รีวิว ลองขับ Mitsubishi Xpander Cross HEV ผสานการทำงานของเครื่องยนต์ 1.6L MIVEC และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดที่ 116 แรงม้า ราคา 961,000 บาท
รีวิว ลองขับ Mitsubishi Xpander Cross HEV 2024 พรีเมียม SUV 7 ที่นั่ง
Mitsubishi Xpander Cross HEV
“ว่ากันว่า นี่คือ เทคโนโลยี Full Hybrid ครั้งแรกของ Mitsubishi ในรถ Mini MPV ขนาด 7 ที่นั่ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการ “เดินเกมส์” ตามกระแสสังคมโลก หรือ เพื่อ “เพิ่มทางเลือก” ในตลาด ท้ายที่สุดก็ต้องบอกว่าถือเป็น “เรื่องดี” ทั้งนั้น”
อาจจะเพราะเหตุผลเรื่อง “โปรดักส์” ที่เหลือน้อย จนเปิดศึกกับคู่แข่งได้ยากลำบาก เลยทำให้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2023 ที่ผ่านมา ลากยาวมามาถึงไตรมาส 2 ของปี 2024 เป็นช่วงเวลาที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) “รุกหนัก” ด้วยการ “ปูพรม” เปิดตัวยนตรกรรมใหม่ ตั้งแต่ไลน์อัพของ All New Mitsubishi Triton
ตามด้วยการมาของ Mini MPV ขนาด 7 ที่นั่ง อย่าง Mitsubishi Xpander ซึ่งมากับการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่แบบ HEV ทำตลาดทั้งในรุ่น Xpander HEV และ Xpander Cross HEV
โดยประเด็นความน่าสนใจก็คือ นี่เป็นเทคโนโลยี Full Hybrid ซึ่งนำเอามาใช้เป็นครั้งแรก แถมยังเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจาก ปลั๊ก-อินไฮบริด (PHEV) จน Successful ซะด้วย … ส่วนจะ “เยี่ยม” แค่ไหน ลองไปดูกัน
ไล่เรียงจากรูปลักษณ์ภายนอก Xpander Cross HEV ที่ยังคงคุ้นตาจากเวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) โดยจุดต่างที่บ่งบอกว่าเป็นเวอร์ชั่น Full Hybrid (HEV) ก็คือ การตกแต่งด้วย “โทนสีฟ้า” ในรายละเอียดต่างๆ ซึ่งมาพร้อมตราสัญลักษณ์ที่ประทับอยู่ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เท่านั้น !!!
ภายในห้องโดยสารแบบ 3 แถว ยังคงมีจุดเด่นเป็นความกว้างขวาง สะดวกสบายจากการปรับใช้งานได้อย่างหลากหลายตามสไตล์ ยนตรกรรมอเนกประสงค์ ส่วนความแตกต่างจากเวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของฟังก์ชันการใช้งาน เช่น การแสดงผลบนหน้าจอ LED ขนาด 8 นิ้ว สำหรับผู้ขับขี่, พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ใหม่
รวมถึงชุดคันเกียร์ไฟฟ้า (Electric Shift) ทรงสั้นกระชับ ที่ดูเหมือนจะออกแบบให้ล้ำๆ ดูทันสมัย เหมาะกับสไตล์ความเป็นยนตรกรรม HEV โดยที่ข้างๆ กันนั้น คือ สวิทช์ Drive Mode ให้เลือกปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ 7 รูปแบบ
ซึ่ง 7 รูปแบบดังกล่าว ประกอบด้วย 5 โหมดการขับขี่ คือ Normal Mode สำหรับการขับขี่ทั่วไป, Wet Mode สำหรับถนนเปียก, Gravel Mode สำหรับถนนลูกรัง, Tarmac Mode สำหรับถนนลาดยาง ที่เน้นสมรรถนะการขับขี่ และ Mud Mode สำหรับถนนดินโคลน ส่วนอีก 2 โหมดสงวนไว้สำหรับพลังงานไฟฟ้า คือ EV Priority Mode และ Charge Mode
ขุมพลังของ Xpander Cross HEV ต่างกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่เครื่องยนต์ ที่ขยับจากเวอร์ชั่นสันดาป (ICE) ขนาด 1.5 ลิตร มาเป็น 1.6 ลิตร MIVEC มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 95 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 134 นิวตันเมตร เสริมศักยภาพด้วยเทคโนโลยี Full Hybrid
ซึ่งประกอบด้วย เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator), แบตเตอรี่ขับเคลื่อน (Drive Battery) และมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) มีกำลังสูงสุด 116 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 255 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการส่งกำลังได้อัตโนมัติตามลักษณะการทำงานของระบบ Hybrid
รวมไปถึงการเพิ่มเติม “ออฟชั่น” บางอย่าง เพื่อยกระดับความสามารถขึ้นไปอีกขั้น นั่นคือ ระบบ AYC หรือ Active Yaw Control (AYC) เพื่อระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง ด้วยการคำนวณ ว่าจะเพิ่ม หรือลดกำลังจากเครื่องยนต์ลงสู่ล้อด้านในโค้ง และนอกโค้ง ให้สัมพันธ์กัน เพื่อสร้างสมดุล และเสถียรภาพให้กับตัวรถ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกสภาวะการขับขี่
ซึ่งหลังจากที่ได้สัมผัสมาแล้ว ทั้งจากการทดลองในสนาม และสภาพถนนจริงๆ บอกเลยว่า “เกินคาด” ด้วยเพราะส่วนตัว เราเองเป็นคน “ชอบ” สัมผัสยนตรกรรมที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก ฉะนั้น Xpander HEV หรือ Xpander Cross HEV ซึ่งมากับฟิลลิ่งของยนตรกรรมที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเวอร์ชั่นสันดาป (ICE) จึงเป็นอะไรที่ถูกใจเราเอามากๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุม
และเราเดาว่าส่วนหนึ่ง มาจากผลงานการปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องระบบช่วงล่าง และระบบพวงมาลัยให้เหมาะสมกับความเป็น Xpander Cross HEV ฉะนั้นเลยได้อารมณ์ความเป็นรถอเนกประสงค์พิกัดใหญ่ ติดมาเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็สามารถพูดได้ว่า อรรถรส “ต่าง” จากเวอร์ชั่นสันดาป (ICE) ได้เต็มปาก เต็มคำ เช่นกัน
7 รูปแบบ Drive Mode ประกอบด้วย 5 โหมดการขับขี่ Normal Mode, Wet Mode, Gravel Mode, Tarmac Mode และ Mud Mode กับ 2 โหมดการไฟฟ้า EV Priority Mode และ Charge Mode เราคิดว่าหลายๆ คน คงพอคาดเดาได้ในเรื่องของขีดความสามารถจาก “ชื่อโหมด”
เว้นแต่ Charge Mode ซึ่งเราเชื่อว่าเป็น “ของใหม่” ที่น่าจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ สำหรับสายยนตรกรรม HEV เพราะหลังจากที่ได้ “ลอง” … นี่คือความ “เริ่ด” อย่างหนึ่ง ซึ่งเรากล้าพูดว่า “เหนือชั้น” กว่าคู่แข่ง เพราะ Charge Mode คือ โปรแกรมที่คุณสามารถสั่งชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องรอเงื่อนไขใดๆ เลย
เพราะฉะนั้นถ้า “ไฟเต็ม” ไม่ว่าจะใช้ EV Priority Mode ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า หรือ โหมดอื่นๆ ทั้ง 5 โหมดก็ตาม การมี “ไฟฟ้า” เข้ามาเสริมแรง คือ องค์ประกอบที่มีส่วนสำคัญ ต่อการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว แม้ไม่ได้ใช้เครื่องมือเป็นชิ้นเป็นอัน ทำหน้าที่จับตัวเลข แต่ด้วยเนื้อสัมผัสช่วงแตะคันเร่งออกตัว เรามั่นใจว่าไปได้ “เร็ว” ว่าเวอร์ชั่นสันดาป (ICE) อย่างแน่นอน
พูดถึงภาพรวมการขับ ระหว่าง Xpander Cross เวอร์ชั่นสันดาป (ICE) และ Xpander Cross เวอร์ชั่น HEV ภาคการใช้งานปกติในชีวิตประจำวัน ส่วนตัวเราคิดว่ามีขีดความสามารถใกล้เคียงกัน แต่ที่น่าประทับใจในเวอร์ชั่น HEV ก็คือ ภาคการใช้งานเดินทางไกล
ที่นอกจากขับสบายๆ และอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีกว่า (ตามพฤติกรรมผู้ขับขี่) ยังแถมมาด้วยอรรถรสความสปอร์ตเบาๆ ที่รู้สึกได้ผ่านการควบคุมต่างๆ ไม่ว่าจะพวงมาลัย, เบรก หรือแม้กระทั่งคันเร่ง
ปูทางไปสู่อาการ “โยนตัว” และการ “ยึดเกาะถนน” ยามเข้าโค้งองศาต่างๆ ซึ่งอาการดังกล่าว พูดได้เต็มปาก เต็มคำว่าเป็น “ความสนุก” ภายใต้การควบคุมที่มั่นใจ จนทำให้เราย้อนนึกไปนึกครั้งได้ลองขับในสนามปิด ใกล้ๆ ฐานทัพลับของของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)
สนามปิด ที่เต็มไปด้วย “โค้งซ้าย-ขวา” มากมาย ให้ได้ลอง “เลี้ยว” ทั้งความเร็วสูง และความเร็วต่ำ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้เราได้สัมผัสถึงอาการ Body Roll อย่างเต็มที่ อันเป็นจุดด้อยของยนตรกรรมอเนกประสงค์ โดยผลที่ออกมาก็คือ “เสถียรภาพ” ของ Xpander Cross เวอร์ชั่น HEV ที่แน่นอน และรับมือ กับโค้งต่างๆ ได้อย่างสบายๆ ฉะนั้นในการใช้งานในชีวิตประจำวันถือได้ว่า “หายห่วง”
นอกจากนี้แล้วในสนามปิดดังกล่าว ยังมีบางส่วนของสนาม ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น Wet Track สำหรับลองขับ Wet Mode อีกด้วยเช่นกัน แถมยังเป็น Wet Track ในโค้ง ซึ่งเรียกได้ว่าจำลองสถานการณ์ได้เหมาะสมกับทั้งสภาพอากาศ ตลอดจนลักษณะถนน ในบ้านเราอย่างปฏิเสธไม่ได้
และท้ายที่สุด Xpander Cross เวอร์ชั่น HEV ก็ผ่านบททดสอบในสถานีต่างๆ ไปได้อย่างไร้ปัญหา และความตื่นเต้นใดๆ ให้ต้องลุ้น จนทำให้เรามั่นใจได้สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ขณะที่อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ต้นสังกัด “เคลม” ว่าสามารถทำได้ดีกว่า จุดนี้ต้องยกให้ว่าแล้วแต่ “พฤติกรรม” ของผู้ขับขี่เป็นส่วนประกอบสำคัญ รวมถึงในรายละเอียดของ “ออฟชั่น” ด้านความปลอดภัย ซึ่งตอบได้ว่า “เพียงพอ” ต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน หากเทียบกับสไตล์ความเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง
ประเด็นท้ายสุด ก็คือ ค่าตัว 961,000 บาท ของเวอร์ชั่น HEV ที่ขยับเพิ่มจากเวอร์ชั่นสันดาป (ICE) ราคา 946,000 บาท หากหยิบเอา “สมรรถนะ” และ “ออฟชั่น” ที่ได้ มาลองเปรียบเทียบกัน เราคงไม่ต้องสาธยายให้มากความหรอกครับ ว่า “คุ้มค่า” มากแค่ไหน
Specification : Mitsubishi Xpander Cross HEV
- Price : 961,000 BHT
- Engine : 1,590 CC / 4 Cylinder / 16 Valve / 95 hp @ 5,100 rpm / 134 Nm @ 4,500 rpm
- Electric Motor : 116 hp / 225 Nm
- Transmission : A/T / Front Wheel Drive
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight : N/A