอบสนองฉับไวทั้งการกดและปัด นอกจากนั้น ส่วนควบคุมหลักที่มักจะถูกใช้งานบ่อยๆ ยังประมวลผลได้รวดเร็วกว่าเดิมถึงครึ่งต่อครึ่งอีกด้วย รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายจาก Apple CarPlay และแบบต่อสายของ Android Auto
แยกชุดเฟือง (เกียร์+เฟืองท้าย) ออกเป็น 2 ชุด โดยชุดหนึ่งใช้กับเครื่องยนต์และอีกชุดสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยวิธีนี้ทำให้แต่ละแหล่งพลังงานขับเคลื่อน ได้อัตราทดเกียร์ (แบบคงที่) ที่เหมาะสมกับตัวมันเอง ซึ่งได้ผลดี 2 ประการ คือ ให้ความราบรื่นแบบไร้รอยต่อขณะระบบสลับแหล่งพลังงาน และช่วยประหยัดพลังงาน (เชื้อเพลิงและไฟฟ้า) ได้มากยิ่งขึ้น คุณสามารถกำหนดความหน่วงของการ Regen ได้ผ่านแป้นหลังพวงมาลัย โดยจะเป็นการหน่วงแบบชั่วคราวเมื่อใช้เกียร์ D และจะหน่วงคงที่หากเลื่อนมาที่ตำแหน่ง B สามารถเลือกรูปแบบการขับเคลื่อนได้ทั้ง ‘Sport’ ที่ปรับการตอบสนองคันเร่งให้ฉับไวยิ่งขึ้น, ‘Econ’ ประหยัดพลังงานโดยลดการทำงานของระบบปรับอากาศและการตอบสนองคันเร่งลง ขณะที่โหมด ‘Normal’ จะปรับรูปแบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติระหว่างไฟฟ้าล้วน, เครื่องยนต์ร่วมกับไฟฟ้า และใช้เฉพาะเครื่องยนต์เช่นการขับด้วยความเร็วสูงคงที่บนมอเตอร์เวย์ เนื่องจากกรณีนี้จะช่วยประหยัดพลังงานเฉลี่ย (น้ำมัน+ไฟฟ้า) ได้มากกว่า และมอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาทำงานเพื่อเพิ่มกำลังในขณะเร่งความเร็วเป็นหลัก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ติดตั้งมาให้นับว่าหวือหวาและครบครัน เมื่อรถขับเคลื่อนที่ความเร็วต่ำด้วยระบบไฟฟ้าล้วน จะมีเสียงสังเคราะห์ดังขึ้นเพื่อเตือนผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งอาจไม่ทราบว่ามีรถกำลังเคลื่อนที่มาใกล้เนื่องจากไม่มีเสียงดังของเครื่องยนต์ หากต้องการฆาตรกรรมคนที่คุณหมั่นไส้ ก็สามารถปิดเสียงนี้ได้จากปุ่มใต้แดชบอร์ด ฝาท้ายสามารถตั้งระดับความสูงเมื่อเปิด ได้จากสวิตช์ที่ใต้ฝาท้ายโดยตรง ช่องรับอากาศที่เบาะหลัง มีไว้เพื่อนำอากาศเย็นในห้องโดยสารไประบายความร้อนให้กับแบตเตอรี่ของระบบไฮบริดอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการระบายความร้อนด้วยน้ำของระบบหลัก
หลังคากระจกเต็มพื้นที่หลังคา ม่านบังแดดแบบแยกส่วนของกระจกบานหลัง ถอด-ใส่ ไม่ยากนักหากรถจอดอยู่กับที่ และการแยก ซ้าย-ขวา ดีตรงที่สามารถปิดเฉพาะชิ้นใดชิ้นหนึ่งเพื่อบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาตรงๆ ได้ ปัญหาอยู่ที่หากถอดออก คุณต้องโยนมันไปไว้ท้ายรถเพราะไม่มีที่เก็บแบบเป็นเรื่องเป็นราวมาให้ และเพราะกรอบของม่านทำจากพลาสติกบิดตัวได้เล็กน้อย จึงมีโอกาสแตกหักหากจัดเก็บอย่างไม่ระมัดระวัง Honda ระบุว่า ไฟส่องสว่างด้านหลังเป็นระบบสัมผัส แต่จากการทดสอบพบว่าเพียงแค่นำมือไปใกล้ๆ โดยไม่ต้องแตะที่เลนส์ ก็สามารถ เปิด-ปิด ไฟได้แล้ว
TorqueThailand.com
