รีวิว ทดสอบรถ: Nissan LEAF เจเนอเรชั่นที่ 2 โดยจะมากับแนวคิด “เรียบง่าย แต่น่าอัศจรรย์” หรือ “Simply Amazing” 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.9 วินาที
รีวิว ทดสอบรถ: Nissan LEAF เจเนอเรชั่นที่ 2 มากับแนวคิด “Simply Amazing”
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
Nissan LEAF เจเนอเรชั่นที่ 2
“แม้จะรู้สึกว่าห่างไกลกับพฤติกรรมการใช้งานรถของคนไทยในปัจจุบันก็ตาม … แต่การมาของเจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ ก็ทำให้เรารู้ว่า เมื่ออนาคตถูกเปลี่ยน Nissan LEAF จะเป็นหนึ่งในรุ่นที่น่าจับตาที่สุดแน่นอน”
แทบจะเรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสกับยนตรกรรมขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ควรจะต้องทำก็คือ การเรียนรู้และทำความเข้าใจกันก่อน เนื่องจากเราเองไม่อยากต้องมานั่งเขินอยู่กลางถนน ด้วยสาเหตุ “ไฟหมด” จนไปต่อไม่ได้แน่นอน
สำหรับ Nissan LEAF เวอร์ชั่นที่เห็นอยู่นี้ คือ เจเนอเรชั่นที่ 2 โดยจะมากับแนวคิด “เรียบง่าย แต่น่าอัศจรรย์” หรือ “Simply Amazing” เพื่อสื่อถึงวิสัยทัศน์ด้านการขับเคลื่อนในอนาคต ภายใต้การดีไซน์ที่ปราดเปรียวด้วยแนวทาง “Cool Tech Attitude” อันมีแรงบันดาลใจมาจากรถต้นแบบ IDS Concept ที่นำเสนอสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2015
โดยรูปลักษณ์นั้นเรียกได้ว่า “เร้าอารมณ์” ตั้งแต่แรกเห็นจากมุมมองด้านหน้าที่สะดุดตาด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ชุดกระจังแบบ V-Motion ที่มีรายละเอียดความพิเศษเฉพาะตัวในฐานะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยลวดลายตาข่ายสีน้ำเงินสว่างแบบ 3 มิติ
รับกับชุดไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกในโคมรูปทรง “บูมเมอแรง” ตลอดจนแนวเส้นหลังคาที่ลาดเอียงสู่ด้านหลัง ที่มีชุดไฟท้ายโดดเด่น พร้อมการติดตั้งชุดสปอยเลอร์ ที่มากับชุดกันชนหลังที่ออกแบบให้เป็นลักษณะ Diffuser ช่วยเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น
อีกทั้งงานดีไซน์ทั้งหมดยังถูกรังสรรค์ขึ้นภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งทำให้ LEAF นั้นมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Drag Coefficient) เพียง 0.28 เท่านั้น นอกจากนี้ช่องเสียบสายชาร์จไฟบริเวณด้านหน้ารถ ยังได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น จากการติดตั้งอยู่ในระดับ 45 องศา
ด้านภายในห้องโดยสารมากับความเรียบง่าย ความกว้างขวาง และสะดวกสบายมากขึ้นที่ยึดหลักการออกแบบของนิสสัน Gliding Wing เป็นแนวทางหลัก ผสมผสานด้วยความล้ำสมัยของฟังก์ชั่นสำหรับใช้งาน เช่น ปุ่มสตาร์ทโทนสีน้ำเงิน, เกียร์, หน้าจอแสดงข้อมูล และสวิตช์ควบคุมต่าง ๆ
ตลอดจนมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อก ที่ลงตัวกับหน้าจอแสดงผล Multi-Information แบบ Thin-film Transistor (TFT) ขนาด 7 นิ้ว สำหรับบอกปริมาณกำลังไฟฟ้า เช่น ระดับการชาร์จไฟของรถ, พลังงานที่เหลือ รวมถึงระบบเสียง และข้อมูลระบบนำทาง ทั้งยังสามารถเลือกแสดงข้อมูลตามที่ต้องการได้
แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลท์ที่แท้จริงของ Nissan LEAF เพราะจุดเด่นที่สำคัญ คือ เทคโนโลยี (Nissan Intelligent Mobility) ที่ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving) ที่มี ระบบ e-Pedal และระบบ Nissan Safety Shield เป็นพระเอก
โดยระบบ e-Pedal จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ขับทั้งในการออกตัว, เร่งความเร็ว, ชลอความเร็ว หยุดนิ่ง และควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ ด้วยการใช้แป้นคันเร่งเท่านั้น ขณะที่ระบบ Nissan Safety Shield นั้นมากับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง เช่น
ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning: FCW), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (Forward Emergency Braking: FEB), กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor: IAVM) พร้อมระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection: MOD) รวมถึงระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Active Trace Control: ATC) และระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Alert: DAA)
ต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีพลังการขับเคลื่อนอัจฉริยะ (Intelligent Power) ซึ่งมีหัวใจหลักเป็นระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (e-powertrain) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากขึ้น เช่นกัน ด้วยชุดแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชุดใหม่ขนาด 40กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ซึ่งมีความหนาแน่นของพลังงานเพิ่มขึ้นจากเจเนอเรชั่นที่แล้วราว 60 %
ทำให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้นอีกประมาณ 38% กับพละกำลัง 110 (150แรงม้า) และมีแรงบิดเพิ่มขึ้น 26 % หรือราว ๆ 320 นิวตันเมตร ส่งผลให้มีอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมโดยเคลมตัวเลขจาก 0-100 กม./ชม. เอาไว้ที่เวลา 7.9 วินาที และยังให้ระยะทางขับขี่ตามมาตรฐานการวัดค่าไอเสีย และอัตราสิ้นเปลือง NEDC (New European Driving Cycle) เอาไว้ที่ 311 กม.
ปิดท้ายด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Intelligent Integration) ด้วยระบบ Vehicle-to-grid ของแบตเตอรี่ ที่สามารถสะสมพลังงานให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้จากพลังงานส่วนเกินในเวลากลางวัน เพื่อนำกระแสไฟฟ้ามาใช้งานภายในบ้านช่วงกลางคืน
อีกทั้งยังสามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุดในบางประเทศ เพื่อนำมาใช้ในช่วงกลางวันเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อีกด้วย
เอาล่ะ … หลังจากที่ได้รู้จัก Nissan LEAF อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลา “ลุย” ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เราชาร์จแบบ EVSE Cable หรือเคเบิลอเนกประสงค์ที่มีมาให้พร้อมกับรถ ชาร์จจากไฟบ้านปกติที่เรียกว่า Standard Outlet Charging เป็นเวลาประมาณ 12-15 ชั่วโมง จนไฟเต็ม 100%
ความเงียบเชียบตามสไตล์รถไฟฟ้า ยังคงเป็นสิ่งแรกที่ได้พบเจอทันทีที่กดปุ่มสตาร์ท เช่นเดียวกับโหมด Eco เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานมากที่สุด เนื่องจากภายนอกนั้นยังคงหนาแน่นด้วยเพื่อนร่วมท้องถนน ที่ต้องใช้คันเร่งแบบ กดๆ ยกๆ เบรกๆ ซึ่งต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แต่หลังจากเราผ่านพ้นวิกฤตการจราจรมาได้
เราจึงไม่รอช้าที่จะลองสัมผัสความเร้าใจ พร้อมด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ไปที่ B Mode ซึ่งจะมีการทำงานคล้าย Engine Brake เพื่อทำการ Regenerative หรือการทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ จากจังหวะการยกคันเร่ง หรือการเบรก
ส่วนในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ บอกได้เลยว่าน่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ต้อง “ลุ้น” เรื่องการใช้พลังงาน เพราะเรี่ยวแรงที่มีให้ใช้นั้นเรียกได้เลยว่า “เหลือๆ” ชนิดที่ว่ากดคันเร่งเรียกใช้ได้ทันที แบบไม่มีอาการ “รอรอบ” ให้หงุดหงิด สร้างความมั่นใจ และปลอดภัยได้ดีทีเดียวกับช่วงจังหวะการเร่งแซง
เสริมด้วยอารมณ์ความสปอร์ต จากความแม่นยำของระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า และความนุ่มหนึบของช่วงล่าง ซึ่งมีพื้นฐานด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมคอยล์สปริง และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง และต้องไม่ลืมที่จะปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้ต่ำ เข้ากับตำแหน่งพวงมาลัยที่สามารถควบคุมได้อย่างถนัดมือ โดยที่ยังคงมีทัศนวิสัยที่ยังคงมองเห็นได้ชัดเจน
และเพียงแค่นั้น คุณก็สามารถซึมซับอารมณ์ความสปอร์ต ความสนุกได้อย่างเต็มอรรถรส จนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือความสามารถของ “รถไฟฟ้า” ขณะที่สิ่งเดียวซึ่งอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยหากได้ลองขับเป็นครั้งแรกก็คือระบบเบรก ซึ่งจะแข็งๆ ต้านเท้าไปซักนิด ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไรในการปรับตัว และใช้งาน
เราสนุกกับการขับ Nissan LEAF อย่างเต็มที่ทั้งในเมือง และนอกเมือง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเผื่อปริมาณของแบตเตอรี่เอาไว้สำหรับเดินทางกลับ เพราะไม่แน่ใจว่าสถานีบริการชาร์จสาธารณะในจุดที่เราอยู่มีตรงไหนบ้าง แต่หลังจากคำนวณระยะทาง กับแบตเตอรี่แล้ว ผลปรากฏว่าเรายังสามารถสนุกกับ Nissan Leaf ได้อีกพักใหญ่อย่างสบาย ๆ
แถมได้บทสรุปส่งท้ายเล็ก ๆ ว่า เจ้านี่น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะกับการใช้งานในเมืองซะเป็นส่วนใหญ่ และสามารถเดินทางไปต่างจังหวัดใกล้ ๆ ได้บ้าง และควรต้องทำการบ้านเรื่องสถานีชาร์จสาธารณะมาบ้างพอสมควร เพราะคุณคงไม่อยากให้ “หลับ” กลางทางเป็นแน่
สุดท้ายเรื่อง “ราคา” ที่เปิดตัวมา 1.99 ล้านบาท เรียกได้ว่า “แรง” พอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความนิยมของคนไทย แต่ในอนาคตที่ความล้ำหน้ามาถึง ไม่แน่ว่า LEAF อาจจะเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าอันดับต้น ๆ ที่คนไทยอยากเป็นเจ้าของมากที่สุดเช่นกัน
Specification: Nissan LEAF
- Price: 1,990,000 BHT
- Engine: Lithium-ion Battery 40kw / Electronic Motor 150 hp @ 3,283-9,795 rpm / 320 Nm @ 0-3,283 rpm
- Transmission: All Wheel Drive
- Performance: 0 – 100 Km/h @ 7.9 Sec / Top Speed @ N/A
- Weight: 1,523 Kg.