รีวิวทดสอบรถ Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT กับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลใหม่พิกัด 2.0 ลิตร Bi-Turbo พละกำลังสูงสุด 213 แรงม้า
รีวิวทดสอบรถ Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT
หล่อไม่เท่า แต่เร้าใจด้วยสมรรถนะใกล้เคียงกัน แถมประหยัดตังค์ไปอีกไม่น้อย ฉะนั้นบอกเลยว่า Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT คืออีกรุ่นที่น่าสนใจ หากไม่ไหวจะสอย Raptor
สุดจริง ๆ ชั่วโมงนี้สำหรับสายปิกอัพ ก็คงต้องยกให้แบรนด์ Ford ที่หันมาจับทาง “รถกระบะสมรรถนะสูง”ตั้งแต่ “Ranger” รุ่นท็อปสุดเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร ซึ่งถือเป็นบล็อคใหญ่สุดในตลาด ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ด้วยค่าตัวเกือบ 1.7 ล้านบาทของ Ranger Raptor ที่หลายคนอยากเป็นเจ้าของ
แต่ถ้า “ตังค์” ไม่พอที่จะคว้า “Raptor” กลับบ้าน เราว่ามีอีกหนึ่งรุ่นที่ “น่าสนใจ” ไม่น้อย ด้วยค่าตัวที่พอรับไหวกับตัวเลข 1.265 ล้านบาท และอะไรหลาย ๆ อย่างที่ “ใกล้เคียง” กับ “Raptor” ซึ่งรุ่นที่ว่าก็คือ Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT
สำหรับชื่อ “Wildtrak” คงไม่ต้องบอกอะไรมากึงเรื่องความหล่อเหลา ซึ่งมีจุดขายด้านงานดีไซน์ที่แข็งแกร่งตามแบบฉบับปิกอัพสายพันธ์ุอเมริกัน ซึ่งเสริมด้วยรายละเอียดที่แตกต่างจาก Ranger เวอร์ชันมาตรฐาน รวมไปถึงการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายแบบครบ ๆ ตลอดจนเรื่องของความปลอดภัยที่ถูกติดตั้งมาให้อย่างเต็มระบบ
แต่จุดขายแท้จริงที่ทำให้ Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างแท้จริงก็คือ ขุมพลังที่แตกต่าง โดยยกมาจาก น้องใหม่สายโหดอย่าง Raptor กับเครื่องยนต์ดีเซลใหม่พิกัด 2.0 ลิตร Bi-Turbo ซึ่งมากับระบบอัดอากาศถึง 2 ลูก 2 การทำงาน คือ เทอร์โบแรงดันสูง (HP) และเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) ทำหน้าที่เคาะตัวเลขพละกำลังสูงสุดมาให้ที่ 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตรที่ 1,750 รอบต่อนาที ไปจนถึงระบบส่งที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมโหมด SelectShift ให้เลือกปรับเปลี่ยนด้วยปุ่ม + หรือ – ที่หัวเกียร์
ส่วนการบุกตะลุยไปทุกพื้นที่ ต้องยกให้กับระบบขับเคลื่อน 4×4 แบบ Part-Time ที่เลือกเล่นได้ 3 รูปแบบหลัก ๆ คือ 2H ขับเคลื่อน 2 ล้อหลังปกติ, 4H ขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วสูง และ 4L การขับเคลื่อน 4 ล้อแบบความเร็วต่ำ ตลอดจนระบบช่วงล่างจากพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นแบบแหนบซ้อน
ซึ่งถ้าฟังดู “คุ้น” ล่ะก็ “ใช่เลยครับ” เพราะว่ากันง่าย ๆ เจ้านี่ก็คือ Wildtrak รุ่นท็อป ที่โยนเครื่อง 3.2 ลิตรทิ้งไป และใส่เครื่อง 2.0 ลิตร ลงไปแทน ฉะนั้นบอกได้เลยว่า “ความประทับใจ” เรามีสำรองไว้แน่นอนในกระเป๋า ส่วนที่เหลือถือเป็น “โบนัส” แห่ง “สมรรถนะ” จากเครื่องยนต์ที่พิกัดเล็ก, น้ำหนักเบาลง แต่มีพละกำลังที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นเอง คือเหตุผลที่เราไม่ควรรอช้า ที่จะออกไปเริงร่าอีกครั้ง กับรถปิกอัพที่เรายกให้เป็นหนึ่งในดวงใจ
ยอมรับว่าก่อนหน้านั้นในยุคสมัยที่ Ranger ปรับเปลี่ยนโมเดลใหม่ จนหน้าตาเหมือนที่เห็นเช่นปัจจุบัน เราแอบกังวลเล็ก ๆ เมื่อขับขี่บนท้องถนน ด้วยเหตุผลเพราะ “ขนาด” ที่ยังไม่คุ้นชิน แต่วันเวลาผ่านไป แม้จะไม่ได้มีโอกาสได้เป็นผู้กุมบังเหียน Ranger บ่อยครั้ง หากแต่แค่ผ่านตาบนท้องถนนก็สามารถสร้างความรู้สึกคุ้นชิน และคุ้นเคยได้อย่างไม่ยากเย็น จนกระทั่งเรามีโอกาสในครั้งนี้ “ความประหม่า” ที่เคยมีก็หายไป กลายเป็นความ “คุ้น” แบบที่สามารถกระโดดขึ้นไปนั่ง ก็สามารถบังคับให้คล่องตัวได้อย่างไม่ยากเย็นในทันที
แถมด้วยพละกำลังระดับเกิน 200 ม้า เทียบเท่า “ราชันย์” อย่าง Raptor ทำให้เราต้องรีบหาเส้นทางสั้นที่สุด และเร็วที่สุด เพื่อการออกไปใช้ความสามารถอย่างเต็มคันเร่งให้ “คุ้มค่า” ซึ่งโดยตลอดระยะทางที่เราเดินทางตัดผ่านเมืองนั้น สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ก็คือ “ความเฉียบคม” ที่เพิ่มขึ้น จากส่วนประกอบสำคัญ คือ การตอบสนองของพวงมาลัย และแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตรในรอบต่ำที่เพียง “พันปลาย” เท่านั้น
อันเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความ “สนุก” ในการขับขี่ ด้วยความ “คล่องตัว” ตลอดจนสิ่งที่ช่วยให้ “อ่านเกมส์” บนท้องถนนได้อย่างเด็ดขาด จากทัศนวิสัยที่ดีในตำแหน่งผู้ขับขี่ อีกหนึ่งจุดที่ต้องกล่าวถึงคือ “ช่วงล่าง” ที่มาพร้อมกับความยอดเยี่ยมในการปรับเซ็ท อย่างลงตัวโดยมีทั้งความนุ่มนวล และความสปอร์ต ที่สามารถสัมผัสได้ในทุกสไตล์การขับขี่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราก้าวพ้น “เมือง” ด้วย “ทางด่วน” เส้นหนึ่งที่มุ่งหน้าออกนอกเมือง สำหรับคนที่อยากขึ้นเหนือด้วยสายเอเชีย ที่มีทรงตรงโล่ง ๆ ยาว ๆ ให้เจ้านี่ก็สามารถสร้างความไว้ใจได้ทั้งในฐานะของรถเดินทาง ไปจนถึงปิกอัพสมรรถนะสูง ที่ปลดปล่อยพลังได้ง่าย ๆ ด้วยเท้าขวาเวลารถโล่ง โดยไม่ต้องกลัวว่าเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด จะตอบสนองช้าในการ Kick Down เพราะมันสามารถจัดการตัวเองได้ว่องไว เช่นเดียวกับเกียร์อัตโนมัติปกติที่มีอยู่ในท้องตลาด แต่หากยังคิดว่ายังรวดเร็วไม่พอ ระบบ SelectShift ที่เลือกปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ด้วยปุ่ม + หรือ – ที่หัวเกียร์ นั้นพร้อมให้การรับใช้เสมอ ขอเพียงแค่คุณสั่งมา
ขณะเดียวกันสิ่งที่เราชื่นชอบไม่แพ้กัน ก็คือการใช้คันเร่งหยอกล้อกับพละกำลังก็คือ ในทาง “โค้ง” ที่คุณจะรู้สึก “สนุก” ไปกับการควบคุมความเร็วทั้งจากน้ำหนักเท้าขวาที่เหยีบคันเร่ง ตามด้วยการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสม เพื่อเรียกแรงบิดมารอ ไปพร้อม ๆ กับการแต่งองศาของพวงมาลัย ก่อนจะตั้งลำที่ปลายทางโค้ง และกระแทกคันเร่งเต็มที่ เพื่อไปให้ “เร็ว” ขึ้น และ “เร็ว” ขึ้น ในแต่ละโค้งที่ผ่านไป โดยมีความมั่นใจเป็นตัวการสำคัญที่ยุยงส่งเสริมให้เราเริ่มคุ้นชิน และกระทำแบบที่ว่าบ่อยครั้ง ในลักษณะองศาที่ต่างกันของแต่ละโค้ง เพื่อ “ลองของ” ว่า Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT จะ “แน่” แค่ไหน และ “คำตอบ” ที่ได้มาก็คือ “รอยยิ้ม” ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนใบหน้าของเรา
อีกหนึ่งสิ่งที่อยากนำเสนอ แม้ไม่มีโอกาสได้ลองแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็คือ ความสามารถในการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ซึ่งครั้งนึ่งนานมาแล้วเรามีโอกาสได้ลอง “ลุย” แบบเต็มที่ จากเครื่องยนต์บล็อคเดิมพิกัด 3.2 ลิตรที่มีแรงบิดให้ใช้น้อยกว่านี้ แต่เราก็สามารถใช้งานในการข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างสบาย ๆ
ฉะนั้นกับ Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT ที่มาพร้อมความสามารถในการขับเคลื่อนแบบ 4×4 ที่ยอดเยี่ยมเป็นทุน บวกกับ “กำไร” จากแรงบิดที่ทะยานขึ้นไปถึง 500 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์เพียง 1,750 รอบต่อนาที คงไม่เป็นการยากที่จะคาดเดาว่า มันจะสามารถสร้างความสนุกได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อเอาใจสายลุย ไม่ว่าจะไต่เนินสูง หรือแขวนล้อเล่น ๆ บนเนินสลับ ก็มั่นใจได้ว่าด้วยแรงบิดระดับนี้จะพาเรา “ดิ้นหลุด” อุปสรรคอะไรก็ตามไปได้แบบสบาย ๆ หรือถ้ายังไม่พอ เค้าก็มีเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential มาเป็นอีกหนึ่งทัพเสริม
และไม่เพียงแค่ความมั่นใจ เฉพาะในส่วนของการขับเคลื่อนเท่านั้น หากแต่ความมั่นใจในการใช้งานในชีวิตประจำวันก็เป็นอีกส่วนสำคัญเช่นกัน ด้วยออฟชันด้าน Safety ที่จัดมาให้แบบครบ ๆ ซึ่งว่ากันมาตั้งแต่ ถุงลมนิรภัยที่อัพเกรดมาให้เป็น 6 จุด และสำหรับคนที่ไม่ชินกับรถคันใหญ่ในการจอด เค้าก็ติดตั้งสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้ามาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ตามด้วยระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB, ระบบ Adaptive Cruise Control ซึ่งจะทำงานด้วยการรักษาระยะห่าง และควบคุมความเร็ว ทั้งการเร่ง และเบรก โดยมีระยะจากรถคันหน้าเป็นตัวกำหนด, ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System รวมถึงระบบ Lane Keeping System กับการช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง โดยนอกเหนือจากนี้ก็ยังมีอีกสารพัดตัวช่วยที่ไม่ได้เอ่ยนาม ซึ่งถูกมาให้อย่างสมฐานะ “ตัวท็อป” เช่นเดียวกับออฟชันสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย
ฉะนั้นบทสรุปส่งท้ายก่อนที่เจะออกไป “ซิ่ง” ต่อกับ Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT ในค่ำคืนนี้ ก็คือ เจ้านี่คือ Raptor ในร่างจำแลง ที่ “ด้อย” แค่ความหล่อเหลา กับ “สมรรถนะ” เรื่องโหมดการขับขี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเอาจริง ๆ เราว่าคนควักเงินซื้อ Raptor ราคา เกือบ ๆ 1.7 ล้านบาท นั้นคงมีน้อยที่จะสอยเอามา “ลุย” และใช้โหมดการขับขี่ต่าง ๆ ไปจนถึง “สมรรถนะ” ช่วงล่างแบบถึงพริกถึงขิง
เพราะถ้าให้เดา “ส่วนใหญ่” ก็คงเอาไว้ “หล่อ” ซะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้พูดได้แบบตรงประเด็นว่า “ถ้าไม่เน้นหล่อ” Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10AT ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ “เพียงพอ” สำหรับตอบโจทย์การใช้งานด้วยราคาที่ต่ำกว่าเพียง 1.265 ล้านบาทเท่านั้น
Specification : Ford Ranger Wildtrak
- Price : 1,265,000 BHT
- Engine : Diesel 2,000 CC / Bi-Turbo Intercooler / 4 Cylinder 16 Valve 213 hp @ 3,750 rpm / 500 Nm @ 1,750 – 2,000 rpm
- Transmission : 10A/T / Part Time Four Wheel Drive
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A, Top Speed @ N/A
- Weight : N/A Kg.