รีวิว ลองขับ MERCEDES-AMG G 63 G Manufaktur Green Hell Magno ขุมพลัง V8 เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดได้ถึง 585 แรงม้า ราคา 21,900,000 บาท
รีวิว ลองขับ MERCEDES-AMG G 63 G Manufaktur Green Hell Magno
Mercedes-AMG G63
เสียงกร่นต่ำที่ดังออกมาจากปลายท่อไอเสียของ G 63 ขณะจอดนิ่งอยู่กับที่ บ่งบอกได้ถึงพละกำลังที่ซ่อนอยู่ในรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยม ขุมพลัง V8 เทอร์โบคู่ ทำกำลังสูงสุดได้ถึง 585 แรงม้า และให้แรงบิดระดับมหากาฬที่ 850 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบต่ำเพียง 2,500 รอบ/นาที ส่งให้นี่เป็นหนึ่งในรถสไตล์ออฟโรดที่ทรงพลังที่สุดในโลก!
อย่างไรก็ตาม แม้ G 63 จะมีกล้ามโต แต่ด้วยข้อจำกัดทางรูปทรง และช่วงล่างด้านหลังแบบคานแข็งสำหรับบุกตะลุย การทำความเร็วบนถนนปกติจึงยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ปัญหาใหญ่คือน้ำหนักกว่า 2.5 ตัน และตัวถังที่ตั้งสูงตระหง่านจากพื้นถนน แน่นอนว่ามันต้องมีอาการเอียงตัวขณะเข้าโค้งมากกว่าปกติ
ทว่า G 63 ยังคงรักษาแรงยึดเกาะไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมีระบบบังคับเลี้ยวด้วยไฟฟ้าที่เฉียบคม, สื่อสาร และให้น้ำหนักกำลังดี เป็นกองหนุนเสริมความมั่นใจให้กับคุณตั้งแต่เริ่มหักเลี้ยวจนออกจากโค้ง
และ G 63 ยังเป็นพาหนะสำหรับการเดินทางไกลได้อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าตัดเรื่องอัตราสิ้นเปลืองออกไป คุณจะได้ SUV ขนาดมหึมา ที่เคลื่อนตัวไปตามถนนได้พลิ้วไหวราวกับ Hot Hatch คันจิ๋ว ต้องขอบคุณแรงบิดมหาศาลซึ่งมีให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ และการจัดเรียงอัตราทดเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ มาอย่างลงตัว ส่งให้ G 63 เร่งแซงได้ตามสั่ง
ช่วงล่างให้ความนุ่มนวลได้ดี ในขณะที่ห้องโดยสารก็กว้างขวางและให้ความรู้สึกโปร่งโล่งเป็นพิเศษจากกระจกหน้าต่างบานใหญ่รอบคัน นอกจากนั้น ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ร่วมด้วยการเก็บเสียงที่ทำได้ดีทีเดียว
และต้องไม่ลืมว่า ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ที่ G-class โลดแล่นอยู่ในโลกยนตรกรรม (โดยปรับโน่นเปลี่ยนนี่นานๆ ครั้ง) มันเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพทั่วโลก ในฐานะพาหนะสำหรับสนันสนุนการรบ นั่นหมายถึง G 63 ยังคงศักยภาพการบุกตะลุยเอาไว้ดังเช่นต้นฉบับ มันมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ, เกียร์ทรานส์เฟอร์อัตราทดต่ำ และระบบล็อคเฟืองท้ายทั้ง หน้า, กลาง และหลัง
ร่วมด้วยโอเวอร์แฮงก์สั้นทั้งหน้าและท้ายรถ กับระยะห่างจากพื้นถึง 241 มม. การขับขี่บนเส้นทางทุรกันดารตลอดจนป่าเขา จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับมัน แต่ปัญหาไปตกอยู่ที่คุณมากกว่า ว่าพร้อมจะนำทรัพย์สินมูลค่าเฉียด 18 ล้านบาท ไปครูดพื้น ไถกิ่งไม้ หรือเปล่า?
ถ้าคุณไม่ติดอะไร ก็มุ่งสู่เส้นทางออฟโรดได้เลย และ G 63 จะเผยสิ่งที่มันสืบทอดมาหลายทศวรรษให้คุณเห็น ประสิทธิภาพการบุกป่าฝ่าดงอันน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพกพละกำลังมหาศาลติดตัวมาด้วย เมื่ออยู่ในเกียร์อัตราทดต่ำ คุณสามารถใช้เพียงรอบเดินเบา (ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง) ก็ปีนป่ายทางชันได้อย่างไร้ปัญหา
เช่นเดียวกับเนินสลับที่คุณจะสัมผัสได้ถึงแรงตะกุยของแต่ละล้อได้ชัดเจน ในป่าทึบเช่นนี้ G 63 จึงดูราวกับ The Hulk ที่กำลังปีนป่ายไปตามขุนเขาอย่างช้าๆ ทว่าทรงพลังอย่างยิ่ง
แต่สำหรับผม คงไม่สนใจทั้งสมรรถนะออฟโรดและบนถนนทั่วไปของมัน ทว่าจินตนาการถึงโรงจอดรถที่มี G 63 และ Caterham 7 จอดเคียงข้างกัน นี่คงเป็นโมเดิร์นคลาสสิคการาจที่สมบูรณ์แบบทีเดียว…
จากการมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพบนทางทุรกันดาร ตัวถังของ G63 จึงวางอยู่บนแชสซีส์แบบ Ladder (เหมือนกับรถ PPV และกระบะทั่วไป) ผลิตจากโลหะความแกร่งสูง ซึ่งวิธีนี้จะได้ความแข็งแกร่งและเหมาะกับการขับขี่แบบออฟโรดมากกว่าแชสซีส์แบบ Unibody นอกจากนั้น โครงสร้างตามแนวยาวของแชสซีส์แบบ Ladder นี้ ยังห้อยลงมาต่ำกว่าถังน้ำมัน, ระบบไอเสีย และองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ใต้ท้องรถ จึงทำหน้าที่ปกป้องไม่ให้ชิ้นส่วนเหล่านี้ครูดพื้นขณะข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆ
แม้โดยภาพรวม G63 ดูไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ (ปี 2013) มากนัก ทว่าในความเป็นจริง ตัวถังรถได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยมีเป้าหมายหลัก 2 ประการ… ประการแรกคือ เพื่อลดน้ำหนักลง โดยใช้เครื่องจำลองในการประเมินถึงความแข็งแกร่ง, อายุการใช้งาน และคุณภาพ ของตัวถังรถ เพื่อเลือกชิ้นส่วนที่สามารถลดน้ำหนักได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยข้างต้น ดังนั้น จึงเลือกใช้อลูมิเนียมที่ฝากระโปรง, แก้มหน้า และประตู แล้วไปเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างที่เสา A และ B โดยใช้โลหะความแข็งแกร่งสูง เพื่อรับโหลดแทนชิ้นส่วนตัวถังที่เป็นอลูมิเนียม ขณะที่หลังคาเปลี่ยนจากการเชื่อมติดกับตัวถังด้วยวิธี Spot มาเป็นการเชื่อมด้วยเลเซอร์ ส่วนกระจก 3 บานหลัง ยึดติดเข้ากับตัวถังด้วยกาวแรงยึดเกาะสูง ซึ่งนอกจากช่วยลดการบิดตัวของตัวถังได้แล้ว ยังทนต่อการกัดกร่อนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย… และทั้งหมดนี้ช่วยลดการบิดตัวของแชสซีส์, ตัวถัง และจุดยึดตัวถัง ได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึงราว 55%
ในรุ่นปี 2021 เหมือนคันทดสอบของเรานี้ มีเพียงฝาครอบยางอะไหล่, ที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้า และมือเปิดประตูเท่านั้น ที่เป็นของเดิม เพราะแม้แต่บานพับประตูแบบคลาสสิคก็ยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้สามารถติดตั้งเข้ากับวัสดุอลูมิเนียมของประตู ซึ่งเป็นของใหม่เช่นกัน นอกจากนั้น ประตูทุกบานยังมีการบุฟอยล์เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปในห้องโดยสารขณะลุยน้ำลึกอีกด้วย
เมื่อเป็นรถจากตระกูล AMG แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับการตกแต่งแบบพิเศษ เพื่อให้ดูแตกต่างจาก G-class รุ่นมาตรฐาน ที่สำคัญก็คือ ทุกช่องรับและระบายอากาศ ไม่เพียงเพิ่มความดุดันเท่านั้น แต่ทั้งหมดต่างเป็นช่องที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานได้จริงอีกด้วย
ชุดไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณทั้งหน้าและหลังเป็น LED ทั้งหมด ไฟหน้ามาพร้อมกับเทคโนโลยี MULTIBEAM โดยโปรเจคเตอร์แต่ละดวงประกอบไปด้วยหลอด LED ประสิทธิภาพสูงถึง 84 ดวง ทำหน้าที่ปรับรูปแบบการส่องแสงให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมและเส้นทางอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถทำหน้าที่เป็นไฟสปอตไลต์ (เฉพาะไฟฝั่งขวา) ช่วยเพิ่มความสว่างให้กับฝั่งผู้ขับได้กว้างขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยลดแสงไฟที่สะท้อนกับหมอก (กลับเข้ามารบกวนสายตาผู้ขับ) ได้อีกด้วย
เครื่องยนต์ V8 ที่ประกอบขึ้นอย่างละเอียดละออด้วยมือ (พร้อมชื่อผู้ประกอบเครื่องตัวนั้นๆ) มีความจุ 4.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 2,500 ถึง 3,500 รอบ/นาที เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.5 วินาที และจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 220 กม./ชม. (หรือ 240 กม./ชม. เมื่อติดตั้งแพคเกจ AMG Driver) ผลลัพธ์อันน่าทึ่งนี้เกิดจากการใช้เทอร์โบที่ติดตั้งไว้บนกึ่งกลางระหว่างเสื้อสูบทั้งสองฝั่ง นอกจากลดพื้นที่ด้านข้าง (เมื่อติดตั้งเข้าไปในห้องเครื่อง) แล้ว ท่อทางเดินที่สั้นกว่ายังช่วยให้บูสต์ติดเร็ว จึงได้การตอบสนองคันเร่งในแบบแทบจะทันทีทันใด เครื่องยนต์สามารถทำงานเพียง 4 สูบได้ ด้วยระบบ AMG Cylinder Management โดยขณะขับขี่ในโหมด Comfort ที่รอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 3,250 รอบ/นาที ระบบจะหยุดการทำงานกระบอกสูบที่ 2, 3, 5 และ 8 เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงลง…
… ข่าวดีก็คือ คุณสามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้เพราะเครื่องยนต์ตัวนี้รองรับ E10 ซึ่งหาได้ง่ายกว่าออกเทน 95 ส่วนข่าวร้ายคือ อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ราว 7.5 กม./ลิตร (เราทำได้ 5.5 กม./ลิตร ด้วยการใช้ความเร็วสูงบ่อยๆ) เช่นเดียวกับการปล่อยมลพิษระดับ 299 กรัม/กม. ระบบไอเสียถูกออกแบบให้ทำงานอย่างสอดคล้องกันทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ที่เทอร์โบชาร์จเจอร์ทั้งสองตัว ซึ่งเป็นแบบ Twin Scroll ที่รับแรงดันไอเสียจากท่อร่วมไอเสียที่แยกเป็น 2 ช่องทาง จึงสามารถควบคุมแก๊สไอเสียที่ส่งไปยังกังหันเทอร์ไบน์ของเทอร์โบแต่ละตัวได้แยกอิสระจากกัน โดยแก๊สไอเสียจากกระบอกสูบที่ 1 และ 4 จะส่งไปยังท่อร่วมชุดที่ 1 และกระบอกสูบที่ 2 และ 3 ไปยังท่อร่วมอีกชุด ด้วยวิธีนี้ช่วยให้กระแสของแก๊สไอเสียไม่ไปรบกวนซึ่งกันและกัน จึงลดการเกิดแรงดันย้อนกลับได้ดียิ่งขึ้น ส่วนการระบายไอเสียเป็นหน้าที่ของท่อไอเสียแยกซ้ายขวา ตัวกรองไอเสียติดตั้งไว้ใกล้เครื่องยนต์และปรับการไหลของแก๊สใหม่เพื่อลดการปล่อยมลพิษลง ในขณะที่ตัวหม้อพักเป็นทรงกล่องวางตามแนวยาวขนานด้านข้างของตัวรถทั้งสองฝั่ง พร้อมวาล์วปรับความดังของเสียงตามโหมดการขับขี่ (หรือควบคุมเองจากภายในรถ) ปล่อยออกที่ปลายท่อไอเสียคู่ หน้าล้อหลังทั้งสองข้าง
ชุดเกียร์ 9 จังหวะ คลัตช์คู่ ได้รับการปรับซอฟต์แวร์ใหม่ให้เหมาะกับ G63 โดยเฉพาะ มีฟังก์ชั่น Double-declutching ซึ่งจะทำงานเมื่ออยู่ในโหมด Sport ขึ้นไป หน้าที่ของมันคือการปล่อย (และจับ) คลัตช์ 2 ครั้ง ในขณะดาวน์ชิฟต์ เช่นเมื่อเปลี่ยนจากเกียร์ 4 สู่เกียร์ 3 ครั้งแรกระบบปล่อยคลัตช์เพื่อปลดเกียร์ 4 สู่เกียร์ว่าง จากนั้นจับคลัตช์และเร่งรอบเครื่องยนต์เพื่อให้หมุนที่ความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของระบบขับเคลื่อน แล้วปล่อยคลัตช์อีกครั้ง, เข้าเกียร์ 3 และคลัตช์จับเครื่องยนต์อีกครั้ง… นี่คือเทคนิคที่ช่วยให้การดาวน์ชิฟต์เป็นไปอย่างราบรื่น ที่สำคัญก็คือ ขั้นตอนทั้งหมดนี้ ระบบเกียร์ของ G63 สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเพียงพริบตา นอกจากนั้น ด้วยการใช้ระบบคลัตช์คู่ คุณจึงสามารถลดเกียร์ลงต่ำแบบ “ข้ามเกียร์” ได้อีกด้วย
โหมดการขับขี่มีให้เลือก 8 รูปแบบ แบ่งเป็นสำหรับออนโรด 5 โหมด คือ Snow, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual ที่เปิดให้คุณเลือกปรับเครื่องยนต์และเกียร์แยกแต่ละโหมดได้ตามต้องการ อีก 3 โหมด ใช้สำหรับขับขี่ออฟโรด แบ่งเป็น Sand, Trail และ Rock โดยทั้ง 3 โหมดนี้จะปรากฏขึ้นให้เลือก เมื่อคุณล็อคเฟืองท้ายชุดกลางแล้วเท่านั้น การเปลี่ยนโหมดสามารถทำได้ทั้งจากสวิตช์ ‘DYNAMIC’ ที่คอนโซลกลาง และปุ่มหมุนฝั่งขวาของพวงมาลัย
G63 มาพร้อมความสามารถในการบุกตะลุย ด้วยชุดเกียร์ทรานส์เฟอร์ที่ปรับอัตราทดให้ต่ำยิ่งขึ้น จาก 2.1 เป็น 2.93 นั่นหมายถึง คุณสามารถไต่ทางชันได้ดีขึ้นที่รอบเครื่องยนต์เท่ากัน (เมื่อเทียบกับอัตราทดเดิม) การเปลี่ยนจากเกียร์ High Range เป็น Low Range สามารถทำได้แม้ขณะรถขับเคลื่อนอยู่ที่ความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. โดยกดปุ่มที่คอนโซลกลางของระบบ Command ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาจะเปลี่ยนจากการแบ่งกำลัง หน้า:หลัง ที่ 40:60 เป็น 50:50 อัตโนมัติเมื่อตรวจจับได้ว่ารถกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการแรงบิดเท่ากันทั้งหน้าและหลัง หรือเมื่อคุณกดปุ่มล็อคเฟืองท้ายชุดกลางซึ่งจะเป็นการล็อคระบบไว้ตลอดเวลา และเรียกโหมดออฟโรดทั้ง 3 รูปแบบ ตลอดจนการแสดงข้อมูลสำคัญๆ ของการขับขี่ออฟโรด ขึ้นมาใช้ได้ นอกจากนั้น เมื่อล็อคเฟืองท้ายชุดกลางแล้ว จะสามารถล็อคเฟืองท้ายชุดหน้าและหลัง 100% ได้อีกด้วย ผ่านการกดสวิตช์บนแดชบอร์ด โดยต้องล็อคเฟืองท้ายล้อหลังก่อน จึงจะสามารถล็อคชุดล้อหน้าได้ และล็อคได้ทั้งในเกียร์ High และ Low Range
ชิ้นส่วนต่างๆ ของช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ ติดตั้งเข้ากับแชสซีส์โดยตรง ขณะที่จุดยึดปีกนกล่างติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ วิธีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้ทั้งออนและออฟโรด ร่วมด้วยคานค้ำยันส่วนบนของสตรัททั้งสองเพื่อลดการบิดตัวของโครงสร้างตัวถัง ส่วนช่วงล่างด้านหลังใช้คานแข็งร่วมกับคอนโทรลอาร์ม 4 ชิ้นต่อข้าง และใช้ Panhard Rod อีก 1 แท่ง ทำหน้าที่ลดการเอียงตัวขณะเข้าโค้งร่วมกับเหล็กกันโคลง ทั้งสี่ล้อมาพร้อมกับสปริงขดและแดมเปอร์แบบปรับการทำงานอัตโนมัติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ AMG Ride Control ที่ใช้การควบคุมอัตโนมัติเต็มระบบด้วยอิเลกทรอนิกส์ สามารถปรับแดมเปอร์ของแต่ละล้อได้แยกอิสระ ตามลักษณะการขับขี่, สภาพเส้นทาง และโหมดการขับขี่ที่ผู้ขับเลือก คันทดสอบของเรามาพร้อมกับล้อขนาด 22 นิ้ว ร่วมด้วยยาง Pirelli Scorpion Zero ขนาด 295/40 ทั้งสี่ล้อ
ระบบบังคับเลี้ยวควบคุมด้วยไฟฟ้าให้สัมผัสที่ยอดเยี่ยม ทั้งสื่อสาร, เฉียบคม และให้น้ำหนักที่เหมาะสมเมื่อใช้ความเร็ว ทว่าหมุนได้เบามือเมื่อขับขี่ช้าๆ ไปตามกระแสการจราจรในเมือง ตัวพวงมาลัยมีขนาดกำลังดี จับได้ถนัดมือ และจัดวางได้ลงตัวกับตำแหน่งเบาะนั่ง มาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบหมุนที่ฝั่งขวา สำหรับเลือกโหมดการขับขี่ และปุ่มแบบกดที่ฝั่งซ้าย ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ปุ่มทางลัด” เพื่อเข้าสู่การปรับตั้งค่าสำคัญๆ ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนเกียร์แบบ Manual, ระดับเสียงท่อไอเสีย, เมนู AMG, เปิด/ปิด ระบบ DSC เป็นต้น เลือกการแสดงเมนูเหล่านี้จากการกดบนหน้าจอนี้ (ด้านบนและล่าง) จากนั้นสามารถเลือกการใช้งานได้จากปุ่มกดทั้งสองด้านข้างจอ
บรรยากาศแบบย้อนยุคของห้องโดยสาร (รวมถึงราวจับบนแดชบอร์ดฝั่งผู้โดยสาร) เข้ากับดีไซน์ภายนอกได้เป็นอย่างดี กรอบที่ล้อมรอบช่องลมแอร์มีดีไซน์คล้ายกับกรอบที่ล้อมรอบชุดไฟหน้ารถ ในขณะที่ลำโพงเสียงแหลมบนแดชบอร์ดก็ออกแบบให้ดูคล้ายกับไฟเลี้ยวบนแก้มหน้ารถ และด้วยการออกแบบห้องโดยสารใหม่นี้ ส่งให้ได้พื้นที่เพิ่มขึ้น 101 มม. ตามความยาว, 121 มม. ตามความกว้าง และ 40 มม. ตามความสูง นอกจากนั้น เบาะหลังยังสามารถพับได้ทั้งหมดเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระอีกด้วย
จอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว ทั้งสอง ติดตั้งรวมอยู่บนแผงเดียวกัน ครอบทับด้วยกระจกชิ้นเดียว จอหนึ่งสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ ให้แก่ผู้ขับ ส่วนอีกจอใช้เพื่อแสดงข้อมูลของระบบอินโฟเทนเมนต์และการปรับค่าต่างๆ ของรถตลอดจนระบบควบคุมอื่นๆ แต่เนื่องจากคันทดสอบของเราเป็นรุ่นปี 2019+ หน้าจอนี้จึงยังไม่มีระบบทัชสกรีน นั่นหมายถึง คุณต้องควบคุมการทำงานผ่านชุด Command บนคอนโซลกลางเท่านั้น… ชุดเครื่องเสียงไฮเอนด์จาก Bermester ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเช่นกัน
เบาะนั่งแบบสปอร์ตติดตั้งแพคเกจ Active Multicontour Seat มาให้เรียบร้อย นั่นหมายถึง ผู้ขับและผู้โดยสารเบาะหน้า จะได้ระบบปรับปีกเบาะอัตโนมัติตามการเลี้ยว เพื่อรองรับลำตัวขณะเกิดแรงเหวี่ยง โดยทั้งปีกเบาะและพนักพิงจะมี “ถุงลม” ที่จะเพิ่มหรือลดการพองตัวอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น เมื่อเลี้ยวขวา ปีกเบาะด้านซ้ายจะพองออกเพื่อบีบเข้าหาลำตัว เป็นต้น นอกจากนั้น แพคเกจนี้ยังมาพร้อมกับระบบระบบนวด ตลอดจนระบบทำความเย็นและความร้อนอีกด้วย ที่ขาดไม่ได้คือเข็มขัดนิรภัยสีแดงและการตกแต่งแบบพิเศษอื่นๆ ซึ่งมีให้เฉพาะรถกลุ่ม AMG เท่านั้น
SPECIFICATIONS: Mercedes-AMG G63 G Manufaktur Green Hell Magno
Price: ฿21,900,000
Engine: 3892cc twin-turbo V8, 585hp @ 6000rpm, 850Nm @ 2500-3500rpm
Transmission: 9-speed automatic, all-wheel drive
Performance: 4.5sec 0-100km/h, 220km/ top speed, 299g/km CO2
Weight: 2560kg