รีวิว ทดสอบรถ: Mazda CX-30 ที่ทำให้ผู้ขับขี่เข้าใจความหมายของคำว่า “Feel The Drive” ได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่นับ MX-5 เราคิดว่า CX-30 นี่แหละใช่!
รีวิว ทดสอบรถ: Mazda CX-30 เครื่องยนต์ Skyactiv-G พิกัด 2.0 ลิตร 165 แรงม้า
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
รีวิว ทดสอบรถ: Mazda CX-30
“ถ้าจะมียนตรกรรมจากแบรนด์ Mazda ซักรุ่น ที่ทำให้ผู้ขับขี่เข้าใจความหมายของคำว่า “Feel The Drive” ได้อย่างชัดเจนล่ะก็ ถ้าไม่นับ MX-5 เราคิดว่า CX-30 นี่แหละใช่ … และเรากำลังจะมาบอกเหตุผลให้ฟังว่าเพราะอะไร”
ถ้าจะนับญาติกันแบบง่ายๆ Mazda CX-30 ก็คือ รถอเนกประสงค์อีกหนึ่งรุ่นของค่าย Mazda ที่หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นการอัพเกรดขึ้นใหม่จาก Mazda CX-3 … แต่บอกเลยครับว่าเข้าใจผิด เพราะโดยเนื้อแท้จริงแล้ว พื้นฐานทางวิศวกรรมของเจ้า Mazda CX-30 นั้นเป็นการพัฒนาขึ้นมาจาก Mazda 3 ฉะนั้นถ้าจะบอกว่า Mazda CX-30 คือ การจับเจ้า Mazda 3 มายกสูงเป็น Crossover ก็คงจะไม่ผิดนัก แล้วก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดีเกินคาด เพราะขนาดแค่รูปลักษณ์ภายนอก ก็สามารถสร้างแรงจูงใจให้อยากสัมผัสได้เป็นอย่างดี
ด้วยความกะทัดรัดของตัวถังที่ไม่เล็ก ไม่ใหญ่เกินไป กับขนาดความยาว 4,395 มม. ความกว้าง 1,795 มม. ความสูง 1,540 มม. วางตัวบนระยะฐานล้อยาว 2,655 มม. ที่มีความกว้างแทรคล้อหน้า และล้อหลังเท่ากันที่ 1,565 มม. พร้อมระยะต่ำสุดจากพื้น (Ground Clearance) 175 มม.
งานดีไซน์ยังคงโดดเด่นด้วยแนวคิด KODO: Soul of Motion เน้นความเรียบหรูด้วยเส้นสายเรียบง่ายแต่เฉียบคม และทรงพลังภายใต้คอนเซ็ปต์ Less is More ตั้งแต่ด้านหน้าที่สะดุดตาด้วย Signature Wing อันเป็นเอกลักษณ์ของค่าย ที่ประกอบด้วยรูปทรงสามเหลี่ยมของชุดกระจัง, ชุดไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED ที่มากับระบบปรับสูง-ต่ำ และเปิด-ปิดอัตโนมัติ ตลอดจนชุดไฟ Daytime Running Light แบบ LED Signature เช่นเดียวกับชุดไฟท้าย ซึ่งเป็นออฟชั่นมาตรฐานสำหรับรุ่นท็อป
ตามด้วยการใส่ความเป็น Crossover เข้าไป โดยการเสริมการ์ดสีดำรอบคัน ไล่มาตั้งแต่ใต้กันชนหน้า, ซุ้มล้อ, เสกิร์ตข้าง และกันชนท้าย พร้อมชุดท่อไอเสียทรงกลม ที่นอกจากโดดเด่นสะดุดตาแล้ว ยังลงตัวกับชุดไฟท้ายแบบ LED Signature อีกด้วย ส่วนล้ออัลลอยสำหรับคันนี้มากับขนาด 18 นิ้ว จับคู่กับยาง 215/55 R18
ห้องโดยสารเรียกว่าร้อง “ว้าว” ตั้งแต่เปิดประตู ด้วยสไตล์เรียบง่ายตามหลักปรัชญา Human Centric Philosophy ที่รู้สึกได้ถึงอารมณ์แบบ “Minimalist” ผสมผสานด้วยจุดเด่นด้านความหรูหรา จากการเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพสูง ซึ่งเติมความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด และที่สำคัญ “Position” ของผู้ขับขี่ ยังถูกดีไซน์เพื่อให้เกิดความ “เป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ” ผ่านองค์ประกอบต่างๆ เช่น เบาะนั่งดีไซน์โอบกระชับ, ชุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ตลอดจนแป้นเบรก และแป้นคันเร่ง ที่อยู่ในตำแหน่งอันลงตัว โดยยังรวมไปถึงการจัดวางฟังก์ชันอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ในรัศมีใกล้คันขับ เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวก และไม่ต้องละสายตาจากถนน
ซึ่งรายละเอียดของออฟชั่นคร่าวๆ ที่จัดมาให้ ประกอบด้วย เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง, ชุดแผงหน้าปัด และมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล TFT LCD พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกบังลมหน้า ขยับมาที่ด้านบนของคอนโซลหน้าจะเป็นตำแหน่งของหน้าจอสี Center Display แบบ Widescreen ขนาด 8.8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อด้วยระบบ Mazda Connect ผ่าน Apple CarPlay ที่ควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander
ขณะที่ความบันเทิงมากับเครื่องเสียงคุณภาพสูงจาก Bose® นอกจากนี้ยังเพิ่มความโปร่งให้ห้องโดยสารด้วยหลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า และความสบายด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone พร้อมช่องแอร์ตอนหลัง ก่อนปิดท้ายด้วยความอเนกประสงค์จากเบาะหลังปรับพับได้แบบ 60:40 จับคู่มากับประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
ไฮไลท์ของ Mazda CX-30 อยู่ที่ “สมรรถนะ” อันเกิดจาการพัฒนาตั้งแต่แพลทฟอร์มใหม่ Skyactiv-Vehicle Architecture ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Skyactiv-G พิกัด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Electronic Direct Injection โดยผลลัพธ์ก็คือพละกำลัง 165 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 213 นิวตันเมตร หรือว่ากันง่ายๆ ก็คือ เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ Mazda 3 นั่นแหละ
รวมไปถึงเรื่องของระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Skyactiv-Drive โดยจะมีความต่างกันเล็กน้อยในส่วนของอัตราทดเฟืองท้าย ซึ่ง Mazda 3 จัดไว้ให้ที่ 3.850 ส่วน CX-30 จะอยู่ที่ 4.095 เสริมด้วยระบบช่วงล่างที่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีการควบคุมรุ่นใหม่ Skyactiv-Vehicle Dynamics จับคู่มากับระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น จากการทำหน้าที่ช่วยปรับแรงบิดของเครื่องยนต์ตามการหักเลี้ยวพวงมาลัยของผู้ขับขี่ ควบคู่ไปกับการเบรกที่เหมาะสม เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
และถึงแม้ในการลองขับแบบปกติทั่วไป ราวกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของเราจะไม่ได้เอาจริงเอาจัง เพื่อให้รับรู้ถึงหน้าที่การทำงานของ 2 ตัวช่วยดังกล่าวก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ช่วยเสริมความมั่นใจได้ดี พอๆ กับรายนามระบบความปลอดภัยยาวเหยียดที่เช็คดูได้ทั้งจากในแคตตาล็อก และเว็บไซต์
สำหรับการลองขับ ต้องบอกเลยว่าตัวเลขพละกำลัง 165 แรงม้า ที่มากับแรงบิด 213 นิวตันเมตร ส่งผ่านด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สู่ล้อหน้า อาจจะไม่ทำให้คุณรู้สึกหวือหวามากมายนัก โดยคาดเดาว่าน่าจะเป็นเซ็ทอัพใหม่ เพื่อทำการแยกบุคลิกให้เหมาะสมกับความเป็นรถอเนกประสงค์ Crossover ตลอดจนเผื่อไว้ สำหรับการเป็นรถครอบครัว แม้จะเป็นการพัฒนาขึ้นมาจาก Mazda 3 ก็ตาม
ในภาพรวมเรียกว่ายังคงมีกลิ่นอายของ Mazda 3 เช่น การตอบสนองอัตราเร่งในช่วงตีนต้น และความคมของพวงมาลัย และแถมมาด้วยความเป็นรถอเนกประสงค์ที่มีระยะความสูงของตัวรถที่มากขึ้น คือ สิ่งที่ทำให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นเรื่องง่าย มีจังหวะที่กลมกล่อม และสนุกได้กับจังหวะยักย้าย ส่ายเปลี่ยนเลนในเมือง ซึ่งอยู่บนรากฐานของความปลอดภัยทั้งจากทัศนวิสัยที่เหนือกว่า แล้วก็บรรดาตัวช่วยระบบต่างๆ
ขณะที่ระบบช่วงล่างนั้นชัดเจน กับความเป็นยนตรกรรมจากแบรนด์ Mazda ที่ยังรู้สึกได้ถึงความสปอร์ต ที่แน่น หนึบ แต่ก็ยังเติมส่วนผสมของความนุ่มนวลเอาไว้ เช่นเดียวกับน้ำหนักของระบบพวงมาลัยที่เบาแรง คล่องตัว และควบคุมได้ง่าย เพราะอย่างที่ได้บอกไปว่าทางวิศวกรเค้าน่าปรุงส่วนผสมออกมา โดยมีการเผื่อสถานะความเป็น “รถครอบครัว” เอาไว้ด้วย
ส่วนในความเร็วสูงก็ถือว่าดีงาม ตอบโจทย์ได้ไม่ว่าจะอยากมันส์คนเดียว ด้วยความคมของพวงมาลัย และน้ำหนักที่เอื้ออำนวยให้ “มุด” ได้พองาม โดยสิ่งที่ทำให้เราชอบมากที่สุด นั้นว่ากันตั้งแต่การส่งกำลังของชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Skyactiv-Drive ที่แม้จะยังรักษาแนวทางดั้งเดิมด้วยการเลือกใช้ชุดเกียร์แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ขณะที่เพื่อนๆ หันไป CVT กันหมด แต่ Mazda ก็ยังทำได้ดี จากการทำงานที่ “เนียน” ส่งต่อกำลังได้อย่างราบรื่น จนทำให้เรามองว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ขับขี่สไตล์ Cruiser ได้ดีทีเดียว แต่ถ้าเกิดอยากมันส์ขึ้นมาแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift จะช่วยได้
ต่อมาก็ระบบช่วงล่างอย่างที่บอกว่า CX-30 น่าจะมีการเติมส่วนผสมของรถครอบครัวมาให้ ฉะนั้นอารมณ์จึงแตกต่างจาก Mazda 3 โดยเฉพาะในส่วนของการดูดซับแรงสั่นสะเทือน ขณะเดียวกันก็ยังให้ความมั่นใจได้ดีเยี่ยม แม้เราจะลืมตัวกดคันเร่งใช้ความเร็วไปมากกว่า 140 กม./ชม. ก็ตาม ซึ่งหากต้องการไปให้เร็วกว่านั้น เรามั่นใจว่า CX-30 ทำได้แน่นอน แต่ถ้ามาเป็นครอบครัวล่ะก็ ใช้ความเร็วประมาณนี้ หรือน้อยกว่านี้ CX-30 ก็ทำให้ชีวิตคุณมีความสุข และสนุกไปกับการขับขี่ได้อย่างไม่ยาก … เรียกได้ว่ามีความ “ดีงาม” และ “เหมาะ” สำหรับทั้งพ่อบ้าน และแม่บ้านรุ่นใหม่ไม่น้อยทีเดียว
Specification: Mazda CX-30
- Price : 1,199,000 BHT
- Engine : 1,998 CC / 4 Cylinder / 16 Valve 165 hp @ 6,000 rpm / 213 Nm @ 4,000 rpm
- Transmission : 6AT / Front Wheel Drive
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A, Top Speed @ N/A
- Weight : 1,412 Kg.