รถใหม่: Koenigsegg Gemera (2021) ยนตรกรรม Mega-GT เป็นคันแรกของโลก พละกำลังสูงถึง 1,700 แรงม้า พร้อมจำนวนการผลิตเพียง 300 คันเท่านั้น
รถใหม่: Koenigsegg Gemera (2021) ยนตรกรรม Mega-GT เป็นคันแรกของโลก
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
รถใหม่: Koenigsegg Gemera (2021)
Koenigsegg Gemera ถูกเปิดตัวในฐานะยนตรกรรม Mega-GT เป็นคันแรกของโลก และรวมถึงการเป็นรถ 4 ที่นั่งรุ่นแรกของแบรนด์ Koenigsegg พร้อมจำนวนการผลิตที่ตั้งเป้าไว้เพียงแค่ 300 คันเท่านั้น พร้อมการเปิดเผยรายละเอียดเบื้องต้นออกมาให้ชม
ซึ่งเริ่มต้นด้วยตัวถังน้ำหนักเบาแบบ Carbon Monocoque สวมทับด้วยงานดีไซน์สุดล้ำของรูปลักษณ์ จากมุมมองด้านหน้าที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Koenigsegg CC ปี 1996 ผสมผสานด้วยสไตล์ของเครื่องบินรบ ในส่วนของกระจกบังลมหน้าที่ออกแบบให้หลบซ่อนเสา A-Pillars พร้อมกับเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น ด้วยการดีไซน์ระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าที่สั้น และออกแบบให้มีช่องดักอากาศขนาดใหญ่
ด้านข้างสะกดสายตาด้วยการออกแบบประตู “ปีกนก” ที่ไร้เสา B-Pillars เรียกว่า Koenigsegg Automated Twisted Synchrohelix Actuation Doors (KATSAD) เพื่อให้เปิดได้อย่างกว้างขวาง รองรับการเข้าออกที่สะดวกสบายของทั้ง 4 ตำแหน่งที่นั่ง และสามารถตอบสนองการใช้งานได้ในทุกวัน เสริมด้วยฟังก์ชั่นสุดล้ำอย่าง เช่น ช่องวางแก้ว พร้อมระบบทำความเย็น 4 ตำแหน่ง และระบบทำความร้อน 4 ตำแหน่ง, หน้าจอ Infotainment Displays ที่ติดตั้งมาให้ทั้งด้านหน้า และผู้โดยสารด้านหลัง
ทั้งยังรองรับระบบ Apple CarPlay, การชาร์จแบบไร้สายด้วยระบบ Wireless Phone Chargers, การเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต และ Wi-Fi จนถึงชุดเครื่องเสียงที่มากับลำโพงถึง 11 ตำแหน่ง, ระบบทำความร้อนเบาะนั่ง, เบาะนั่งปรับไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศแบบ 3 Climate Zones ตลอดจนกล้องที่ติดตั้งมาให้ทั้งภายนอก และภายในตัวรถ
Koenigsegg Gemera มากับความร้ายการด้วยสมรรถนะ ที่เกิดจากพละกำลังสูงถึง 1,700 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 3,500 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์ที่ชื่อ Tiny Friendly Giant หรือเรียกสั้น ๆ ว่า TFG บนพื้นฐานเบนซินแบบ 3 สูบ Freevalve พิกัด 2 ลิตร พร้อม Twin Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 3 ตัว โดย 2 ตัวจะรับผิดชอบล้อคู่หลัง และอีก 1 ตัวรับผิดชอบในส่วนของเครื่องยนต์
จนได้ความเร้าใจด้วยตัวเลข 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 1.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 400 กม./ชม. สามารถขับเคลื่อนในโหมด Hybrid ได้เป็นระยะทางราว ๆ 950 กม. และ 50 กม. ในโหมด EV ทั้งยังมอบเสถียรภาพในการขับขี่ ด้วยระบบพวงมาลัยแบบเลี้ยวล้อหลังที่เรียกว่า Rear-Wheel Steering เสริมด้วยระบบ All-Wheel Torque Vectoring ในการช่วยจัดสรรพละกำลังอย่างเหมาะสม เพื่อให้ขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะ และสร้างความมั่นใจบนความเร็วสูง
Credit: www.NetCarShow.com