รีวิว ทดสอบรถ: Nissan LEAF ชาร์จไฟรอบเดียว กับการขับทั่วเมืองเชียงใหม่ ถึงยอด “ดอยอินทนนท์” ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร
รีวิว ทดสอบรถ: Nissan LEAF ชาร์จไฟรอบเดียวขับเที่ยวทั่วเมืองเชียงใหม่
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดทดสอบกันในรูปแบบการขับในเมือง และการขับออกไปนอกเมืองแบบทั่วไป เพื่อให้รู้ว่าเมื่อชาร์จไฟรอบเดียว ก็เที่ยวทั่วเมืองได้เหมือนกัน งานนี้จึงได้มีการจัดทดสอบกันอีกรอบ โดยครั้งนี้ท้าทายกันมากกว่าเดิม ด้วยการเชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์ได้ไปไต่เขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยอย่าง “ดอยอินทนนท์” ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร
Nissan LEAF ท้าทายสมรรถนะว่าแบตตอรี่จะพอไหม….ถ้าวิ่งขึ้นดอยสุเทพฯ
Nissan LEAF โฉมนี้เลย การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในส่วนของกระจังหน้าแบบ V-Motion ที่ใช้เปิดฝาเป็นช่องชาร์จไฟ, ไฟรูปทรง “บูมเมอแรง” และการออกแบบแนวเส้นหลังคา แสดงให้เห็นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแบบของนิสสัน ไฟหน้าแบบโคม LED โปรเจ็คเตอร์แบบคู่ รองรับการทำงานทั้งไฟต่ำ และไฟสูง
พร้อม Daytime Running Light ส่วนไฟท้าย ก็เป็นทรงบูมเมอแรงเช่นกัน ติดติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายเพื่อเพิ่มความสปอร์ตเข้าไปหน่อย ล้อใช้ขนาด 17 นิ้ว ยางขนาด 215/50 R17 ช่วงล่างด้านหน้าใช้แบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นแบบทร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริง ทั้ง 4 ล้อใช้ระบบดิสก์เบรก
ส่วนภายในของ Nissan LEAF นั้น ยึดแนวทางการออกแบบสไตล์ Gliding Wing เป็นแนวทางหลัก ใช้สีดำเป็นสีหลักของวัสดุภายใน เบาะเป็นหนัง แต่งขอบด้วยสีฟ้าเพื่อให้ดูเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ปรับด้วยมือ พวงมาลัยหุ้มหนังทรงกลมตัดท้ายเรียบแบบฉบับรถสปอร์ต ปรับระดับขึ้นลงได้ หน้าจอวิทยุ อาจจะดูโบราณหน่อย เป็นหน้าจอสีขนาด 5 นิ้ว
แต่รองรับการเชื่อมต่อสาย USB และ AUX และการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Bluetooth มีช่อง USB ให้ 1 ช่อง และช่อง 12V. อีก 1 ช่อง ลำโพง 4 จุด มีระบบอุ่นเบาะ ส่วนหน้าจอมาตรวัดตรงคนขับนั้น แน่นอนว่าการบอกข้อมูลย่อมแตกต่างกับรถยนต์แบบเครื่องยนต์ปกติทั่วไปอย่างแน่นอน
นอกจากจะบอกระยะทาง, ความเร็วที่เป็นระบบมาตรฐานแล้ว มันก็จะบอกระดับของแบตเตอรี่, ระยะทางคงเหลือที่วิ่งได้, กำลังการใช้ไฟฟ้า (คล้ายวัดรอบ), คุณภาพของแบตเตอรี่ รวมทั้งสามารถบอกระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มด้วย
Nissan LEAF ที่เรากำลังทดสอบนี้ มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร หมุนปั่นที่ล้อหน้า มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 40 กิโลวัตต์ ตามสเปกมีการเคลมเอาไว้ว่า สามารถวิ่งได้ไกลสุด 311 กิโลเมตร / การชาร์จ 1 ครั้ง โดยการชาร์จนั้น ถ้าชาร์จผ่านสายชาร์จที่แถมมากับรถขนาด 3.3 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาในการชาร์จจาก 0 ให้เต็ม 100% ได้ใน 12 ชั่วโมง
ถ้าเป็นแท่น Wallbox 6.6 กิโลวัตต์ จะลดเหลือ 6 ชั่วโมง และถ้าชาร์จแบบเร็ว Quick Charge จะใช้เวลา 40 นาทีเพื่อชาร์จได้ 80% อ้าว แล้วทำไมไม่บอกตัวเลขที่เต็ม 100% ล่ะ จากการสอบถามผู้ติดตั้งตู้ชาร์จเร็วได้คำตอบมาว่า ระบบจะตั้งให้ตัดการทำงานที่ประมาณ 80% เพื่อป้องกันความเสียหายต่อตัวรถและแบตเตอรี่นั่นเอง
การทดลองขับวันนี้ เราจะเริ่มกันแถวอำเภอหางดง จ. เชียงใหม่ ใช้เส้นทางถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตอง-หางดง มุ่งหน้า อ. จอมทอง เพื่อขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ แล้วย้อนกลับมาเส้นทางเดิมกลับมาสู่จุดเริ่มต้น ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ซึ่งถ้าดูตามปกติ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ว่ารอบนี้เราต้องมาไต่ดอยที่สูงที่สุดในไทย ค่าโหลดบนถนนจริง อุณหภูมิล้วนส่งผลกับไฟในแบตตอรี่
ในที่สุดเราก็ไต่ความสูง มาจนถึงจุดลานจอดรถที่สูงที่สุดในประเทศไทยกันแล้ว หน้าจอแบตเตอรี่คงเหลือบอกเอาไว้ว่า ยังมีไฟเหลืออยู่ที่ 21% แล้วทำไง เพราะบนนี้ไม่มีที่แท่นชาร์จไฟ ซึ่งใน Nissan LEAF สามารถชาร์จไฟกลับได้จากทางลาดชัน ซึ่งการท้าทายกันรูปแบบใหม่
โดยการเอา Nissan LEAF ขับไหลลงเขามา แล้วให้การหมุนของล้อนั้นช่วย Regenerate ไฟฟ้า ให้กลับไปเก็บที่แบตเตอรี่ จะได้เอาไฟที่ชาร์จกลับมาเนี่ยแหล่ะ ขับกลับไปให้ถึงปลายทาง ก็คือจุดเริ่มต้นให้ได้นั่นเอง โดยขาลงนั้น เราจะมีการเปิดระบบ ECO ที่จะลดการใช้งานไฟฟ้าได้ และเดินหน้าด้วยเกียร์ B ที่จะมีความหน่วงดึงเอาไว้เล็กน้อย ออกแบบเอาไว้ให้ใช้งานช่วงเวลาลงเขา คล้ายการใช้งาน Engine Brake
แถมยังช่วยในการดึงไฟฟ้ากลับเข้าไปที่แบตเตอรี่ได้อีก ซึ่งเมื่อลดมาถึงตีนดอยเราสามารถชาร์จไฟกลับได้รวมเกือบ 50 % ซึ่งก็เพียงพอจะขับกลับมาถึงที่พักได้เพียงพอ แต่เราก็ใช้ความเร็วอยู่ที่ 80-100 กม./ชม. เท่านั้น
นิสสันถือว่าเป็นการเปิดตลาดเพื่อก้าวไปสู่เทคโนโลยีต่อในอนาคตที่ทางนิสสันเตรียมไว้ ที่เรียกว่า E-power ที่ยังคงใช้สมรรถนะจากมอเตอร์ไฟฟ้าเช่นเดิม
ซึ่งต้องยอมรับว่าข้อเสียของรถไฟฟ้าตอนนี้ก็คือเรื่องระยะทาง ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะกับแค่นิสสันแต่แทบกับรถไฟฟ้าทุกรุ่น ซึ่งทางนิสสันถือว่าเป็นการเปิดตลาดเพื่อก้าวไปสู่เทคโนโลยีต่อในอนาคตที่ทางนิสสันเตรียมไว้ ที่เรียกว่า E-power ที่ยังคงใช้สมรรถนะจากมอเตอร์ไฟฟ้าเช่นเดิม
แต่เพิ่มเติมเอาเครื่องยนต์มาปั่นไฟสู่แบตแทนการชาร์จไฟ ซึ่งน่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้ขึ้น อาจจะได้เห็นระบบนี้ในประเทศไทยไม่นานนักแต่ ถ้าเป็นในเมืองแล้ว Nissan LEAF น่าจะตอบโจทย์ความประหยัดอย่างแน่นอน แถมได้ช่วยเรื่องมลพิษที่คุณจะมีโอกาสช่วยโลกได้อีกทางหนึ่ง