รีวิว Toyota Hilux Revo GR Sport เวอร์ชั่นยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ (Hi-Floor)

รีวิว ทดสอบ Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4 แรงบันดาลใจจากรถแข่ง World Rally Championship และเอกลักษณ์สไตล์ Toyota Gazoo Racing

รีวิว ทดสอบ Toyota Hilux Revo GR Sport เวอร์ชั่นยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ

Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4

จาก Corolla GR Sport สู่ GR Supra และ GR Yaris … สร้างกระแสความนิยมให้เติบโตต่อเนื่อง เพราะงั้นสมาชิกลำดับ 4 จึงถือกำเนิดขึ้น โดยครั้งนี้นำเสนอความพิเศษผ่านกระบะยอดนิยม … และนี่คือ Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4 หนึ่งใน 2 ของใหม่แห่งสาย GR Sport เพื่อสาวกชาวไทย

ก่อนหน้านี้ไม่นาน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จัดสรรความพิเศษแก่ผู้บริโภคชาวไทย ด้วยการเปิดตัว Toyota Hilux Revo GR Sport มาให้ถึง 2 รุ่นด้วยกัน คือ เวอร์ชั่นขับเคลื่อน 2 ล้อ (Lo-Floor) ราคา 889,000 บาท ที่เอาใจสายซิ่งด้วยการหยิบเอาแรงบันดาลใจจากตัวแข่งทางเรียบรายการ Super GT (Grand Touring) มาใช้

ส่วนอีกหนึ่ง คือ เวอร์ชั่นยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ (Hi-Floor) ที่มากับแรงบันดาลใจจากรถแข่งรายการ World Rally Championship (WRC) ราคา 1,299,000 บาท ซึ่งบอกได้เลยว่าหลังจากแอบส่องรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ไฮไลท์ตกอยู่ที่ Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4 แน่นอน ฉะนั้นจะ “รอ” อะไรล่ะครับ … ยกหูโทรไปขอยืมรถเพื่อมาลองขับ แล้วก็รีบเอามา “โม้” ให้อ่านกันดีกว่า

สำหรับ Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4 คือ ตัวพิเศษที่มีพื้นฐานเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และตัวถังแบบ 4 ประตู มาเพิ่มออปชัน ยัดของแต่ง และปรับเซ็ทอัพสมรรถนะขึ้นใหม่ ภายใต้แนวทางภาพรวม คือ การผสมผสานแรงบันดาลใจจากรถแข่งจากรายการ World Rally Championship (WRC) และเอกลักษณ์สไตล์ Toyota Gazoo Racing เข้าไว้ด้วยกัน

เพราะงั้นในส่วนของรูปลักษณ์มันจึงมีอารยธรรมความเป็น GR Sport ที่ชัดเจนพอสมควร เช่น กระจังหน้า ที่จากเดิมเป็นแค่โลโก้ ก็กลายเป็นอักษร TOYOTA ซึ่งมาพร้อมกับสัญลักษณ์ GR และชุดกันชนหน้าที่ได้รับการตกแต่งใหม่ จนเรียกว่าได้อารมณ์ความแกร่งอย่างชัดเจน

ย้ายมาที่มุมมองด้านข้างจะเห็นความดุดันตั้งแต่ กระจกมองข้างสีดํา ที่มีระบบ Welcome Light มาให้ ตามด้วยชุดแต่งซุ้มล้อ และล้ออัลลอย 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่แบบ GRSport รับกับชุดเบรกที่โดดเด่นด้วยคาลิปเปอร์สีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR

ต่อเนื่องด้วยเสาอากาศแบบ Shark Fin, สปอร์ตบาร์โทนสีดำที่มากับไฟสองสว่าง LED และพื้นปูกระบะ ตลอดจนด้านหลังที่หล่อเข้มด้วยชุดกันชนหลังโทนสีดำเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ เพราะเค้ายังตอกย้ำความเป็น GR Sport ให้ชัดเจน ด้วยตราสัญลักษณ์ GR และ GR Sport บริเวณด้านข้าง และประตูท้าย ตามด้วยสติ๊กเกอร์ด้านข้าง และท้ายกระบะ ไปจนถึงกุญแจรีโมท Smart key ดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport อีกด้วย

เท่านั้นยังไม่พอ เพราะภายในก็เป็นอีกจุดที่เปลี่ยนอารมณ์เดิมๆ ให้เร้าใจด้วยสไตล์ของ GR Sport เช่นกัน โดยจะประกอบไปด้วยภาพรวมของโทนสีที่เลือกเป็น “ดำสลับแดง” และเก็บรายละเอียดด้วยสี Smoke Silver พร้อมสัญลักษณ์ GR

ทั้งในส่วนของเบาะนั่งหุ้มหนัง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์สปอร์ต กระทั่งปุ่มสตาร์ทอัจฉริยะ Push start ตลอดจนแป้นคันเร่ง และเบรกที่มากับการเลือกใช้วัสดุโลหะ และงานออกแบบที่เน้นความสปอร์ต

แต่ใดๆ ก็ตาม รายละเอียดการตกแต่งกลับไม่ใช่สิ่งที่ดึงความสนใจเรามากเท่ากับเรื่องของ “สมรรถนะ” ที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบช่วงล่างใหม่ ซึ่งระบบช่วงล่างของ Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4 จะมากับด้านหน้าเป็นแบบอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone Suspension) พร้อมด้านหลังใหม่เป็นโช๊คอัพแบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber) ทำงานร่วมกับแหนบซ้อน พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง

ส่วนขุมพลังยังคงมากับบล็อกใหญ่สุดในพิกัด 2.8 ลิตร ดีเซล เทอร์โบ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่เลือกเล่นสนุกในแบบเกียร์ธรรมดาได้ทั้งจาก Sequential Shift และแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย

ภายใต้ความมั่นใจที่ประกอบไปด้วยระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ (2H), 4 ล้อ (4H) ไปจนถึง 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) ตลอดจนความปลอดภัยภายใต้มาตรฐานระดับโลก ซึ่งมีการเพิ่มเติมของใหม่เข้ามาให้ “คุ้มค่า คุ้มราคา” มากขึ้นไปอีก

ซึ่งเอาจริงๆ แม้ว่าความสามารถของ Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) จะอยู่ในระดับของยนตรกรรมขับเคลื่อน 4 ล้อ (4×4) แต่ด้วยค่าตัวกลมๆ ราว 1.3 ล้าน มันทำให้เรา แล้วก็อาจจะรวมถึงเจ้าของรถหลายๆ ท่านรู้สึก “เสียดาย” หากไปลุยถึงขั้นใช้โหมด 4L

ฉะนั้นเราจึงตกลงกันว่าถ้ามีโอกาส “ขอเบาๆ” เอาเต็มที่แค่ 4H ก็พอ เพราะน่าจะเป็นโหมดที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการลุยเล็กๆ น้อยๆ หรือจะเลือกเพิ่มความมั่นใจเมื่อต้องขับขี่ฝ่าสายฝนก็ตาม

สำหรับในเรื่องของอารมณ์การขับขี่ บอกเลยว่าในภาพรวมถือว่าค่อนข้าง “คุ้นเคย” กันดี เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดด้านเครื่องยนต์ ฉะนั้น 204 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ส่งผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด จึงเป็นอะไรที่ “เพียงพอ” ต่อการใช้งาน

ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง หรือการเร่งแซงในช่วงความเร็วเดินทาง แต่หากคุณเป็นคนสบายๆ ที่ไม่ต้องการความดุเดือดจากการขับขี่ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณจะประทับใจดีก็คือ การส่งต่อกำลังในแต่ละเกียร์ที่ราบเรียบ และนุ่มนวล

ที่สำคัญก็คือ อารมณ์ของระบบช่วงล่างที่แสดงออกถึงความเป็นรถยนต์นั่งมากขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยความนุ่มหนึบ ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แม้จะโดดคอสะพานก็ตาม ชนิดที่เรียกได้ว่าลดทอนธรรมชาติของความเป็นรถกระบะลงไปได้เยอะ

จนมอบความเพลิดเพลินในการโดยสารได้อย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะในด้านหลัง พูดง่ายๆ ก็คือ แรงสั่นสะเทือนทุกอย่าง “จบ” ที่ช่วงล่าง ไม่ได้ส่งต่อขึ้นมาถึงตัวถัง หรือห้องโดยสารให้รำคาญใจเลยทีเดียว

และด้วยความสามารถของช่วงล่างที่เปลี่ยนไป ประกอบกับแรงบันดาลใจที่ว่ากันว่าได้มาจากรถแข่งแห่งรายการ World Rally Championship (WRC) จึงทำให้เราไม่รอช้าที่จะสอดส่ายสายตา มองหาถนนลูกรังซักเส้น เพื่อสนองความอยาก

หลังจากที่ในหัวผุดภาพรถแข่ง WRC ออกแอ็คชั่น ไม่ว่าจะเป็นการสาดโค้ง โดดเนิน หรือข้ามร่องน้ำก็ตาม … แน่ล่ะว่าอยู่ในเมืองมันก็ไม่ง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะยากเกินความสามารถในการค้นหา เพราะเพียงแค่ออกมาชานเมืองเล็กน้อย ก็สามารถเป็นไปได้

ฉะนั้นแล้วจะรอช้าทำไมล่ะครับ ไวเท่าความคิด เพียงพริบตาเดียวเราก็หันหลังให้ถนนคอนกรีต และจอดนิ่งอยู่บนถนนกรวดแข็งๆ สลับกับดินที่ยังหลงเหลือความแฉะอยู่บ้างจากฟ้าฝนที่เพิ่งจะเลิกงานเอาเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมา ซึ่งเอาตรงๆว่า “แค่เห็น” สถานที่ และนึกภาพการแข่งขัน WRC ไปพร้อมๆ กันก็มันส์แล้วล่ะครับ

เพราะงั้นอย่าให้มันเป็นเพียงภาพในจินตนาการ แต่มาเริ่มต้นมันส์กันเลยดีกว่า ด้วยการปล่อยเท้าออกจากเบรก และใช้ความเร็วแบบ Walk Speed มุ่งหน้าสู่ด่านแรก “ร่องน้ำ” ขนาดกำลังพอดีๆ โดยไม่มีการแตะเบรกแต่อย่างใด ก่อนจะตามมาด้วยแรงสะเทือน 2 จังหวะจากล้อหน้า ก่อนตามด้วยล้อหลัง ที่ทำเอาทุกคนในรถแปลกใจ

ด้วยประสิทธิภาพของช่วงล่างที่ได้อารมณ์ WRC คือ การยุบ และยืดของตัวโช๊คอัพแบบทีเดียวอยู่ ไม่มีอาการ “แถม” เหมือนรถกระบะที่เคยๆ ผ่านมือมา ซึ่งนั่นถือเป็นความมั่นใจที่ทำให้เราสามารถขยับตัวผ่านร่องน้ำอีกหลายๆ ร่องได้โดยไม่ต้องเกรงใจเพื่อนร่วมห้องโดยสารกันเลยทีเดียว

จากนั้นก็ถึงเวลาที่เราจะเพิ่มความเร็วขึ้น เพื่อลองของศักยภาพช่วงล่างในเรื่องของการทรงตัว และการยึดเกาะ ซึ่งโดยไม่ต้องบิดสวิทช์ระบบขับเคลื่อนไปเป็น 4H แต่อย่างใด เจ้า Hilux Revo GR Sport ก็สามารถผ่านไปได้แบบสบายๆ แม้จะลองสาดเข้าโค้ง ที่บางครั้งมีจังหวะท้ายออกให้สนุกสนานเล็กน้อย

แต่โดยรวมแล้วสามารถ “เอาอยู่” เพียงใช้แค่การยกคันเร่ง ซึ่งแน่นอนว่าหากลองเปลี่ยนไปใช้การขับเคลื่อนแบบ 4H อาการท้ายออกแบบนี้จะหายไป จนเหลือเพียงความเฉียบคมเป็นไปตามสั่งของระบบพวงมาลัย เพราะมีทั้งล้อหน้า และล้อหลัง ทำหน้าที่ “ดึง และดัน” ให้ผ่านไปอย่างมั่นใจ

แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นล่ะครับว่าคงมีน้อยคนนักที่จะเอามาจัดหนักบนทางลูกรัง หรือเอาเต็มที่แบบต้องงัดเอาโหมด 4L มาใช้ เพราะค่าตัวราว 1.3 ล้านบาท และบุคลิกของรถที่พัฒนาขึ้นมาให้มีความเป็นรถยนต์นั่งมากขึ้น ทำให้เราคิดว่าการเอาเจ้า Hilux Revo GR Sport มาขับหล่อๆ บนท้องถนนทั่วไปน่าจะเข้าท่ากว่า แถมจากการลองของบนทางลูกรังก็ทำให้เรามั่นใจได้ว่ามีความสามารถมากพอ

สำหรับต่อกรกับสภาพอากาศ หรือท้องถนนเมืองไทย ไหนจะมีระบบความปลอดภัยอีกมากมายที่รองรับ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งทำให้เรารู้สึกว่า Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4 เป็นรถอเนกประสงค์อีกหนึ่งประเภทที่ “คุ้มตังค์” ไม่ว่าจะเพื่อการโดยสาร หรือการบรรทุก บอกเลยว่าตอบโจทย์ได้หมดจริงๆ 

Specification : Toyota Hilux Revo GR Sport (Hi-Floor) 4×4

• Price :  1,299,000 BHT
• Engine : 2,755 CC / Diesel Turbo Intercooler / 4 Cylinder 16 Valve 204 hp @ 3,400 rpm / 500 Nm @ 1,600 – 2,800 rpm
• Transmission : 6A/T / Part Time Four  Wheel Drive
• Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A, Top Speed @ N/A
• Weight :  N/A Kg