รีวิว ลองขับ MERCEDES-BENZ EQS 500 4MATIC AMG PREMIUM ยนตรกรรมไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่ขับเคลื่อนได้ไกลถึง 702 กม. ใช้ระยะเวลาการชาร์จเพียง 31 นาที
รีวิว ลองขับ MERCEDES-BENZ EQS 500 4MATIC AMG Premium 449 แรงม้า
MERCEDES-BENZ EQS 500 4MATIC AMG PREMIUM
ยนตรกรรมพลังไฟฟ้าคันที่สองของ Merc มาพร้อมกับภาพลักษณ์และฟีเจอร์ไฮเทค ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนของแบรนด์ และแน่นอนว่า เมื่ออยู่ในอนุกรม “S” หมายถึง นี่คือรถที่หรูหราฟู่ฟ่าตามแบบฉบับของค่ายดาวสามแฉก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Hyperscreen” ที่ครอบด้วยกระจกชิ้นเดียวขึ้นรูปแบบ 3 มิติ ที่มีความยาวถึงกว่า 1.4 เมตร!
สิ่งที่ฟู่ฟ่าไม่แพ้กันก็คือตัวเลขพละกำลัง… 449 แรงม้า และแรงบิดแบบ Instant ระดับมหากาฬถึง 828 นิวตันเมตร ทั้งหมดนี้ได้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว สำหรับล้อคู่หน้าและคู่หลัง นั่นหมายถึง EQS คันนี้ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.8 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 210 กม./ชม.
นั่นอาจไม่ใช่ตัวเลขความเร็วสูงสุดที่คุณเคยชินกับรถระดับมากกว่า 400 แรงม้าของ Merc ที่มักทำได้เต็มขีดจำกัดที่ 250 กม./ชม. เกือบทั้งสิ้น แต่ในเมื่อนี่คือรถไฟฟ้า สิ่งที่สร้างความบันเทิงให้คุณอย่างแท้จริงคืออัตราเร่งต่างหาก… ไม่ว่าจะอยู่ที่ความเร็วต่ำ, กลาง หรือสูง
EQS จะพาคุณ “วาร์ป” ไปข้างหน้าทันทีที่คันเร่งมิดพรม มอเตอร์ทั้งสองส่งพลังออกมาอย่างไม่ต้องรีรอแม้เพียงเสี้ยววิ’ และคุณจะขึ้นสู่ 210 กม./ชม. ของมันได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง!
และต้องไม่ลืมว่า นี่คือรถที่อยู่ในระดับเทียบเคียงกับ S-Class ICE นั่นหมายถึง แม้ที่ความเร็วสูง EQS ยังคงให้ความรู้สึกเงียบสงบ ทรงตัวนิ่ง และสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ราวกับมีปาฏิหาริย์ ไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่เบาะหลังหรือเป็นผู้ขับเอง ก็สามารถสัมผัสถึงความเป็นยนตรกรรมเหนือระดับซึ่งเป็นเรื่องถนัดของMerc ได้เด่นชัดทั้งสิ้น และแม้ตัวถังจะมีความยาวระดับ 5 เมตร
ทว่าระบบเลี้ยวล้อหลังก็ช่วยให้การกลับรถหรือซอกแซกบนทางแคบๆ เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น โดยระบบมาตรฐานที่มากับรถสามารถหักเลี้ยวได้ 4.5 องศา แต่คุณยังเลือกออปชั่นหักเลี้ยว 10 องศา และอัพเดตแบบ Over-the-air จากรถได้เลยอีกด้วย
เมื่ออยู่บนเส้นทางที่อุดมไปด้วยโค้ง น้ำหนักของแบตเตอรี่จะเริ่มส่งผลต่อการทรงตัวของ EQS ด้วยช่วงล่างที่เซ็ตให้นุ่มนวลถึงคุณจะอยู่ในโหมด Sport ขึ้นไปก็ตาม ส่งให้รถมีการเอียงตัวมากกว่า S แบบเครื่องยนต์อย่างเห็นได้ชัด เมื่อรวมกับระบบเบรกที่ให้สัมผัสไม่เป็นธรรมชาติ (คุณจะรู้สึกเหมือนเบรกไม่ค่อยอยู่ หากเหยียบไม่แรงพอ)
นี่จึงไม่ใช่รถที่จะมอบความบันเทิงในทางโค้งให้กับคุณอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ระบบบังคับเลี้ยวบวกด้วยระบบเลี้ยวล้อหลัง มีส่วนช่วยให้รถสามารถแล่นผ่านทั้งเข้าและออกโค้งได้โดยไม่ต้องลุ้นมากนัก
ที่ราคา 7.9 ล้านบาท EQS 500 เป็น EV ที่ควรเก็บไว้เป็นตัวเลือกในลิสต์ของคุณ เคียงคู่ไปกับ BMW i7, Porsche Taycan และน้องใหม่ในไทยอย่าง Tesla Model S ปฏิเสธไม่ได้ว่า EQS มีชื่อชั้นในฐานะรถจาก Mercedes ที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างรถระดับหรูได้ยอดเยี่มเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
แต่มันอาจไม่ใช่รถที่จะสามารถมัดใจทุกคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณคาดหวังว่า EQS จะให้สัมผัสอันไร้ที่ติแบบ S-Class ICE
แม้จะอยู่ในระดับเดียวกับ S-class แต่ EQS ใช้แพลตฟอร์มใหม่ซึ่ง Mercedes ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ หนึ่งในแก่นสำคัญของแชสซีส์ที่เฉพาะเจาะจงนี้ คือเรื่องของความปลอดภัย… เมื่อเทียบกับการนำแพลตฟอร์มของรถยนต์ ICE มาใช้ ซึ่งต้องจัดวางแบตเตอรี่ลงไปในพื้นที่ซึ่งถูกปรับปรุงให้รองรับได้ วิศวกรของ Merc สามารถเลือกบริเวณที่ปลอดภัยของแพลตฟอร์มที่ออกแบบขึ้นสำหรับ EV โดยตรงนี้ เพื่อใช้ติดตั้งแบตเตอรี่ และทำให้พื้นที่ดังกล่าวแข็งแกร่งได้ตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนั้น เมื่อไม่มีเครื่องยนต์ ส่วนหน้าของรถจึงถูกออกแบบให้เป็นส่วนรับแรงกระแทกหากเกิดการปะทะได้มากขึ้นอีกด้วย
ตัวถังแบบคูเป้ 4 ประตู จัดวางห้องโดยสารเยื้องมาด้านหน้า ขณะที่หลังคาทรงคันธนูโค้งจากเสา A อย่างพริ้วไหวมาจนสุดเสา C ช่วยเพิ่มลุคแบบ Concept Car ล้ำยุคให้กับ EQS และเน้นย้ำความโค้งของหลังคาด้วยการใช้คิ้วโครเมี่ยมล้อมรอบกระจกหน้าต่างของประตูแบบไม่มีกรอบกระจก เมื่อรวมกับส่วนท้ายที่สั้นกุด ทำให้ได้ภาพลักษณ์แบบสปอร์ตไตล์คูเป้ล้ำสมัย
หน้ารถโดดเด่นด้วยกระจังหน้าสีดำเงาที่ Mercedes เรียกว่า ‘Black Panel’ ประดับประดาด้วยสัญลักษณ์ดาวสามแฉกที่เป็นเครื่องหมายการค้าดีไซน์ดั้งเดิมตั้งแต่ยุคก่อตั้งบริษัท Daimler-Motorengesellschaft ในปี 1911 ขนาดเล็กร้อยเรียงเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสง และที่กระจังหน้านี้ ยังเป็นที่อยู่ของเซนเซอร์มากมาย อาทิ อัลตร้าโซนิก, กล้อง, เรด้าร์ และลิด้าร์ (เลเซอร์) เป็นต้น อีกด้วย
โคมไฟหน้ารูปทรงเรียวบาง มาพร้อมกับ DRL 3 จุด เอกลักษณ์ใหม่ของ Mercedes ระดับเรือธง และแถบแสงด้านบนที่พาดยาวต่อเนื่องตลอดความกว้างของรถ ไฟหลักใช้เทคโนโลยี Digital Light ซึ่งประกอบด้วย หลอด LED พลังสูงโคมละ 3 ดวง โดยมีกระจกขนาดจิ๋วมากถึง 1.3 ล้านแผ่น ทำหน้าที่หักเหและนำแสงไปยังทิศทางและในรูปแบบต่างๆ กระจกแต่ละแผ่นทำงานแยกอิสระจากกัน ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้อยู่ในเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ นั่นหมายถึง ไฟหน้าของ EQS สามารถฉายภาพและกราฟฟิกรูปแบบต่างๆ ลงบนถนนได้ ด้วยการใช้หน่วยประมวลผลกราฟฟิกอันทรงพลัง ฉายวิดีโอลงไปยังกระจกจิ๋วเหล่านั้น ด้วยความละเอียดถึง 2.6 ล้านพิกเซล
ส่วนท้ายที่โค้งมนและลาดเอียงสไตล์คูเป้ ถูกเติมเต็มด้วยชุดไฟท้ายรูปทรงพริ้วไหวกลมกลืนกับภาพรวมของรถ และเช่นเดียวกับไฟหน้า มีการใช้แถบไฟเรืองแสงคาดยาวตลอดแนว ที่มุมทั้งสองข้างขดเป็นเกลียวดูน่าตื่นตาตื่นใจ มีปอยเลอร์ขนาดเล็กติดตั้งไว้ด้านบนส่วนปลายของฝาท้ายที่มีช่องว่างระหว่างตัวถังเพียงเล็กน้อยจนดูราวกับไร้รอยต่อ
EQS เป็นรถที่สร้างสถิติใหม่ในเรื่องของ cd. (ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน) ด้วยค่า cd. เพียง 0.20 ต้องยกความดีความชอบให้กับการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์มากมาย อาทิ ปิดช่องว่างของรอยต่อระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ, ใต้ท้องรถที่ปิดแบนเรียบ, ล้อแบบลดแรงเสียดทานอากาศ เป็นต้น และยังรวมไปถึงมือเปิดประตูที่จะเลื่อนเก็บเข้าไปแนบสนิทเรียบเนียนกับตัวรถเพื่อลดแรงเสียดทาน ความพิเศษอีกอย่างของมือเปิดประตูก็คือ มันจะเลื่อนออกมาเมื่อคุณ (ซึ่งพกรีโมทไว้กับตัว) เดินเข้าใกล้รถ และประตูบานที่คุณเดินเข้าใกล้จะเปิดออกอัตโนมัติเมื่อคุณอยู่ในระยะราว 1.5 เมตร ก่อนถึงรถ
เมื่อไม่มีเครื่องยนต์ พื้นที่ใต้ฝากระโปรงหน้าจึงกลายเป็นที่อยู่ของอุปกรณ์กรองอากาศก่อนถูกส่งไปยังห้องโดยสาร และองค์ประกอบด้านเทคนิคอื่นๆ ของรถ ทำให้การเปิดฝากระโปรงหน้าเป็นเรื่องของช่างเทคนิคที่จะทำเมื่อรถต้องเข้ารับการบำรุงรักษาตามระยะทางเท่านั้น คุณจึงพบว่าไม่มีก้านให้ดึงเปิดฝากระโปรงแบบรถทั่วไป สิ่งเดียวที่คุณจำเป็นต้องทำเองก็คือการเติมน้ำฉีดกระจก จากช่องที่ติดตั้งซ่อนไว้รวมกับแก้มหน้ารถ
พละกำลัง 449 แรงม้า, 828 นิวตันเมตร ได้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำงานร่วมกันแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ EQS ถูกทดสอบความทนทานในสภาพอากาศต่างๆ เป็นระยะทางมากกว่า 5 ล้าน กม. บวกด้วยอีกกว่า 1 ล้าน กม. เพิ่มเติม บนแท่นทดสอบ เพื่อทดสอบเฉพาะทางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ อาทิ แบตเตอรี่, ประสิทธิภาพการชาร์จไฟ, ระยะทางที่วิ่งได้ และอัตราสิ้นเปลืองการใช้พลังไฟ เป็นต้น ตัวมอเตอร์ไฟฟ้ามาพร้อมระบบระบายความร้อนในตัว และได้รับการพัฒนาให้มีแรงสั่นสะเทือนน้อย ร่วมด้วยการลดเสียงการทำงานลง เพื่อลดเสียงการทำงานที่จะเข้ามารบกวนในห้องโดยสาร
แบตเตอรี่ความจุ 108.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตลอดจนซอฟแวร์ที่สามารถอัพเดตแบบ OTA ได้ ของ EQS ถูกผลิตขึ้นเองโดย Mercedes สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึงกว่า 700 กม./ชาร์จ ตัวแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่ในตัวเรือนแบบดูดซับแรงกระแทกได้ ที่จัดวางไว้บริเวณโซนป้องกันการชนใต้ท้องรถ นอกจากนั้น ในกรณีที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรง สายไฟและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องกับระบบกระแสไฟแรงสูง (HV – High-voltage) สามารถปิดการทำงานและปลดการเชื่อมต่อได้เองอัตโนมัติ ทั้งแบบปลดถาวร ซึ่งจะทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เพื่อป้องกันไฟดูด จึงไม่สามารถกลับมาใช้งานได้จนกว่าจะได้รับการซ่อมแซม และแบบสามารถต่อกลับใช้งานได้ ซึ่งระบบจะตรวจสอบอีกครั้งว่ามีความปลอดภัยก่อนจ่ายกระแสไฟให้ดังเดิมอีกครั้ง
ใช้เกียร์อัตราทดเดียวตามแบบฉบับของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ พร้อมโหมดการขับขี่ต่างๆ ที่สามารถเลือกได้จากปุ่มระบบสัมผัสบนคอนโซลกลาง ระบบ Regen ของ EQS 500 สามารถกู้คืนพลังงานได้สูงสุดถึง 290 กิโลวัตต์ โดยผู้ขับสามารถเลือกระดับการ Regen ได้จากแป้นหลังพวงมาลัย จาก “เบาสุด” เพื่อให้รถไหลไปข้างหน้าได้ไกลเมื่อถอนคันเร่ง ไปจน “แรงสุด” ที่สามารถขับได้แบบ One-pedal ด้วยประสิทธิภาพการกู้คืนสูงสุดถึง 5 เมตร/มิลลิวินาที โดยแบ่งเป็น 3 เมตร/มิลลิวินาที เมื่อถอนคันเร่ง และ 2 มิลลิวินาที ขณะเบรก นอกจากนั้น ในกรณีที่ระบบคำนวนแล้วว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่รถมีไฟในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอให้ไปถึงจุดหมายหรือสถานีชาร์จที่ตั้งไว้ ระบบจะปรับเข้าสู่โหมด ECO และแสดงความเร็วแนะนำ (จากการคำนวนอัตโนมัติเพื่อให้ถึงจุดหมายได้) ให้ผู้ขับขี่เห็นบนมาตรวัด และยังเปิดให้ผู้ขับสามารถเลือกปิดระบบอื่นๆ ที่ใช้พลังไฟฟ้าอยู่ เพื่อเป็นการลดอัตราสิ้นเปลืองได้อีกทางหนึ่ง
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ‘4Matic’ ได้มาจากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แยกกันขับเคลื่อนล้อคู่หน้าและหลัง โดยมีฟังก์ชั่น Torque Shift คอยทำหน้าที่กระจายแรงบิดในการขับเคลื่อนระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังอย่างชาญฉลาดและต่อเนื่อง ช่วยให้มอเตอร์ทั้งสองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ การแบ่งถ่ายแรงบิดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์นี้ ช่วยให้การตอบสนองการทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าระบบกลไกอย่างมาก
ติดตั้งล้อขนาดใหญ่ถึง 21 นิ้ว พร้อมยาง 265/40 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ใช้ช่วงล่างแบบ 4-link ที่ด้านหน้า และ Multi-link ที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับถุงลม ‘AIRMATIC’ และแดมเปอร์แบบปรับค่าอัตโนมัติ ‘ADS+’ ผลลัพธ์คือความนุ่มนวลในแบบที่ไม่เคยทำให้คุณผิดหวัง ช่วงล่างแต่ละล้อทำงานแยกกันอิสระและปรับความสูงได้อัตโนมัติตามความเร็วที่กำหนดไว้ เช่น ต่ำลงจากมาตรฐาน 10 มม. ที่ความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. และปรับต่ำลงไปอีก 10 มม. หากเกินกว่า 160 กม./ชม. เพื่อลดแรงเสียดทานและเพิ่มการบังคับควบคุมได้ดีขึ้น นอกจากนั้น ยังมีระบบเลี้ยวล้อหลัง ที่จะเลี้ยวในทิศทางเดียวกันเมื่อมีการเปลี่ยนทิศทางของรถ และในทิศทางตรงกันข้าม ขณะใช้ความเร็วต่ำ เพื่อลดรัศมีวงเลี้ยวให้แคบลง โดยสามารถหักเลี้ยวได้สูงสุด 4.5 องศา และคุณยังสามารถอัพเกรดเป็น 10 องศา ผ่านการซื้อออปชั่น (ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน) แบบ Over-the-air ได้อีกด้วย
ระบบบังคับเลี้ยวให้การตอบสนองที่เฉียบคม, ฉับไว และเป็นธรรมชาติ ทำงานร่วมกับระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ด้วยระบบ Active Steering Assist ที่ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนได้จนถึงขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของ EQS 500 ที่ 210 กม./ชม. นอกจากนั้น ระบบยังสามารถทำงานได้แม้ไม่มีเส้นจราจร ด้วยการตรวจจับขอบถนนแทนอีกด้วย
ห้องโดยสารดีไซน์มินิมอลตามสไตล์รถยนต์ไฟฟ้า และในฐานะที่ถูกวางตำแหน่งไว้เทียบเคียงกับ S-Class แน่นอนว่าต้องมีการเก็บเสียงที่ยอดเยี่ยมขั้นสูงสุด ด้วยการใช้กระจกป้องกันเสียงและวัสดุซับเสียงทั่วทั้งห้องโดยสาร ร่วมด้วยการลดแรงสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนขององค์ประกอบต่างๆ ของรถ การอยู่ใน EQS จึงมีคุณภาพใกล้เคียงกับ S-Class ทว่าให้สัมผัสที่ล้ำอนาคตกว่า จากความแพรวพราวของจอแสดงผลต่างๆ ทั่วทั้งคัน และปุ่มระบบสัมผัสต่างๆ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘Hyperscreen’ คือไฮไลต์สำคัญของ EQS ความน่าตื่นตาตื่นใจเริ่มตั้งแต่กระจกแบบชิ้นเดียวซึ่งยาวร่วม 1.4 เมตร ขึ้นรูปโค้งแบบ 3 มิติ ด้วยกรรมวิธีปั๊มโดยใช้ความร้อนสูง 650 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ในการทำเลนส์ของกล้องถ่ายรูปและกระจกของโทรศัพท์มือถือ ทำให้สามารถมองเห็นหน้าจอทั้งหมดได้โดยไม่มีการ Distort สีดำที่เห็นเป็นการพิมพ์สีลงไปที่ด้านหลังของกระจกเพื่อให้ดูกลมกลืนแนบเนียนไปกับจอแสดงผล OLED พร้อมการเคลือบกระจกแบบพิเศษเพื่อให้สามารถทำความสะอาดรอยนิ้วมือได้ง่ายขึ้น ระบบ MBUX ‘Hyperscreen’ ประกอบด้วยจอแสดงผล 3 จอ สำหรับผู้ขับ (12.3 นิ้ว), จอส่วนกลาง (17.7 นิ้ว) และจอสำหรับผู้โดยสาร (12.3 นิ้ว) ซึ่งจะเป็น Screen Saver เมื่อไม่มีผู้นั่ง เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ มีระบบ Haptic ตอบสนองด้วยการสั่นเมื่อกด ที่จอส่วนกลางและของผู้โดยสาร
อากาศที่จะผ่านเข้ามาในห้องโดยสาร ถูกกรองโดยกรองอากาศ HEPA (High Efficiency Particulate Air) ที่เคลือบด้วย Activated Charcoal มากถึงราว 600 กรัม หรือมากกว่าครึ่งกิโลกรัม ระบบกรองอากาศขนาดมหึมานี้ มีมิติใกล้เคียงกับกระดาษขนาด A2 (เทียบเท่ากระดาษ A4 เรียงกัน 4 แผ่น) ติดตั้งไว้ที่ใต้ฝากระโปรงหน้า สามารถกรองได้ตั้งแต่ฝุ่นขนาดใหญ่ ไปจนถึง PM2.5, ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ รวมไปถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทั้งยังลดแบคทีเรียและไวรัสได้โดยตรงจากตัวกรองอากาศอีกด้วย
แม้มีหลังคาที่ลาดต่ำ แต่เบาะหลังก็มีพื้นที่เหนือศีรษะและโดยรอบเหลือเฟือ มาพร้อมกับ MBUX High-End Rear Seat Entertainment Plus ซึ่งประกอบด้วยจอแสดงผลขนาด 11.6 นิ้ว สำหรับผู้นั่งทั้งสองฝั่ง คุณจึงสามารถสั่งการทำงานต่างๆ อาทิ ใช้ระบบแผนที่นำทาง, ดูหนัง, ฟังเพลง และควบคุมระบบอื่นๆ ได้เกือบเทียบเท่ากับการใช้จอแสดงผลส่วนกลาง
EQS 500 มาพร้อมกับชุดเครื่องเสียงรอบทิศทางจาก Burmester ซึ่งมีเพาเวอร์แอมป์ 15 แชแนล ให้กำลังขับ 710 วัตต์ และลำโพงทั้งหมด 15 ตัว โดย 2 ตัวในนั้น เป็นซับวูฟเฟอร์ด้านหน้าที่ออกแบบขึ้นโดย Mercedes ติดตั้งไว้บริเวณผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้าอย่างละ 1 ตัว นอกจากนั้น การมาพร้อมเครื่องเสียงจาก Burmester ยังหมายถึง คุณจะได้เสียงสังเคราะห์ที่จำลองเสียงประกอบการขับขี่ 2 รูปแบบด้วยกันคือ ‘Silver Waves’ ซึ่งเลียนแบบเสียงการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับเป็นซาวด์แทร็คประกอบการทำความเร็ว และ ‘Vivid Flux’ ที่ให้เสียงทุ้มๆ กว่า นอกจากนั้น คุณยังสามารถปลดล็อคเสียงแบบอื่นๆ ได้จากเทคโนโลยี Over-the-air อีกด้วย
Price: ฿7,900,000 (Included MBSP)
Drivetrain: Twin-electric motor, 449hp, 828Nm
Transmission: Single speed automatic, 4MATIC all-wheel drive
Performance: 4.8sec 0-100km/h, 210km/h top speed