รีวิวทดสอบรถ Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo

รีวิวทดสอบรถ Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo ภายใต้แรงขับเคลื่อนของ 2 ขุมพลังทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ความเร็วสูงสุด 275 กม./ชม.

รีวิวทดสอบรถ Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo

สำหรับพวกบ้ารถ การมี “รถในฝัน” โดยเฉพาะแบรน์ Porsche ไว้ครอบครอง คงทำให้ “นอนตายตาหลับ” รวมถึงผมเองเช่นกัน ฉะนั้นการมีโอกาสได้ประทับร่างลงในยนตรกรรมจากแบรนด์ Porsche สักครั้ง นั่นก็มากพอที่จะทำให้เรา “ฟิน” ได้เช่นกัน

ผมเคยเห็น Porsche หลายครั้ง หลายรุ่น นับตั้งแต่เริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องรถ จนกระทั่งมาตกหลุมรักแบบจังเบอร์ก็เจ้า Porsche โมเดล 911 ที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานของ Porsche เลยก็ว่าได้ แต่เหนืออื่นใด ย้อนไปในปี 2007 ที่แบรนด์ Porsche ทำเอาผมตื่นเต้น และคลั่งไคล้สุด ๆ ก็คือ โมเดล 911 GT3 RS ยนตรกรรมที่มากับสมรรถนะแบบ “รถสนาม” ในคราบของ “รถถนน” นั่นเอง

ซึ่งด้วยโมเดลนี้นี่เองที่ทำให้ Porsche คือ หนึ่งในแบรนด์ “รถในฝัน” ที่ผมหวังไว้ในชีวิตสักครั้งจะได้เป็นผู้ควบคุม โดยเฉพาะกับรุ่น 911 GT3 RS แต่นั่น คือ รถระดับ Rare Item ที่อยู่ในฝัน ซึ่งสำหรับผมระหว่าง “ฝัน” กับ “ความเป็นจริง” คือ “เส้นขนาน” ฉะนั้น ไม่ต้องถึงขั้น 911 GT3 RS แต่แค่แบรนด์ Porsche ซักรุ่น ก็ถือเป็น “พระคุณ” อย่าง “สุดซึ้ง” ไม่น้อยทีเดียว

จนในที่สุดโอกาสที่ไม่คาดฝันก็มาถึงเมื่อ Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo มาอยู่ตรงหน้า ที่แม้ไม่ใช้สายพันธุ์โหดจากสนามแข่ง แต่เป็นของแรงสายพันธุ์ Hybrid บนเรือนร่างของรถ 4 ประตูก็ตาม แต่ด้วยรากฐานการถือกำเนิดจากแบรนด์ Porsche นั่นถือว่ามากพอแล้ว สำหรับเราที่จะได้ก้าวไปอยู่ในตำแหน่ง “ผู้ขับขี่” สักครั้งในชีวิต

Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo คือ โมเดลที่ได้รับการปรับเปลี่ยน และปรับแต่งใหม่ เพื่อยกระดับความสปอร์ตมากขึ้น ซึ่งก็คือที่มาของชื่อต่อท้าย “Sport Turismo” เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้น Panamera เวอร์ชั่นนี้จึงมีความ “เฉี่ยว” มากขึ้นกว่าที่เราเคยรู้จักในโมเดลแรกที่เน้นความ “หรูหรา” และสไตล์ที่นำเสนอความเป็นรถ GT (Gran Turismo)

ดีไซน์ภายนอก

เริ่มตั้งแต่มุมมองจากด้านหลังที่แม้จะเป็นรถ 4 ประตู แต่ก็กลบสิ่งนั้น ด้วยการสร้างจุดเด่นขึ้นใหม่ โดยใช้พื้นฐานภาพลักษณ์ของรถแบบ Coupe 2 ประตู ที่สอดผสานกับงานดีไซน์ตัวถังทั้งหมดอย่างลงตัว จนคุณอาจคิดไปได้ว่านี่คือรถ Coupe อีกหนึ่งรุ่นของแบรนด์ Porsche ที่มอบความสบายให้กับผู้โดยสารได้มากขึ้นอีกระดับ ด้วยมิติตัวถังที่ต่างกัน คือ ความยาว 5,049 มม. ความกว้าง 1,937 มม. และความสูง 1,428 มม. พร้อมด้วยระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,950 มม. และการกำหนดให้มีระยะ Overhang ของตัวถังที่สั้น เพื่อตอกย้ำอารมณ์ความสปอร์ต

ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ก็ไล่มาตั้งแต่มุมมองด้านหน้า เช่น ชุดไฟหน้า และไฟท้ายแบบ 3 มิติ ที่ดูดุดัน, ช่อง Air Inlet ขนาดใหญ่ บริเวณชุดกันชนหน้า, ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ตลอดจนสิ่งที่ขนาดไม่ได้ก็คือ การเลือกใช้โทน “สีเขียว” เพื่อบ่งบอกตัวตนความเป็นรถ Hybrid เช่นในส่วนของ “โลโก้” และ “คาลิปเปอร์เบรก” รวมไปถึงสำหรับใครที่ชอบความสปอร์ตล้ำ ๆ ผมว่าจะน่าถูกใจงานดีไซน์ด้านหลังที่มากับสปอยเลอร์หลังคาที่ดูแล้ว “เท่ห์” ไม่น้อยทีเดียว ทั้งยังเป็นสปอยเลอร์หลังแบบปรับอัตโนมัติได้ 3 ระดับ เพื่อช่วยเพิ่มแรง Downforce ในด้านหลัง ยกระดับประสิทธิภาพในการขับขี่ให้มากขึ้นอีกด้วย

กุญแจรถถูกส่งมอบมาให้ผม พร้อมกับความประหม่า เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่จะได้ประจำการในตำแหน่ง “ผู้ขับ” ยนตรกรรมจากแบรนด์ในฝันเป็นครั้งแรก เลยทำให้ผมใช้เวลาสตาร์ทรถ และนั่งทำสมาธิหลังพวงมาลัยอยู่พักใหญ่ ซึ่งนานพอจะมีเวลาให้ “สำรวจ” รายละเอียดภายใน

ดีไซน์ภายใน

และจุดแรกที่อยากจะบรรยายให้ฟังเลยก็คือ “ความเนียน” ของรายละเอียดนับจากเบื้องต้นที่ผมมองด้วยตาเปล่า เช่น เรื่องของวัสดุที่ใช้ ซึ่งสร้าง “สัมผัส” ในระดับสุดยอดกว่าที่เคยเจอมา ตามด้วยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การตัด, การเย็บ แบบไร้ที่ติ ตลอดจนตำแหน่งการติดตั้งปุ่มออพชั่นต่าง ๆ ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ซึ่งความจริงผมอาจจะมโนภาพเอาเองก็ได้ เพราะหากวัดกันจริงมันอาจไม่ต่างจากแบรนด์ Hi-End อื่น แต่ด้วยความภูมิใจเบา ๆ ประกอบกับการใส่ใจในรายละเอียด ผมอาจจะรู้สึกว่าเจ้านี่มัน “เยี่ยม” กว่าก็ว่าได้

ผมไม่เคย “แตะ” เจ้า Panamera มาก่อนจึงไม่อาจบอกความต่างได้ชัดเจนนัก แต่จากข้อมูลที่มีในมือ ก็คือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างตัวถังใหม่ ทำให้มีห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 425 ลิตร ซึ่งจะปรับเพิ่มได้อีก 50 ลิตร เมื่อทำการพับเบาะหลัง และนั่นน่าจะตอบโจทย์ในเรื่องของการเดินทางสำหรับครอบครัวได้ดี ในกรณีใช้พื้นที่เบาะโดยสารเต็มพิกัด … แต่ถ้า “ไม่” เค้าสามารถขยับขยายเป็น 1,295 ลิตรได้ง่าย ด้วยการปรับ หรือพับเบาะนั่งด้านหลังลง เพื่อก้าวสู่ความเป็นฐานะรถ Coupe ทีมีเพียงเบาะนั่งคู่หน้าเท่านั้น

ร่ายยาวมาขนาดนี้บอกเลยว่าผมใช้เวลานานกว่า 3 ชม. สำหรับการรวบรวม “ความกล้า” ในการขับขี่ เพราะบอกเลยว่ามัน “ตื่นเต้น” ยิ่งกว่าอะไรก็ตามที่ผ่านมาในชีวิตเช่นกัน ทั้งจากความยาวตัวรถระดับ 5 เมตร และความกว้างเกือบ ๆ จะ 2 เมตร รวมไปถึงมูลค่าระดับแบรนด์ Porsche ที่ตั้งราคาไว้ 9.5 ล้านบาท ไปจนถึงตัวผมเองที่ได้มีโอกาส “แตะ” คันเร่งจริง ๆ เป็นครั้งแรก ที่แม้กล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็จบด้วยการ “จัด” แบบเต็มความสามารถ เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าโอกาสแบบนี้จะมาถึงอีกเมื่อไหร่

เครื่องยนต์วางหน้าแบบ V6 ความจุสุทธิ 2,894 ซีซี พ่วงระบบอัดอากาศ รับผิดชอบในการสร้างกำลัง 330 แรงม้าที่ 1,750 – 5,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 5,250 – 6,500 รอบต่อนาที คือ ต้นกำเนิดพลัง ซึ่งนั่นยังไม่พอสำหรับเวอร์ชั่น Hybrid เพราะต้อง “แถม” ด้วยกำลังจะมอเตอร์ไฟฟ้าที่จัดมาให้อีก 136 แรงม้า มากับแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งรวม 2 แหล่งกำเนิดพลังทำให้ Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo เลี้ยงฝูงม้าเยอรมันเอาไว้ในคอกถึง 462 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 700 นิวตันเมตร

ส่วนระบบส่งกำลังมากับชุดเกียร์อัตโนมัติ PDK 8 สปีด รับหน้าที่ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Porsche Traction Management (PTM) ซึ่งจะทำหน้าที่กระจายแรงบิดสู่ล้อคู่หน้า และคู่หลังแบบแปรผันตามความเหมาะสมกับสภาพถนน และพฤติกรรมคนขับ เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่สำหรับทุกรูปแบบ และสภาพถนน โดยมาพร้อมกับตัวเลขสมรรถนะที่โรงงานเคลมเอาไว้ 4.6 วินาที และความเร็วสูงสุด 275 กม./ชม.

ปิดท้ายด้วยระบบช่วงล่างนั้นมากับการเน้นความนุ่มนวล ในรูปแบบของถุงลม ผสมผสานกับพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบน และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ ซึ่งผ่านคอร์สลดน้ำหนักด้วยการเลือกใช้วัสดุอลูมิเนียมในการผลิต เพื่อเพิ่มความเฉียบคมในการควบคุมมากขึ้นให้กับพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า

จังหวะแรกที่ผมขึ้นไปนั่งประจำการในตำแหน่งคนขับ บอกเลยว่ามันมีความรู้สึกที่ “ประหม่า” เกิดขึ้นทันที ด้วยหลายปัจจัย ทั้งขนาดของตัวรถที่บอกเลยว่าแม้จะเป็นงานดีไซน์ที่เน้นความสปอร์ต ปราดเปรียว ก็ตาม แต่ด้วยขนาดตัวถังไซส์ยักษ์ รวมไปถึง “ราคา” ที่ทำให้วินาทีแรกในการขับขี่นั้นอาจทำให้เกิดความรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะเมื่อนึกว่าต้องอยู่ท่ามกลางท้องถนน ในช่วงเวลาที่รถรากำลังคับคั่ง จนน่าจะมีการเสียจังหวะไปบ้าง กับการพยายามมุดเปลี่ยนเลน และเดาว่าคงต้องเบาคันเร่ง และปล่อยให้การเดินทางในเมืองลื่นไหลไปตามสภาพน่าจะเป็นการดีที่สุด และก็น่าจะดีกว่าหากขับขี่บนถนนหนทางที่ว่างพอให้ใช้ศักยภาพของ Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องระแวงเรื่องเพื่อนร่วมท้องถนน

เมื่อเส้นทางเบื้องหน้าพร้อมคันเร่งใช้งานอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความประทับใจ ตั้งแต่การตอบสนองของเครื่องยนต์ ที่เพียงเพิ่มน้ำหนักเท้าขวาเล็กน้อย ก็สามารถพุ่งทะยานแหวกอากาศออกไปได้ดั่งใจคิด ภายใต้แรงขับเคลื่อนของ 2 ขุมพลังทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถเพิ่มอารมณ์ความเร้าใจได้ด้วยการปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ซึ่งเปลี่ยนสไตล์ของรถ 4 ประตู GT ให้เป็นรถสปอร์ตมาตรฐานแบรนด์ Porsche ได้อย่างไม่ยากเย็น ฉะนั้นหายห่วงในเรื่องของการใช้ความเร็วสูง หรือ เรื่องของการเร่งแซง

ตลอดจนความสามารถด้านไดนามิคต่าง ๆ ที่ยังคงรักษามาตรฐานของแบรนด์ Porsche เอาไว้อย่างครบถ้วน แถมด้วยอีกหนึ่งบุคลิกที่สุขุม นุ่มลึก และให้ความมั่นใจได้ดีทั้งในส่วนของการขับขี่ และบรรดาอุปกรณ์ความปลอดภัยต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน ไม่ต่างกับรถยนต์นั่งสุดหรูระดับ Hi-end

พูดได้ว่า Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo เป็นรถที่มีภาพรวมในการใช้งานยอดเยี่ยมทีเดียว ในการตอบโจทย์ สำหรับ “พ่อบ้าน” ที่ยังคงหลงใหลในอารมณ์ของ “รถสปอร์ต” ขับสนุก ที่มาพร้อมกับหน้าที่รับผิดชอบในฐานะ “หัวหน้าครอบครัว” ถ้าเรื่อง “กำลังทรัพย์” ไม่ใช่ปัญหา

Specification : Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo

• Price         :    9,500,000 BHT
• Engine      :    2,894 CC / Twin Turbo / V6 / 24 Valve 330 hp @ 1,750 – 5,000 rpm / 450 Nm @ 5,250 – 6,500 rpm
• Electronic Motor   :   136 hp / 400 Nm
• Transmission  :   PDK 8A/T / All Wheel Drive
• Performance  :    0 – 100 Km/h @ 4.6 Sec, Top Speed @ 275 Km/h
• Weight             :    2,190 Kg.