รีวิว ทดสอบรถ: Ford Ranger Raptor 2020 เนรมิตสนามทดสอบจุดชมวิว Đồi Cỏ Hồng จุดสูงสุดในดาลัด ทิวป่าสนสามใบ ตะลุยดินแดนทะเลทรายขาวมุยเน่ Mũi Né
รีวิว ทดสอบรถ: Ford Ranger Raptor 2020 ตะลุยดินแดนทะเลทรายขาว Mũi Né
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
ฟอร์ด ประเทศไทย จัดกิจกรรมสุดท้าทายสำหรับ Ford Ranger Raptor นับเป็นเรื่องน่าประทับใจสำหรับค่ายนี้ เวลาจัดทริปทดสอบรถที่ค่อนข้างให้ผู้ขับได้ทดสอบสมรรถนะแบบเต็มพิกัดทั้งคนและรถ ด้วยเส้นทางอันท้าทาย และแทบไม่ค่อยได้เห็นในการทดสอบจากค่ายอื่น ทำให้นึกถึงการเปิดตัวครั้งแรกของ Ford Ranger Raptor ในการทดสอบสมรรถนะการขับขี่ และอดทนของช่วงล่างด้วยการกระโดดเนินดินที่ทำให้ตัวรถสูงขึ้นจากพื้นไปหลายเมตรที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับสื่อมวลชน และบุคคลทั่วไป
หลังจากนั้นก็เปิดเกาะนำรถไปตะลุยชายหาดให้เห็นสมรรถนะของโหมดบาฮาที่พื้นทรายบนชายหาดนุ่ม ๆ ก็ไม่สามารถรั้ง Ford Ranger Raptor เอาไว้ได้ มาในครั้งนี้ ฟอร์ด ประเทศไทย ยังคงสร้งความฮือฮาอีกครั้งพาสื่อมวลชนตะลุยข้ามประเทศไปทดสอบรถที่ดาลัดเมืองท่องเที่ยวสุดชิล ที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และปิดทริปไปตะลุยทะเลทรายที่มุยเน่ที่มั่นใจว่ายังไม่เคยมีค่ายไปไหนไปลุยได้โหดเท่านี้แน่นอน โดยกิจกรรมนี้ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน
นอกจากนี้ยังมีการปรับโฉมเจ้า Ford Ranger Raptor 2020 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงลายสติ๊กเกอร์รอบรถหายไป ไฟฟ้าLED เต็มระบบ และเมนูแสดงผลหน้าจอเป็นภาษาไทย และที่ขาดไม่ได้ช่วงล่างจาก ฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) ที่เลือกใช้โช้คอัพคู่ด้านหน้า และหลังของ FOX ที่มั่นใจในการซับแรงกระแทก และเกาะถนนในทุกสภาพเส้นทางได้อย่างดีเยี่ยม
ในส่วนของขุมพลังยังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอลเรล พ่วงเทอร์โบคู่แบบ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มอบแรงบิด และแรงม้าที่ ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร พร้อมด้วยระบบ Terrain Management System (TMS) โหมดการขับขี่อันล้ำสมัยถึง 6 รูปแบบ ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย เพื่อที่จะพิชิตทุกสภาพเส้นทางอย่างแท้จริง โดยแบ่งเป็น
โหมดปกติ – เน้นความสบาย นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน
โหมดสปอร์ต – ตอบโจทย์ผู้ที่มีใจรักการขับขี่ทางเรียบ เน้นการเปลี่ยนเกียร์เร็ว และฉับไวในขณะที่รอบเครื่องสูง พร้อมทั้งค้างรอบเครื่องสูงไว้เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้นอย่างที่ผู้ขับขี่ต้องการ
โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ – ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่น และเป็นหลุมบ่อ โดยระบบจะทำการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวลขึ้นพร้อมทั้งออกตัวด้วยเกียร์ที่สอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัย และลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ
โหมดโคลน/ทราย – ระบบจะปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึก และสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างพื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง
โหมดหิน – ใช้เมื่อขับขี่บนพื้นผิวในเขตภูเขาที่ลาดชัน ต้องใช้ความเร็วต่ำ และเน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้า ๆ
โหมดบาฮา – ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูงเสมือนนักแข่งแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาอันเลื่องชื่อ โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ รวมทั้งเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด ระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
การทดสอบครั้งนี้ที่ดาลัด ประเทศเวียดนาม ทางฟอร์ด ประเทศไทย ได้เนรมิตจุดชมวิว โด่ย ก่อ ฮอง (Đồi Cỏ Hồng) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในลาลัดเป็นทิวป่าสนสามใบที่ขึ้นเต็มตลอดแนวเขา โดยเราขับ Ford Ranger Raptor 2020 บนเส้นทางจริงในสภาพแวดล้อมหลากหลาย เพื่อให้ใกล้เคียงกับการใช้งานซึ่งเราได้เห็นความฉลาดของตัวรถ
ในการทดสอบระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control ซึ่งมีหน้าที่ปรับความดันเบรกอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยในการควบคุมการลื่นไหล และรักษาความเร็วให้คงที่เมื่อขับขี่ลงทางลาดชัน และยังสามารถควบคุมความเร็วได้เพียงปลายนิ้วเพียงกดปุ่มที่พวงมาลัยก็สามารถเพิ่ม หรือลดความเร็วในการลงทางลาดชันได้อีกด้วย ด้วยความโดดเด่นจากชุดช่วงล่างจาก Fox และระบบขับเคลื่อน Terrain Management System (TMS) ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการพิชิตทุกเส้นทางหฤโหด ถึงแม้จะขับขี่ด้วยความเร็วสูงอยู่ก็ตาม
ในขณะที่ช่วยเรื่องการทรงตัว และการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้นด้วยการออกแบบที่เพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้นไป พร้อมกับช่วยให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง ทำให้สื่อมวลชนสามารถลุยฝ่าเส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อที่รถกระบะทั่วไปอาจจะต้องถอดใจ แต่ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ สามารถทำให้ส้นทางที่เป็นไปไม่ได้สามารถไปได้
ถึงแม้ว่าเส้นทางจะลื่น และขรุขระ แต่ด้วยระบบล็อคเฟืองท้ายไฟฟ้าของ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ที่ส่งมอบแรงบิดเครื่องยนต์เต็มกำลังไปยังล้อหลังทั้ง 2 ล้อ ถึงแม้ว่าล้อใดล้อหนึ่งจะไม่ได้อยู่บนพื้นก็ตาม ซึ่งการท้าทายยากสุดคือ การไต่เนินสลับที่ชันกว่า 50 องศา ที่ผู้ขับขี่ต้องระวังการหมุนพวงมาลัยซึ่งมีโอกาสหลงสูงมาก รวมไปถึงการเอียงของรถที่แทบจะยื่นมือไปแตะพื้นได้จากกระจกผู้ขับขี่ ซึ่งแร็พเตอร์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นับเป็นการขับขี่ที่สนุกสนานบนวิวอันสวยงามที่ลาลัดก่อนจบภาระกิจในวันแรก
ในวันต่อมา คาราวาน เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองมุยเน่ ด้วยระยะทางประมาณ 205 กิโลเมตร ถึงแม้จะต้องเดินทางไกล แต่ด้วยเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อย่างระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ฟีเจอร์ใหม่ในเรนเจอร์ แร็พเตอร์ ทำให้การขับรถระยะไกลเป็นไปได้อย่างผ่อนคลายยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเจอสิ่งรบกวนบ้างก็ตาม
นอกจากนี้ ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) ยังช่วยเหลือผู้ขับขี่เมื่อต้องขับผ่านเส้นทางที่มีการจราจรพลุกพล่าน และคลาคล่ำไปด้วยมอเตอร์ไซค์ในเวียดนาม
ต่อมา เมื่อคณะสื่อเดินทางถึง ทะเลทรายขาวมุยเน่ หรือ White Sand Dunes ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของเวียดนามที่ทางฟอร์ดเนรมิตเป็นเส้นทางทดสอบในทะเลทรายให้สื่อมวลชนได้ทดสอบสมรรถนะของ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ด้วยการใช้ โหมดทราย ในการขับรถในทะเลทรายที่ทั้งลึกและยวบ ข้ามภูมิทัศน์อันแห้งแล้งของสิ่งมหัศจรรย์ทางภูมิศาสตร์ของที่นี่ ซึ่งระบบ TMS ให้การตอบสนองของรถ เพื่อป้องกันการลื่นไถล และรักษาโมเมนตัมที่ดีที่สุดด้วยการรักษาเกียร์ต่ำ และแรงบิดให้อยู่ในระดับสูงซึ่ง
ผู้ขับขี่ต้องทิ้งรถดิ่งลงจากเนินผาสูงที่มีความชันถึง 70 องศา ที่ไม่มีค่ายใดกล้าพิสูจน์แบบนี้มานานแล้ว ซึ่งผู้ขับขี่สามารถรีดเค้นสมรรถนะของ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ออกมาได้อย่างเต็มทุกแรงม้า ซึ่งไม่ใช้เรื่องง่ายที่จะเอารถมาวิ่งในทะเลทรายได้ แต่เรนเจอร์ แร็พเตอร์ สามรถพิสูจน์ตัวเองได้อย่งเต็มภาคภูมิว่าเป็นเจ้าแห่งออฟโรดสมรรถนะสูงที่แท้จริงในทุกเส้นทาง
ปิดท้ายกิจกรรม และฉลองความสำเร็จของการทดสอบรถในครั้งนี้ด้วยปาร์ตี้ใต้ธีม Ranger Raptor: Arabian in Mui Ne พร้อมเพลิดเพลินกับบรรยากาศอันสวยงามริมทะเลมุยเน่ เพื่อเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์สุดประทับใจ ทั้งในด้านสมรรถนะ และประสิทธิภาพของ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์