รีวิว ทดสอบรถ ใหม่ล่าสุด MINI JOHN COOPER WORKS 3-Dr HATCH เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 231 แรงม้า
รีวิว ทดสอบรถ: MINI JOHN COOPER WORKS 3-Dr HATCH
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
CAN’T, WON’T, DON’T STOP!
MINI แฮทช์แบ็คที่ทรงพลังที่สุดในเรนจ์ของมัน… John Cooper Works… 2.0 ลิตร เทอร์โบ, 231 แรงม้า, 320 นิวตันเมตร, ช่วงล่าง และระบบเบรกปรับแต่งใหม่โดยเฉพาะ พร้อมกับท่อไอเสียที่ให้เสียงคำรามกร้าว เป็นใครก็อดใจไม่ไหว!
ถนนชนบทที่เชื่อมต่อระหว่างสองหมู่บ้านตัดลัดเลาะขึ้นลงไปตามภูเขาน้อยใหญ่ ตอนบ่าย ๆ เช่นนี้ ช่างเงียบสงบเพราะไม่ค่อยมีใครใช้สัญจรสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่เสียงปะทุที่ส่งออกจากปลายท่อไอเสียในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ และเสียงยางกรีดร้องในขณะที่ขีปนาวุธขนาดเล็กจิ๋วกำลังเบี่ยงหน้าสู่โค้ง
ผมอยู่กับ MINI JCW ตัวถังแบบ Hatchback ที่กระตือรือล้นราวกับสุนัขแจ็ครัสเซิลที่พร้อมกระโจนออกไปคาบลูกเทนนิสได้ทุกเมื่อ ทันทีที่คุณเติมน้ำหนักลงไปบนคันเร่ง MINI คันจิ๋วจะตอบรับด้วยแรงฉุดที่ไม่ธรรมดา อาการ Torque steer ยังคงมีให้สัมผัสผ่านพวงมาลัยทุกครั้งที่แรงบิดถูกเรียกใช้ พร้อมเสียงทุ้มต่ำทว่าดุดันที่แผดออกมาจากปลายท่อ ดังกระหึ่มอยู่หลังเบาะนั่งของคุณ
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ
มันถูกปรับแต่งมาเพื่อภารกิจทำความเร็วอย่างแท้จริง เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ได้รับการจูนโปรแกรมควบคุมเครื่องยนต์ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับเทอร์โบที่ออกแบบมาเป็นพิเศษจาก JCW ให้ทนทานต่ออุณภูมิสูง และปั่นอากาศได้มากกว่าเดิม ลูกสูบทั้งสี่ก็เป็นแบบใหม่ที่ลดกำลังอัดให้ต่ำลง เพื่อรองรับอัตราบูสต์ของเทอร์โบที่สูงขึ้น ในขณะที่ท่อไอเสียก็ได้รับการปรับปรุงให้มีแรงดันย้อนกลับลดลงพร้อมเสียงคำรามที่คุณต้องประทับใจ
ผลลัพธ์น่ะหรือ? 231 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที และ 320 นิวตันเมตรของแรงบิด ที่มีให้ใช้ทั้งหมดนั่นตั้งแต่ 1,250 รอบ/นาที ไปจนถึง 4,800 รอบ/นาที! ขุมพลังนี้ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่แบบ 8 จังหวะ (จากเดิม 6 จังหวะ ใน JCW รุ่นปี 2015) ที่จัดสรรอัตราทดมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.1 วินาที และเร่งจาก 80-120 กม./ชม. โดยใช้เวลาเพียง 5.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 246 กม./ชม.
น้ำหนักตัวถังที่เบาหวิว กับพวงมาลัยเฉียบคม และช่วงล่างเกาะหนึบของมัน
เรามาทำอะไรห่าม ๆ ที่นี่ด้วยเหตุผลที่มากกว่าตัวเลข “231 แรงม้า” ความทรงจำที่เคยมีเมื่อครั้งที่ได้ตะบันคันเร่ง MINI JCW โฉมแรก (ภายใต้แบรนด์ BMW) ยังคงประทับใจไม่รู้ลืม และทายาทผู้สืบเชื้อสาย Hot Hatch ในตำนานคันนี้จะต้องเหนือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย กุญแจสำคัญที่จะไขเข้าสู่มิติแห่งความเร็วของ MINI ไม่ใช่กำลังเครื่องยนต์ แต่เป็นน้ำหนักตัวถังที่เบาหวิว กับพวงมาลัยเฉียบคม และช่วงล่างเกาะหนึบของมัน ที่ส่งให้แฮทช์แบ็คที่แปะตราสัญลักษณ์ “JCW” เป็นยนตรกรรมไม่ธรรมดา
จุดศูนย์ถ่วงต่ำ, โอเวอร์แฮงค์สั้น, ฐานล้อกว้าง และโครงสร้างที่แข็งแกร่ง คือพื้นฐานอันยอดเยี่ยมที่มีติดตัว MINI Hatch มาตั้งแต่รุ่นมาตรฐาน ในเวอร์ชั่น JCW ถูกเติมแต่งให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นด้วยการลดน้ำหนัก พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับช่วงล่างในเวลาเดียวกัน
แบริ่งที่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาถูกนำมาใช้กับเพลาขับหน้า ปีกนก และชุดรองรับเพลาขับผลิตจากโลหะที่มีความแข็งแกร่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับช่วงล่างด้านหลังที่ได้รับการลดน้ำหนัก และเพิ่มความแข็งแกร่งเข้าไป ในขณะที่ช็อคอับ และสปริงก็ถูกปรับแต่งใหม่เพื่อรองรับการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ
ฟีลลิ่งการขับขี่แบบ Go-Kart คือสิ่งที่ MINI ยึดมั่นมาโดยตลอด
ฟีลลิ่งการขับขี่แบบ Go-Kart คือสิ่งที่ MINI ยึดมั่นมาโดยตลอด สิ่งนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในเวอร์ชั่น JCW แม้ตัวถังยาวเพียง 3.8 เมตร แต่คุณจะรู้สึกว่ามันคันเล็กกว่านั้นอีกเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัย สัมผัสที่กระฉับกระเฉง และว่องไวเป็นผลมาจากระบบบังคับเลี้ยว “Servotronic” ที่จะแปรผันอัตราทดพวงมาลัยให้เหมาะสมกับความเร็ว
และโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้ ในกรณีที่อยู่ในโหมด Sport -ซึ่งคุณจะต้องเรียกใช้เป็นประจำอย่างแน่นอน – น้ำหนักพวงมาลัยจะเพิ่มขึ้น และตอบสนองฉับไวกว่าเดิม นอกจากนั้น ระบบยังปรับช่วงล่างให้แข็งขึ้น และปรับการทำงานเกียร์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่แบบสปอร์ตอีกด้วย
หลังจากนั้นน่ะหรือ? คุณจะตกหลุมรัก MINI JCW อย่างถอนตัวไม่ขึ้น มันคือเครื่องจักรสำหรับตะลุยโค้งอย่างแท้จริง คล่องแคล่วปราดเปรียว ทว่าหนักแน่นมั่นคง ทั้งยังควบคุมง่ายอย่างเหลือเชื่อ คุณจะสนุกกับอัตราเร่งอันน่าทึ่ง
และเสียงแผดลั่นของท่อไอเสียที่จะคอยยั่วยุคุณให้เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างไม่หวั่นเกรง จนกระทั่งคุณกดแป้นเบรกเพื่อสั่งให้คาลิเปอร์ Brembo สีแดงสด (ที่พัฒนาขึ้นเพื่อ MINI JCW โดยเฉพาะ) ลดความเร็วลง, คลิก Paddle ฝั่งซ้ายเพื่อชิฟต์เกียร์ลงต่ำ ตั้งท่าสำหรับโค้งแคบที่รออยู่เบื้องหน้า
จากนั้นหักเลี้ยวเบนหัวเข้าหาโค้ง แล้ว MINI จะแสดงศักยภาพของแรงยึดเกาะระดับสูงให้คุณได้ประจักษ์ มันยอดเยี่ยมจนยากจะหาประโยคใดที่คู่ควรพอจะอธิบายสัมผัสนั้นได้ แม้ยังมีอาการอันเดอร์สเตียร์ให้สัมผัสตามสไตล์รถขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็อยู่ในพิกัดที่สามารถควบคุมได้ไม่ยากนัก ถึงจะปิดระบบควบคุมการทรงตัวทั้งหมดก็ตาม
แม้จะโฟกัสไปที่สมรรถนะ แต่ MINI JCW ก็ใช่ว่าจะดิบเถื่อนจนไม่สามารถใช้งานทั่วไปได้แต่อย่างใด มันยังคงให้ความสะดวกสบายไม่ต่างจากรถยนต์นั่งทั่ว ๆ ไป คุณอาจไม่ชอบเซ็ตอัพช่วงล่างในโหมด Sport สักเท่าไหร่ (ผมก็เช่นกัน) เพราะถึงมันจะให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม แต่ก็แข็งกระด้าง และกระเด้งกระดอนบนถนนขรุขระ จนต้องยอมยกธงขาวไปในที่สุด
ต้องขอบคุณระบบ MINI Driving Modes ที่ปล่อยให้คุณเลือกเซ็ตค่าต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ อาทิ เซ็ตเครื่องยนต์เป็น Sport และช่วงล่างแบบ Comfort เป็นต้น ซึ่งดูจะเหมาะกับถนนสายรองมากกว่า แม้จะทำให้ตัวรถโคลงเคลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเกาะหนึบเช่นกัน
การใช้ความเร็วบนไฮเวย์เป็นอะไรที่น่าประทับใจ แรงบิดทั้ง 320 นิวตันเมตร พร้อมให้คุณใช้งานทันทีที่ต้องการ นั่นหมายถึงการเร่งแซงที่เฉียบขาดแม้จะอยู่ในโหมดมาตรฐานก็ตาม พวงมาลัยเบามือขึ้นแต่ยังคงสื่อสารได้ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าช่วงล่างในโหมด Comfort ดูจะขึงตึงไปสักหน่อย และเสียงยางก็ดังกระหึ่มแข่งกับเสียงท่อไอเสีย จนลดทอนความสุนทรีย์ในการเดินทางไปพอสมควรทีเดียว
แต่คุณจะต้องแปลกใจที่ MIN JCW กลับเป็นรถที่ใช้งานได้ดีเมื่ออยู่ในเมือง นอกจากข้อได้เปรียบเรื่องตัวถังที่มีขนาดกะทัดรัดแล้ว มันยังมีทัศนวิสัยที่ชัดเจนรอบคัน บวกด้วยความกระฉับกระเฉงของเครื่องยนต์ และการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงได้อย่างนุ่มนวล ส่งให้รถคันนี้ซอกแซกไปมาตามสภาพการจราจรได้ไหลลื่น สีเขียวแบบใหม่ “Rebel Green” (มีเฉพาะรุ่น JCW เท่านั้น)
และอุปกรณ์ตกแต่งจาก JCW ส่งให้มันดูมีสไตล์ยิ่งขึ้น นอกจากนั้น สำหรับรุ่นปี 2019 นี้ ยังมาพร้อมกับไฟหน้า LED พร้อมไฟสูงอัตโนมัติ Matrix Technology ที่จะปรับการส่องสว่างตามสภาพแวดล้อมได้อย่างชาญฉลาด และคันของเรายังมาพร้อมกับออพชั่นไฟท้าย Union Jack ที่ใครเห็นเป็นต้องอมยิ้มกันทุกคน
คุณภาพวัสดุ และการประกอบคือ สิ่งที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าสองโมเดลที่ผ่านมาชนิด “หนังคนละม้วน” หากคุณเคยเบือนหน้าหนี MINI เพราะเรื่องนี้ล่ะก็ ทายาทรุ่นล่าสุดของมันแทบไม่มีวัสดุคุณภาพต่ำให้เห็นในห้องโดยสารอีกแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือ มันดูแพงกว่ารุ่นก่อน ๆ มากทีเดียว และยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกเมื่อเป็นรุ่น JCW คุณจะได้เบาะนั่งแบบกึ่งบักเก็ตที่โอบกระชับทั้งยังนั่งสบายทีเดียว
พร้อมด้วยการตกแต่งชิ้นส่วนต่าง ๆ สี Piano Black และมาตรวัดแบบเฉพาะของ JCW รวมไปถึง HUD ที่สามารถแสดงตำแหน่งเกียร์ และรอบเครื่องยนต์ พร้อมชิฟต์พ้อยท์เพื่อช่วยให้คุณเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้นก็มีมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบแจ้งเตือน และช่วยเบรกอัตโนมัติ, ป้องกันการออกนอกเลน, แอคทีฟครูสคอนโทรล, ระบบช่วยจอด เรื่อยไปถึงระบบ ติด/ดับ เครื่องยนต์อัตโนมัติที่ทำงานร่วมกับ Sat-nav
และทั้งหมดนี้ในราคา 3.4 ล้านบาท สูงกว่า Cooper S รุ่นท้อปราว 5 แสนบาท แต่สมรรถนะนั้นมีค่าเกินกว่าจะประเมินออกมาเป็นราคาได้ นี่คือหนึ่งใน Hot Hatch ที่ขับสนุกที่สุด มันไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลนัก แต่ผมรับประกันว่าคุณจะไปได้เร็วไม่แพ้ใครในแทร็ค และเอ็นจอยกับสมรรถนะรวมถึงประสิทธิภาพการบังคับควบคุมที่มีบุคลิกเฉพาะตัวแบบที่ไม่อาจหาได้จากรถคันใด
SPECIFICATIONS: MINI JOHN COOPER WORKS 3-Dr HATCH
- Price: 3,418,000 Baht
- Engine: 1998cc. inline-4 Turbocharged, 231hp @ 5,200-6,200 rpm, 320 Nm @ 1,250-4,800 rpm
- Transmission: 8-speed Automatic, Front-wheel drive
- Performance: 6.1 sec 0-100 km/h, 246 km/h, 150 g/km Co2