รีวิว ทดสอบรถ ใหม่ล่าสุด (25/5/62) Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium เวอร์ชั่น CBU ที่เคาะราคาเปิดเพียง 4,390,000 บาท
รีวิว ทดสอบรถ: Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
ยังคงเดินหน้าไม่หยุด กับการปลุกกระแสตลาดรถแรง และรถหรูของ Mercedes-Benz ชนิดที่ว่าสายพันธุ์แรงอย่าง Mercedes-AMG ยังประกอบในไทยได้ เพราะงั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับรุ่นมาตรฐาน เช่น CLS 300d AMG Premium เวอร์ชั่น CBU ที่เคาะราคาเปิดเพียง 4,390,000 บาท
Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium ประกอบในไทย
Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium ที่อยู่กับเราในวันนี้ ดูเผิน ๆ คงแยกไม่ออกระหว่างเวอร์ชั่นนำเข้า และประกอบในประเทศ หากไม่แปะป้ายราคาเอาไว้ที่ 4,390,000 บาท ซึ่งมีส่วนต่างจากเวอร์ชั่นนำเข้า CBU ถึงเกือบ ๆ 6 แสนบาท หากเทียบจากราคา 4,980,000 บาท เรียกว่า “คุ้มค่า” มาก สำหรับผู้หลงใหลยนตรกรรมจากค่ายดวงดาว
มาตรฐานของ Mercedes-Benz
เพราะ Mercedes-Benz ได้การันตีเอาไว้ว่าทุกอย่าง คือ “มาตรฐาน” เดียวกัน ซึ่งอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าถ้าขนาดตัวแรงขาโหดอย่าง Mercedes-AMG ยังสามารถประกอบในประเทศไทยได้ ฉะนั้นแล้วในเวอร์ชั่นพื้นฐานของ Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium ก็ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง เนื่องจากในทุก ๆ รายละเอียดนั้นแน่นอนว่ายังคงอยู่บนมาตรฐานของ Mercedes-Benz
การดีไซน์ที่ช่วยปรับตัวถังขนาดใหญ่ให้โฉบเฉี่ยวจากเส้นสายสไตล์ Coupe
ว่ากันไปตั้งแต่เรื่องของมิติตัวถังที่ใหญ่โตด้วยขนาดความยาว 4,988 มม., ความสูง 1,435 มม., ความสูง ,1,890 มม. กับระยะฐานล้อที่ถูกกำหนดไว้ 2,939 มม. พร้อมสูตรการดีไซน์ที่ช่วยปรับตัวถังขนาดใหญ่ให้โฉบเฉี่ยวจากเส้นสายสไตล์ Coupe
โดยเฉพาะแนวเส้นหลังคาที่ลาดองศาลงในด้านหลัง ที่ลงตัวกับการดีไซน์ในรายละเอียดอื่น ๆ เช่น กระจังหน้าแบบ Diamond Grille และช่อง Air-Intake ด้านล่าง ที่ยกระดับขีดความสามารถด้านอากาศพลศาสตร์ และการระบายความร้อนด้วย ช่องรับอากาศเข้าเครื่อง แบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ AIR Panel
เทคโนโลยีระบบส่องสว่างซึ่งอัพเกรดขึ้นใหม่
นอกจากนี้ยังนำเสนอเทคโนโลยีระบบส่องสว่างซึ่งอัพเกรดขึ้นใหม่ เช่น รูปทรงเฉี่ยวของชุดไฟหน้าที่เป็นแบบ Multibeam LED ควงคู่มากับชุดไฟ Daytime Running Light แบบ LED เสริมประสิทธิภาพด้วยระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS-Active Light System,
ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง Cornering Light และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist ตลอดจนการติดตั้งไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง, การเลือกใช้ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED จนถึงชุดไฟท้าย LED พร้อมเทคโนโลยี Fibre Optic
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายนอก
ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายนอกนั้น จัดมาให้ตั้งแต่ กุญแจ Keyless GO พร้อมรีโมทคอนโทรล สำหรับปุ่มเปิด-ปิดฝากระโปรงท้าย ที่สามารถเลือกใช้งานจากระบบ Hand-Free Access ได้ ซึ่งทั้งหมดทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เช่นเดียวกับด้านบนที่ติดตั้งหลังคา Sunroof มาให้
ชุดแต่ง AMG Styling
และนอกจากดีไซน์ที่ชวนหลงใหลตามสไตล์ยนตรกรรมจากค่ายดาวสามแฉกแล้ว ในฐานะที่มากับความเป็น AMG Premium ฉะนั้นจึงต้องถูก “ทรงเครื่อง” อีกชั้น ด้วยชุดแต่ง AMG Styling ที่ประกอบด้วย กันชนด้านหน้า, ด้านหลัง และสเกิร์ตข้าง
ประกบกับล้ออัลลอย AMG ลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง Runflat Tyre ขนาด 245/40 R19 ในด้านหน้า และขนาด 275/35 R19 ในด้านหลัง ซึ่งฝังความโดดเด่นด้านหลัง ด้วยตัวอักษร Mercedes-Benz อันชัดเจนอยู่บนชุดคาลิปเปอร์เบรกหน้า
ภายในห้องโดยสาร
กุญแจรีโมทถูกกดปลดล็อค เพื่อเข้าไปส่องในห้องโดยสาร ที่บรรจุด้วยอารมณ์ของความหรูหราเป็นมาตรฐานด้วยวัสดุหนัง Nappa ในส่วนของเบาะนั่ง และพวงมาลัยทรง D-Shaped
ผสมผสานด้วยการตกแต่งจากลายไม้ Grey Open-Pore Ash Wood และกาบบันไดเรืองแสง พร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz โดยไม่ลืมแอบใส่ความสปอร์ตเล็ก ๆ เอาไว้ด้วยชุดคันเร่ง และแป้นเบรกแบบสปอร์ต
ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก
ในขณะที่ฟังก์ชันสำหรับอำนวยความสะดวกนั้นร่ายยาวด้วย พวงมาลัย Multifunction ที่นอกจากสามารถแปรผันน้ำหนักตามความเร็วรถแล้วยังทำหน้าที่ส่วนระบบควบคุมไปพร้อม ๆ กันด้วยปุ่ม Touch Control และ แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift
ทั้งยังมีเบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า พร้อม Memory Seat ในขณะที่เบาะนั่งด้านหลัง แยกพับอิสระได้แบบ 40 : 20 : 40, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ THERMATIC Dual Zone
ไปจนถึงหน้าจอแสดงผล Dual Cockpit Screen จอคู่ ขนาด 12.3 นิ้ว 2 จอ ที่รองรับระบบความบันเทิงได้ตั้งแต่ การเชื่อมต่อ Apple Car Play และ Andriod Auto, ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth
ด้วยเครื่องเสียงรอบทิศทาง Burmaster รวมถึงรองรับการแสดงผลระบบนำทาง Navigation System ตลอดจนระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charging และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-up Display
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์
แต่ว่ากันตามตรงถึงสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของเรา รวมถึงใครหลาย ๆ คน ที่เป็น “สายขับ” น่าจะเป็นเรื่องของ “สมรรถนะ” มากกว่า “ออฟชั่น” หรือ “ความหรูหรา” เพราะฉะนั้นเราจึงสตาร์ทเครื่องปลุกชีพเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์ พิกัด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์วให้ตื่น
เพื่อวอร์มอัพฝูงม้าเยอรมันทั้ง 245 ตัว และใช้เวลาจัดตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อการขับขี่แบบสปอร์ต เนื่องจากดูแล้วแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ที่มีให้ใช้ตั้งแต่ 1,600 รอบต่อนาที ไปจนถึง 2,400 รอบต่อนาที คงไม่ปราณีหากนั่งไม่ถูกหลักความเหมาะสม ในการควบคุมยนตรกรรมสมรรถนะสูง
บททดสอบสมรรถนะ
ซึ่งหลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ก็ “ไปดิค้าบ จะรออะไร” เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ Dynamic Select ที่มีถึง 5 รูปแบบ คือ Eco, Comfort, Individual, Sport และ Sport+ ซึ่งเราเลือกแบบ ๆ ที่โหมด Sport
ก่อนจะขยับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic ไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1 เพื่อถ่ายทอดกำลังไปที่ล้อหลัง โดยถ้าอยากเน้นความประหยัดก็ยังมีฟังก์ชัน ECO Start / Stop ให้เลือกใช้ … แต่สำหรับเราขออนุญาต “ปิด” เนื่องจากอยากได้ “Spirit in Side” แบบเต็ม ๆ ศักยภาพ
เอาจริง ๆ ณ สัมผัสแรกจากประสบการณ์ที่ได้ลองขับมา พูดได้เลยว่าวินาทีแรกในการกดคันเร่ง ที่ตัดจิตสำนึก หรือ ความต่างตอนจ่ายเงินซื้อล่ะก็ คุณจะไม่รู้เลยซักนิดว่า นี่คือ เวอร์ชั่นนำเข้า หรือ เวอร์ชั่นประกอบในไทย เพราะด้วย “อรรถรส” ที่ได้รับ คือ มาตรฐานเดียวกันที่ไม่แตกต่าง
โดยเฉพาะในเรื่อง “สมรรถนะ” ที่เฉียบขาด ตั้งแต่สัมผัสแรกของการกดคันเร่งแบบเต็ม ๆ ที่แรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ในรอบต่ำ ที่สามารถจัดการคุณอยู่หมัดตั้งแต่โหมด Sport ขึ้นไป ในขณะที่โหมดอื่น ๆ อย่าง Eco หรือ Comfort เค้าจะลำเลียงแรงบิดออกมาให้สัมผัสอย่างมีระดับ และนุ่มนวลกว่า
แต่สำหรับ “สายขับ” บอกเลยว่าตั้งแต่โหมด Sport ขึ้นไป “ความเร้าใจ” ในการขับขี่ คือ สิ่งที่คุณ “สั่งได้” ด้วยเท้าขวา แบบเดียวกับที่เราทำ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเราหลุดพ้นการจราจรในเมืองเป็นที่เรียบร้อย เพราะในการขับขี่ในเมืองเราก็ทำได้แค่ “ไปตามสภาพ” ด้วยความเหมาะสมที่เลือกตามได้ตามต้องการจากโหมดการขับขี่ Dynamic Select
โดยในโหมดการขับขี่แบบ Sport ที่เราเลือกใช้นั้น คือ ความมันส์ที่อยู่บนพื้นฐานของความมั่นใจ ว่ามีระบบความปลอดภัยแบบอิเล็คทรอนิกส์คอยหนุนหลัง จัดการให้ทุกอย่างอยู่ในระบบระเบียบเรียบร้อย ส่วนในโหมด Sport+ ที่รถเค้าจัดสรร “Performance” มาให้เป็นเต็มตา เต็มใจ อันนี้รอให้มีโอกาสเป็นเจ้าของแบบชอบธรรมแล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้งดีกว่า
เพราะฉะนั้นกับฐานะรถหยิบยืมเอาเป็นว่าโหมด Sport ในการขับขี่จริง ถือว่า “เพียงพอ” สำหรับสาวกรถหรูที่ต้องการความ “สะใจ” จากสายพันธุ์เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ด้วยแรงบิดมหาศาลระดับ 500 นิวตันเมตรที่พร้อมจะพรั่งพรูออกมาตั้งแต่รอบพันต้น ๆ เท่านั้น
ในขณะที่เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ก็ส่งต่อกำลังอย่างดุเดือด และต่อเนื่อง ต่อทุกจังหวะที่คุณกดคันเร่ง และด้วยพื้นฐานของความ “หรู” โมเดล CLS ที่มากด้วย “เสถียรภาพ” ทำให้คุณยากที่จะรู้เลยว่า “ความเร็ว” ณ ชั่วเวลานั้นอยู่ในระดับเท่าไหร่ หากไม่ “ชายตามอง”
รวมถึง “ขนาด” อันใหญ่โตของตัวถังที่เคลื่อนไหวได้อย่างกระชับฉับไว อันเป็นผลมาจากการตอบสนองของเครื่องยนต์, น้ำหนักของพวงมาลัยที่จัดให้เหมาะสมกับความเร็วที่ใช้ ไปจนถึงช่วงล่างแน่น ๆ ที่ล้วนประกอบกันเป็นอารมณ์ของรถสปอร์ต และพร้อมสนองตอบต่อความต้องการของคุณในทุกสไตล์การขับขี่
ระบบความปลอดภัยที่มั่นใจได้ พร้อมราคาที่ต้องร้อง “ว้าว” กับเวอร์ชั่นประกอบในประเทศ
ซึ่งแม้ดีกรีความ “เร้าใจ” จะไม่เทียบเท่ากับตระกูล Mercedes-AMG ที่มากับตัวเลข 2 หลัก แต่เชื่อเถอะว่า CLS 300 d ก็มีความ “มันส์” ที่จะมอบให้อย่างมากเพียงพอเกินความต้องการ และแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องของระบบความปลอดภัยที่มั่นใจได้ ด้วยมาตรฐานยนตรกรรมจากค่ายดาวสามแฉก พร้อมราคาที่ต้องร้อง “ว้าว” กับฐานะเวอร์ชั่นประกอบในประเทศ
Specification: Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium
- Price: 4,390,000 BHT
- Engine: Diesel Turbocharged Intercooler / 1,950 CC / 4 Cylinder 16 Valve 245 hp @ 4,200 rpm / 500 Nm @ 1,600-2,400 rpm
- Transmission: 9A/T (9G-Tronic) / Rear Wheel Drive
- Performance: 0 – 100 Km/h @ / 6.4 Sec / Top Speed @ / 250 Km/h.
- Weight: N/A