รีวิว ทดสอบรถ: BMW 218i Gran Coupe, 330e และ X5 xDrive45e M Sport สามผสานที่ตอบโจทย์การขับขี่ที่แตกต่างในงาน BMW Driving Experience 2020
รีวิว ทดสอบรถ: BMW 218i Gran Coupe, 330e และ X5 xDrive45e M Sport
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
รีวิว ทดสอบรถ: BMW 218i Gran Coupe, 330e และ X5 xDrive45e M Sport
นับหลังจากหลังวิกฤติใหญ่ หลายๆ ค่ายเริ่มจัดกิจกรรมหลังจากหยุดทำการกันไปนานหลายเดือน แต่ทุกๆค่ายรถยนต์ที่จัด ยังคงให้ความใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย ล่าสุดค่ายรถยนต์ BMW ได้ให้เกียรติเชิญทีมงาน Torque ไปร่วมกิจกรรมขับทดสอบรถใหม่หลากหลายรุ่นในงาน BMW Driving Experience 2020 โดยในงานครั้งนี้มีรถให้ลองขับใหม่ถึง 3 รุ่น ทั้ง BMW 218i Gran Coupe, 330e และ X5 xDrive45e ทั้งหมดมากับความสปอร์ตภายนอกและภายในกับชุด M Sport รอบคัน โดยขับหนึ่งคันหนึ่งสื่อ แบ่งเป็นสองกลุ่มคือช่วงเช้าและช่วงบ่าย เป็นการขับขี่แบบ free run ไปยัง สนาม Enduro Park Thailand จังหวัดชลบุรี
ทาง BMW ได้เตรียมรถ BMW 330e M Sport เพื่อใช้ในการเดินทางไปร่วมกิจกรรมที่ชลบุรี BMW 330e M Sport นับเป็นรถซีดานที่มีสมรรถนะสูงจากการผสมผสานของเครื่องยนต์และระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้การตอบสนองที่ดุดันและน่าประทับใจ พร้อมขุมพลังใหม่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร รหัส B48B20A 184 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 1,350-4,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 113 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากสุด 292 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร
ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน Gen 4 รุ่นใหม่ ที่มีขนาดความจุ 12 kWh สามารถเพิ่มกำลังส่งในการเร่งความเร็วได้มากยิ่งขึ้นในโหมด SPORT เพียงเหยียบคันเร่งเพื่อกระตุ้นการทำงานของ XtraBoost และปลดปล่อยพละกำลังเสริมมากถึง 40 แรงม้า ภายในเวลาเพียง 10 วินาที ทำให้มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม.จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง กับค่าตัว 2,799,000 บาท
ด้วยการผสมผสานช่วงล่างแบบ Adaptive M ที่เมื่อปรับในโหมด Sport แล้ว ยิ่งมีความแข็งมากขึ้น ซึ่งเหมาะสมกับคนที่ชื่นชอบขับเร็ว ช่วงล่างจะช่วยทำให้คุณมั่นใจมากยิ่งขึ้น ตามสไตล์ BMW ที่แม้จะกระด้างขึ้น แต่ก็ไม่ได้แข็งแบบสั่นสะท้าน ออกไปแนวเฟริ์มๆ แต่อุ่นใจในความเร็วสูง สำหรับการขับขี่ในโหมดปกติ หรือโหมด Adaptive เหมาะกับการขับขี่บนถนนในเมืองทั่วไปที่ต้องเจอกับรอยต่อถนน คอสะพานต่างๆ รวมไปถึงพื้นผิวการจราจรที่ไม่เรียบแล้วดูจะลงตัวกว่า
ระหว่างทางมีฝนตกมาเป็นช่วงๆ แต่ด้วยช่วงล่างของ BMW ยังคงให้ความมั่นใจแม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม หลายๆ ช่วงเรามีโอกาสได้ลองอัตราเร่งจากความเร็ว 90 กม./ชม. ไปที่ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. นั้น ใช้เวลาเพียงอึดใจเดียว และสามารถแตะ 200 กม./ชม. ได้ในเพียงไม่กี่อึดใจ นับเป็นรถที่ยากจะปฎิเสธได้ว่าเมื่อคุณได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยแล้วจะไม่อยากกดคันเร่งลงไป
พวงมาลัยก็เช่นกันที่ตอบสนองรับกับความเร็วได้อย่างลงตัว น้ำหนักที่หน่วงขึ้นตามเข็มความเร็วที่เพิ่มขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ ได้เทียบเท่าเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังเหลือเฟือในการเร่งแซงรถข้างหน้า หรือทิ้งรถที่อยู่ในกระจกหลังให้เล็กลงไปเรื่อยๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงออฟชั่นต่างๆ ที่ถูกติดตั้งเข้ามาให้ในรุ่นประกอบในประเทศนี้ ที่เรียกได้ว่าจัดเต็มมากกว่าเคย รวมไปถึงระบบ Parking Assistant Plus ระบบช่วยถอยรถในทิศทางเดิมแบบอัตโนมัติ
ตัวรถสามารถจดจำทิศทางที่ขับตรงไปข้างหน้าในระยะ 50 เมตรสุดท้าย ด้วยความเร็วไม่เกิน 36 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ และสามารถถอยออกในทิศทางเดิมแบบอัตโนมัติ พร้อมกับกล้องมองรอบทิศทาง Surround View Camera รวมทั้งวิวด้านบน วิวพาโนรามิค และรีโมท 3D วิว ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อเพื่อดูภาพของรถที่จอด ทางโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ ผ่านระบบ BMW ConnectedDrive ที่ในปัจจุบันมีติดตั้งอยู่ในรถ BMW
เมื่อมาถึงยังสนาม Enduro Park Thailand เราได้พักสักครู่ใหญ่ๆ รอกลุ่มรอบเช้าที่มาถึงก่อน ที่กำลังไปทดสอบแบบออฟโรดอยู่ ซึ่งในตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มไม่เป็นใจเมฆฝนก่อตัวพร้อมลมกรรโชกแรง กับฝนที่โปรยลงมา เมื่อถึงเวลาเราเตรียมเปลี่ยนรถไปขับทดสอบ BMW X5 xDrive45e M Sport ในรูปแบบออฟโรดนิดๆ ในสนาม Enduro Park ซึ่งเป็นสนามสอนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์วิบาก โดย BMW X5 xDrive45e มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร TwinPower Turbo 286 แรงม้าและเทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู EfficientDynamics มอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังสูงสุดที่ 113 แรงม้า เมื่อทำงานร่วมกันจะมีพละกำลังสูงสุด 394 แรงม้า พร้อมแรงบิด 600 นิวตันเมตรกับค่าตัว 4,999,000 บาท
ทาง instructor ที่จัดการทดสอบในครั้งนี้ก็ได้ให้พวกเราได้วิ่งวอร์มอัพกันในสนามกันเล็กน้อย เพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นการขับผ่านเนินเอียงซ้ายขวา 15 องศา ขึ้นและลงทางชันจำลอง ระบบช่วยออกตัวและลงทางลาดชัน เราได้มีโอกาสทดสอบกล้องมองรอบทิศทาง Surround View Camera รวมทั้งวิวด้านบน วิวพาโนรามิค และรีโมท 3D วิว ที่ช่วยให้เรามองเห็นรอบรถในขณะที่ตัวรถหงายหน้าขึ้นฟ้ามองไม่เห็นพื้น ซึ่งระบบนี้จะช่วยในการขับขี่แบบนี้ได้มากทีเดียว
นอกจากนี้แม้ตัวรถ BMW X5 จะมีขนาดที่ใหญ่ แต่การตอบสนองของพวงมาลัยที่เบาช่วยให้การควบคุมรถได้ง่ายเป็นเรื่องที่สะดวกสบายมากๆ ซึ่งผู้หญิงก็สามารถขยับพวงมาลัยได้สบายๆ น่าจะถูกใจผู้หญิงไม่น้อย ก่อนที่จะออกไปขับออฟโรดที่เป็นพื้นที่สวนและไร่มันสำปะหลัง รวมไปถึงช่วงล่างแบบถุงลมใน BMW X5 xDrive45e M Sport นี้ ก็ได้มอบความนุ่มหนึบที่ไม่ย้วย บนเส้นทางที่ไม่เรียบนี้ได้แบบไม่กระแทกกระเทือน
ก่อนลงสู่สนามจริงทาง instructor ก็ให้เราได้ลองเบรกแบบฉุกเฉินบนพื้นที่ที่ลื่นจากหินกรวดและทรายภายในสนาม โดยการออกตัวจากจุดหยุดนิ่งกดคันเร่งเต็มที่และเบรกแบบกะทันหันโดยการกดแป้นเบรกครั้งเดียวเต็มแรง ด้วยพื้นเส้นทางที่ลื่นนี้จึงทำให้ระยะเบรกนั้นยืดออกไป ซึ่งเทคนิคที่ทาง instructor อยากแนะนำก็คือ การเบรกบนพื้นที่ลักษณะนี้ให้เราเหยียบแป้นเบรกในลักษณะของการเหยียบแบบกดแล้วเพิ่มน้ำหนักลงบนแป้นเบรกจนรถหยุดนิ่ง
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็คือระยะเบรกที่สั้นลงอย่างสังเกตได้ ความโดดเด่นอีกอย่างคือรถ BMW X5 xDrive45e M Sport นี้ที่มาพร้อมความสามารถในการปรับระดับช่วงล่างขึ้นลงรวมไปถึงการเพิ่มความสูงได้อีกราว 40 มม. ก็ช่วยเพิ่มความสามารถในการบุกผ่าเส้นทางโหดได้ดีขึ้น แม้กับทางที่เป็นหลุมลึกและเปียกก็ยังสามารถสามารถไปได้อย่างง่ายดาย
โดยช่วงสุดท้ายเป็นการทดสอบแบบ Gymkhana (ยิมคาน่า) บนสภาพเส้นทางที่เป็นดินทรายบวกกับฝนที่ตกเทลงมาเพิ่มความลื่นให้กับเส้นทาง โดยการขับในสถานีนี้ทีมงานได้เปิดระบบตัวช่วยทั้งหมดของรถเอาไว้ รวมไปถึงระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) ที่จะคอยช่วยไม่ให้รถหลุดการควบคุม ซึ่งในช่วงที่ต้องขับวนเป็นวงกลมบนสภาพเส้นทางที่ลื่นสิ่งที่รู้สึกได้เลยก็คือการกดคันเร่งแช่ไว้ตัวรถมีการตัดกำลังคล้ายกับการเร่งแล้วไม่ไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของรถเอาไว้
ซึ่งหัวใจสำคัญของการขับขี่แบบนี้คือการใช้รอบเครื่องยนต์ที่ไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป และพยายามรักษาความเร็วให้คงที่ จึงจะทำให้ทำเวลาในการขับขี่ในรูปแบบได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการตัดรอบของเครื่องยนต์อีกปัญหาคือ ถ้าเรากดคันเร่งมากไปรถจะลื่นไหลจนต้องแก้เยอะ ซึ่งก็เป็นโอกาสได้ลองประสบการณ์ที่มี ซึ่งในสถานีนี้สร้างความสนุกให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างมากทีเดียว
ขากลับเราเปลี่ยนมาขับ BMW 218i Gran Coupe M Sport มุ่งกับกรุงเทพ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่มาด้วยชุดแต่ง M ที่มาพร้อมกับดีไซน์คอนเซปต์คูเป้ 4 ประตู กระจังหน้าออกแบบใหม่ Single Kidney Grille ที่เป็นชิ้นเดียวกัน ไฟหน้าที่ดูคล้ายสี่ตาแบบ LED พร้อมไฟ DRL รับกับชุดกันชนหน้าแบบ M Sport เด่นด้วยล้อ M ลาย Double-spoke ขนาด 18 นิ้ว กับแพลตฟอร์มใหม่ front-wheel drive architecture (FAAR) ขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีขนาดตัวรถยาว 4,526 มม. กว้าง 1,800 มม. สูง 1,420 มม. ระยะฐานล้อ 2,670 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 142 มม. และมีความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร
ตลอดเส้นทางกับ 218i Gran Coupe M Sport ต้องบอกเลยว่าเป็นรถขับหน้าจาก BMW ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน TwinPower Turbo ขนาด 1.5 ลิตร แรงสุด 140 แรงม้า ที่ 4,200-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,480-4,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด Steptronic ที่มาพร้อมช่วงล่างจาก M Sport ร่วมไปถึงระบบเบรกขนาดใหญ่อีกด้วย ตัวรถที่มีขนาดเล็กทำให้สมรรถนะในการขับขี่ดูลื่นไหล ขุมพลังเครื่องยนต์แม้ไม่ได้แรงมากมาย แต่เมื่อผสานรวมกับช่วงล่างของ M Sport ทำให้การขับขี่ในความเร็วสูงทำได้อย่างน่าประทับใจ
แม้จะมีอาการแข็งไปหน่อยตามแบบสไตส์ BMW แต่ก็ให้ความมั่นใจในการขับขี่ พวงมาลัยเบาในความเร็วต่ำแต่หนักขึ้นพอดีมือในความเร็วสูง ซึ่งสำหรับการขับขี่ทั่วไป BMW 218i Gran Coupe M Sport นั้นเพียงพอสำหรับการขับขี่ทั้งนอกเมืองในเมือง กับราคาค่าตัวรถ 2,399,000 บาท นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรถที่น่าจะอยู่ในตัวเลือกสำหรับใครที่กำลังมองหารถซีดานขนาดกะทัดรัดขับขี่ง่าย และให้ความรู้สึกสปอร์ตทั้งในหน้าและการขับขี่รุ่นนี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว