รีวิว ลองขับ MG ES EV STATION WAGON ให้พละกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ระยะทาง 450 กม.
รีวิว ลองขับ MG ES รถไฟฟ้า 100% สไตล์ครอบครัว ราคา 959,000 บาท
MG ES
“จากการนำร่องของ MG EP … สู่ MG ES ความสมบูรณ์แบบของยนตรกรรม Station Wagon พลังไฟฟ้า 100% รุ่นล่าสุด ที่บอกได้เลยว่า “ครบครันขั้นสุด แบบคาดไม่ถึง” ทั้งเรื่องดีไซน์ ความสะดวกสบาย และสมรรถนะ”
MG โดย บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ต้องยอมรับ ในความมุ่งมั่นของการทำตลาด เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ตัวเลือกอันดับต้นๆ ในใจผู้บริโภคชาวไทย
และผลลัพธ์ที่ได้ก็ “สำเร็จ” อย่างสวยงามซะด้วย สังเกตจากจำนวนรถราบนท้องถนน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือ แบรนด์ MG มียนตรกรรมที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย ภายใต้ราคาที่ “เอื้อมถึง” จนเป็นหนึ่งในเคล็ดลับสำคัญ แห่งการสร้างความสำเร็จ นอกเหนือไปจากองค์ประกอบอื่นที่เราๆ ท่านๆ รู้กัน
โดยความหลากหลายของยนตรกรรมที่กล่าวมา ไม่ได้หมายถึงแค่ประเภทของยนตรกรรมเท่านั้น หากแต่รวมถึงประเภทของเชื้อเพลิงด้วยเช่นกัน เพราะในขณะที่หลายค่ายยังคง “เก้ๆ กังๆ” เรื่องการทำตลาด
แต่ MG มาพร้อมความกล้าแทบจะเป็นรายแรกๆ ในบ้านเรา ส่ง MG EP เป็นใบเบิกทาง ก่อนจะตอกย้ำให้เห็นความจริงจังอย่างชัดเจนกับการมาของ ยนตรกรรมพลังไฟฟ้า 100% มากมายหลายรุ่นในสังกัด ตั้งแต่ MG EP Plus, MG ZS EV, MG4 Electric, MG Magus 9
และพระเอกของเรา MG ES ที่มากับคอนเซ็ปต์ “Comfortable เป็นทุกอย่าง เพื่อทุกโมเมนต์” ในฐานะ Station Wagon พลังไฟฟ้า 100% ที่เราเข้าใจว่าตำแหน่งทางการตลาดแตกต่างจาก MG EP Plus แน่นอน เพราะครั้งนี้ดูเหมือน MG จะปั้น ES ออกมาในแบบฉบับ New Era Design นำเสนอความล้ำสมัย ผสมผสานความหรูหรา
ไล่มาจนถึงความกว้างขวางของพื้นที่ใช้สอย, ฟังก์ชันการใช้งานแบบครบๆ จบที่สมรรถนะอันเหนือกว่าของมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ ภายใต้ความปลอดภัยเหนือระดับไปอีกขั้น
โดย New Era Design ที่กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อแปลออกมาเป็นรูปธรรม เราจะได้งานดีไซน์ใหม่ที่ไล่มาตั้งแต่ ชุดกันชนหน้า และชุดไฟหน้าแบบ Light Curtain Design ก่อนเสริมคุณสมบัติความเป็นรถอเนกประสงค์ Station Wagon ให้สมบูรณ์แบบ
ด้วยชุดราวแร็คหลังคา (Roof Rail) ที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม รวมถึงห้องโดยสารภายใน ที่ไม่เพียงกว้างขวาง แต่ยังสามารถรองรับสัมภาระได้สูงสุดถึง 1,367 ลิตร
นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งภายใน ด้วยเส้นสายโทนสีฟ้า Energetic Blue Strip เพื่อยกระดับความหรูหรา ไปพร้อมๆ กับการบ่งบอกถึงความเป็นยนตรกรรมพลังไฟฟ้า 100% อีกหนึ่งจุดเด่นก็คือ เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยี Zero-G Seats เข้ามากระจายน้ำหนัก เพื่อรองรับสรีระให้ดียิ่งขึ้น
รวมไปถึงมีการใช้วัสดุหุ้มเป็นหนังสังเคราะห์ Denim Texture Design ที่มีผิวสัมผัสคล้ายผ้ายีนส์ เข้ามาช่วยปรับให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้นอีกด้วย
ไฮไลท์ที่ทั้งเราเอง ตลอดจนเราก็เชื่อว่าผู้บริโภคทั้งหลายยอมรับ ก็คือ เรื่องของระบบความปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะ MG ES เท่านั้น หากแต่เกือบทุกรุ่นภายใต้แบรนด์ MG ก็ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยมาให้ อย่างล้นหลาม
ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) ที่มาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronised Protection System และระบบ Advanced Driver Assistance System (ADAS) รวมแล้วกว่า 20 ระบบ
โดยมีไฮไลท์ อาทิ ระบบควบคุมเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยเตือน เมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking),
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist), ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
และไม่พูดถึงไม่ได้ กับระบบสั่งการอัจฉริยะ i-SMART ในรูปแบบ Lite version ที่ผู้ขับขี่สามารถควบคุม และรับการแจ้งเตือนสำคัญจากรถของตัวเองได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์, ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์, ระบบสั่งการกุญแจดิจิตอล, ระบบโทรออก – รับสายกรณีฉุกเฉิน Emergency Call
หรือแม้กระทั่งระบบสั่งการ MG Super Charge ซึ่งเป็นอะไรที่เราชอบมาก เพราะการมีแอปพลิเคชันของ MG อยู่ในมือ จะทำให้คุณใช้ชีวิตกับรถพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น การมองหาสถานีชาร์จใกล้ๆ ตัว
เพราะฉะนั้น ในจุดนี้เราเลยมองว่า การมีแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง คือ สิ่งที่เป็นไฮไลท์ เหนือคู่แข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณเลือกที่จะใช้รถพลังงานไฟฟ้า 100%
MG ES มากับเทคโนโลยี e- Performance ที่เหนือชั้นกว่า ไล่ตั้งแต่แพลตฟอร์มระบบส่งกำลัง ที่มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบากว่า แต่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นถึง 53% ตามด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เจเนอเรชันใหม่ แบบ 8-Layer Hairpin Permanent Magnetic Synchronous Motor (PMSM) มีพละกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร
โดยนอกจากเคลมว่ามีการตอบสนองที่ดีขึ้นแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้าแบบใหม่ ยังสามารถปรับเร่งรอบได้สูงถึง 15,000 รอบต่อนาทีเลยทีเดียว และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ MG ES ทำความเร็วสูงสุดได้มากถึง 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งสามารถปรับตั้งค่าได้ถึง 3 ระดับ
ส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ นำมาจาก แบตเตอรี่ ลิเธี่ยมไอออนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ให้มีน้ำหนักเบาลงถึง 22% ทั้งยังทำการอัพเกรดระบบระบายความร้อน Liquid Cooling System ขึ้นใหม่ เพื่อช่วยให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
โดยสามารถทำระยะการขับเคลื่อนได้ไกลสูงสุดถึง 412 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle)
ในส่วนของอารมณ์การขับ ไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาออกถึงสไตล์ของ รถพลังไฟฟ้า 100% … ซึ่งแน่นอนว่า “ความเร้าใจ” มีให้ตั้งแต่เริ่มกดคันเร่ง เพราะไม่ต้องนั่งง้อรอบเครื่องยนต์ แต่ “ความเร้าใจ” ของ MG ES จะเป็นอะไรที่แตกต่าง ราวกับถูกกำหนดมาแบบเฉพาะเจาะจง
สมมุติว่า ถ้าจุ่มคันเร่งออกตัวใน MG4 Electric ชัดเจนที่สุด ก็คงต้องเป็น แรงดึงหนักๆ พร้อมเสียงยางเล็กๆ แหลมๆ ซึ่งเป็นอะไรที่เหมาะสมกับความสปอร์ตที่สื่อสารออกมา … แต่กับ MG ES ที่ถูกกำหนดให้เป็นรถอเนกประสงค์แบบ Station Wagon แม้จะผสมผสานด้วยความสปอร์ตบ้าง แต่การสื่อสารด้านสมรรถนะ ก็ใช่ว่าจะมาแบบเต็มเม็ด เต็มหน่วยซะทีเดียว
ฉะนั้นเราจึงไม่เจอรสชาติแบบ MG4 Electric ต่อให้เป็นพลังงานไฟฟ้า 100% เหมือนกันก็ตาม เพราะการถ่ายทอดพละกำลังของ MG ES ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Station Wagon ที่ผสมผสานด้วยความสปอร์ต … พูดง่ายๆ ว่า MG ES คือ พ่อบ้านที่กระฉับ กระเฉง คล่องตัว ราวกับคนหนุ่ม แต่ไม่ถึงขั้น คนหนุ่มที่แข็งแรงระดับนักกีฬาทีมชาติ
ทำให้เราสรุปได้ว่า แม้เป็น Station Wagon ตัวยาวระดับ 4,600 มม. ก็ยังมีความกระชับเป็นแรงสนับสนุนให้เกิดความคล่องตัวเกินคาด จากขีดความสามารถของรถพลังงานไฟฟ้า 100% ที่สามารถนำแรงบิดมาใช้ได้ทันที แบบที่ไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์
แถมยังมีระบบพวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า EPS เป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญ ที่ช่วยสร้างความคล่องตัวอย่างยอดเยี่ยม
ชนิดที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายการจราจรในย่านกลางเมืองน้อยลง เพราะสนใจกับความพริ้วไหว ที่กลายเป็นเรื่องสนุกในการขับขี่มากกว่า รวมถึงความสนุกไปกับการนั่งลุ้น เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ ด้วยเช่นกัน เพราะในรถน้ำมันเราอาจจะชินกับมาตรวัดทั้งเข็ม ทั้งดิจิตอล
แต่พอเป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่มีตัวเลขโชว์หรา 100% และค่อยๆ นับถอยหลังอย่างชัดเจน มันกลับสร้างความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก โดยเราคาดเดาว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าว คือ โปรแกรมชีวิตที่ต้องวางหลังจากนี้
คิดง่ายๆ ว่าถ้าเป็นรถน้ำมัน เราสามารถมองหาสถานีบริการได้ง่ายมากๆ แต่หากเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% สิ่งที่จะตามมานอกจากหาสถานีบริการแล้ว ก็คือ “ช่องชาร์จ” และอย่างที่กล่าวไว้ว่า MG คือแบรนด์ที่มีแอปพลิเคชันของตัวเอง ฉะนั้นโชคดีจึงเป็นของคุณ เนื่องจากสามารถเปิดแอป ค้นหาสถานีบริการ, เช็คสถานะ
หรือแม้กระทั่งเช็คได้อีกด้วยว่ามี A/C หรือ D/C อยู่ในบริเวณใกล้ๆ นั้น แต่หากเป็นแบรนด์อื่น อันนี้คงต้องขยันโหลดแอปพลิเคชันแบรนด์สถานีบริการมากขึ้นอีกนิด แล้วก็ลุ้นมากขึ้นอีกหน่อย ว่าไปถึงแล้วจะได้ “ใช้ หรือ ชวด”
กลับเข้าเรื่องมาที่อารมณ์การขับ สรุปจุดเด่นของ MG ES ว่ากันตรงๆ คือ การตอบสนองที่ยอดเยี่ยมตามสไตล์ของรถพลังงานไฟฟ้า 100% แต่เป็นไปตามประเภทของตัวรถ ซึ่งหากมองจากความเป็น Station Wagon บอกได้เลยว่า เพียงพอ และเหมาะสม
รวมไปถึงเรื่องของเสถียรภาพการทรงตัวที่ดี จนเป็นอีกหนึ่งความประทับใจ ขณะที่เราลองใช้ความเร็วเดินทางปกติบ้าง หรือเกินกว่าปกติบ้าง แต่ MG ES ก็ยังคงมอบความสบายในการขับขี่ออกมาให้ได้สัมผัส และสร้างความเพลิดเพลินให้กับทั้งผู้ขับขี่ ทั้งผู้โดยสารได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
รวมถึงสร้างแรงดึงดูดทางสานตาได้เป็นอย่างดี ด้วยสไตล์ของรถ Station Wagon ที่กำลังเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน
ถึงจุดนี้เราคงขอสรุปสั้นๆ เลยว่า MG ES มีคุณสมบัติยั่วๆ ที่จัดมาให้แบบครบเครื่องอย่างปฏิเสธไม่ได้ ติดอย่างเดียวก็คือ การใช้รถพลังงานไฟฟ้า 100% ควรต้องค่อนข้างมีวินัย และใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งยากที่จะปรับ Mind Set และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทย … แต่หากทำได้ล่ะก็ เราเชื่อว่า MG ES … ไม่สิ ต้องบอกว่า MG พลังงานไฟฟ้า 100% อีกหลายรุ่น คงสร้างความประทับใจให้ผู้บริโภคบ้านเราได้ไม่น้อยทีเดียว
Specification: MG ES
- Price: 959,000 BHT
- Electric Motor: 177 hp / 280 Nm
- Transmission: Electric Transmission
- Performance: 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight: N/A