รีวิว ทดสอบรถ ใหม่ล่าสุด (13/06/19) BYD e6 รถยนต์ไฟฟ้ายนตรกรรมอเนกประสงค์ MPV แบบ 5 ที่นั่งจากบริษัทยักษ์ใหญ่ประเทศจีน
รีวิว ทดสอบรถ: BYD e6 รถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ MPV แบบ 5 ที่นั่ง จากประเทศจีน
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
“เราไม่เคยรูจักกันมาก่อน เพราะฉะนั้น นี่คือ ครั้งแรกระหว่าง Torque Magazine และ BYD e6 รถยนต์ไฟฟ้า บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีน ที่บุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ด้วยการทำมากกว่าแค่รถยนต์”
BYD ย่อมาจากคำว่า Build Your Dream ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2003
สำหรับ BYD Co. Ltd. นั้นย่อมาจากคำว่า Build Your Dream ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2003 หลังจากซื้อกิจการของ Tsinchuan Automobile Company เข้ามาไว้ในครอบครองเมื่อปี 2002 และทำการผลิตรถบัส, รถจักรยานไฟฟ้า และรถโฟล์คลิฟท์, รถบรรทุก และแบตเตอรี่แบบชาร์จ
BYD ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Plug-in Hybrid รุ่นแรกชื่อ BYD F3
มาจนถึงไป 2008 ที่รัฐบาลจีนมีนโยบายผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้ BYD ตัดสินใจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Plug-in Hybrid รุ่นแรกออกมาในชื่อ BYD F3 จนกระทั่งเป็นที่รู้จักมาขึ้นในปี 2014 จากการเปิดตัวรุ่นยอดนิยมอย่าง BYD Qin รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid เช่นกัน
ก่อนที่จะพัฒนายกระดับรุ่น BYD Qin ให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ออกจำหน่ายร่วมกับ BYD e6 ซึ่งส่งให้ BYD Co. Ltd. ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งในการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีน
บริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด เป็นผู้นำเข้า และผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BYD ในประเทศไทย
ส่วนการทำตลาดรถยนต์แบรนด์ BYD ในประเทศไทยนั้น เป็นหน้าที่ของ บริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำเข้า และผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BYD ในประเทศไทย โดยนำร่องด้วยโมเดล e6 เป็นรุ่นแรก ซึ่งรูปลักษณ์มากับพื้นฐานของยนตรกรรมอเนกประสงค์ MPV แบบ 5 ที่นั่ง บนมิติตัวถังความยาว 4,560 มม. ความกว้าง 1,822 มม. ความสูง 1,630 มม. และความยาวฐานล้อ 2,830 มม. กับน้ำหนักตัวราว ๆ 2,020 กก.
ในขณะที่งานดีไซน์นั้นเรียกว่า เกิดมาเพื่อ “ใช้งาน” เป็นหลัก เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้มีความ “หวือหวา” หรือ “โดดเด่น” มากนัก เช่น ในมุมมองด้านหน้าที่มากับกระจังหน้าออกแบบให้มีแผ่นปิดแบบทึบ ซึ่งสร้างความสวยงามด้วยลวดลายบนแผ่นปิด และตราสัญลักษณ์ของ BYD ส่วนชุดไฟหน้าจะเป็นแบบ Projector และมากับชุดไฟ Daytime running light แบบ LED
ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/65 R17 มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ในขณะที่ด้านข้างดู “เฉี่ยว” เบา ๆ จากรูปทรง และล้ออัลลอยที่ให้ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/65 R17 มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับชุดไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง โดยมีด้านหลังที่ออกแบบได้ค่อนข้างเรียบง่าย แต่แอบ “เปรี้ยว” เล็ก ๆ บนงานดีไซน์ของชุดกันชนหลัง, ชุดไฟท้าย และสปอยเลอร์หลังคาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3
ห้องโดยสารถือว่ากว้างขวาง นั่งสบาย เน้นโทนสีดำเป็นหลัก
ในห้องโดยสารถือว่ากว้างขวาง นั่งสบาย เน้นโทนสีดำเป็นหลัก พร้อมด้วยการเลือกใช้วัสดุหนังในส่วนของเบาะนั่ง และพวงมาลัย ส่วนออพชั่นมาตรฐานที่จัดมาให้ จะประกอบด้วย ชุดหน้าปัด LCD สำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่ ที่ควบคุมได้จากพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น
พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, ชุดเครื่องเสียงเป็นหน้าจอแบบ Built-in แบบกดปุ่ม พร้อมหน้าจอแสดงผล รองรับการใช้งานวิทยุ, CD, AUX นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วย กุญแจรถแบบ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และเบรกมือไฟฟ้า
ระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้ก็ถือได้ว่า “ครบครัน”
แต่สิ่งที่ “ขัดใจ” เบา ๆ ก็คือ เบาะนั่งที่น่าจะต้องปรับระดับสูงต่ำได้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับสรีระให้มากขึ้น ส่วนเรื่องของระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้ก็ถือได้ว่า “ครบครัน” เช่น ถุงลมนิรภัยที่ให้มาถึง 6 ลูก ระบบ ABS, EBD และ ESP ไปจนถึงระบบเซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับวัตถุรอบคัน
มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร
การขับเคลื่อนเป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ด้วยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ Lithium iron ขนาด 80kWh ซึ่งเคลมว่าสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดประมาณ 300 กม. ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ที่จะใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบบ VTOG 40kW ที่ราว ๆ 2 ชั่วโมง และแบบปกติที่ประมาณ 8-9 ชั่วโมง โดยมีความเร็วสูงสุดที่ทำได้ คือประมาณ 140-150 กม./ชม.
ระบบส่งกำลังเป็นระบบเกียร์ไฟฟ้า ลักษณะเป็นแบบ Joystick
ส่วนระบบส่งกำลังเป็นระบบเกียร์ไฟฟ้า ลักษณะเป็นแบบ Joystick ใช้งานตามตำแหน่งบนหัวเกียร์ โดยมีตำแหน่งเกียร์ P เป็นปุ่มกดบริเวณฐานคันเกียร์ พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือก 2 รูปแบบ คือ Eco และ Sport ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดในเรื่องของอัตราเร่ง และอัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน
โดยโหมด Sport จะเป็นอะไรที่ถือว่าโดนใจไม่น้อย ด้วยอัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจ แม้ไม่ขนาดพรวดพราดจนหลังติดเบาะ แต่ก็มีความต่อเนื่องตามใจสั่ง และสามารถชาร์จไฟกลับได้ด้วยระบบเบรกที่แบบ Regenerative Brake โดยสิ่งหนึ่งที่เรายังคงไม่ค่อยจะคุ้นชินเท่าไหร่ก็คือเรื่องของแป้นเบรกที่ค่อนข้างจะแข็งกว่ารถปกติทั่วไป ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัว และสร้างความคุ้นเคย เพื่อให้เบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
สมรรถนะการทรงตัว และการยึดเกาะถนน จากพื้นฐานแบบอิสระปีกนกคู่ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
อีกหนึ่งสิ่งสุดเซอร์ไพรส์ ก็คือ สมรรถนะการทรงตัว และการยึดเกาะถนน ที่ไม่ธรรมดาจากพื้นฐานแบบอิสระปีกนกคู่ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ที่ออกแบบมาให้สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลในความเร็วต่ำ และรองรับความเร็วสูงด้วยความรู้สึกสปอร์ต ที่จะช่วยสร้างความรู้สึกสนุกสนานในการขับขี่ โดยเฉพาะในทางโค้ง ที่คุณอาจคิดว่ารับมือยาก หากแต่เชื่อเถอะว่ามันเกินความคาดหมาย ชนิดที่ไม่สร้างความมั่นใจให้ตกหล่นหายไปไหน เช่นเดียวกับระบบเบรกที่จัดแบบดิสก์ 4 ล้อมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เรียกได้ว่าหลังจากที่สัมผัสกับ BYD e6 แบบเต็ม ๆ ความคิดที่มีต่อ “รถจีน” ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที ชนิดที่บอกได้เลยว่า “ประมาท” ไม่ได้ทีเดียว กับคุณภาพสมรรถนะระดับนี้ ขาดเหลือก็แค่สิ่งที่ต้องปรับเพื่อให้ “ถูกปาก” ชาวไทย ในเรื่องดีไซน์ ทั้งภายนอก และภายใน ที่น่าจะเพิ่มความ “ทันสมัย” เข้าไปอีก
BYD e6 เคาะราคาไว้ที่ 1.89 ล้านบาท
รวมถึงออพชั่นเล็ก ๆ เพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกสรีระคนขับ ไปจนถึงระบบความบันเทิงให้ทันยุคสมัย เท่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้ามาทำตลาดในไทย “ถ้าขายจริง” เนื่องจาก ณ ตอนนี้ BYD e6 ยังเป็นรถที่ทำตลาดในรูปแบบ Fleet Operation หรือ การจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้กับองค์เพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก แต่ถ้าใครอยากได้ลอง Walk-in เข้าไปถามไถ่ได้ เพราะเค้าตั้งราคาเอาไว้ที่ 1.89 ล้านบาท
Specification: BYD e6
- Price: 1,890,000 BHT
- Engine: Electric Motor / 120 HP / 450 NM
- Transmission: A/T / Front Wheel Drive
- Performance: 0 – 100 Km/h @ 8 Sec / Top Speed @ / 140-150 Km/h
- Weight: N/A