รีวิว ทดสอบรถ: Toyota Fortuner Legender สะท้อนภาพลักษณ์สปอร์ตระดับผู้นำกับขุมพลังใหม่ GD Super Power มีให้เลือกทั้ง 2.8 ลิตร และ 2.4 ลิตร
รีวิว ทดสอบรถ: Toyota Fortuner Legender ตะลุยออฟโรดพิสูจน์สมรรถนะเต็มขั้น
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
รีวิว ทดสอบรถ: Toyota Fortuner Legender
หลังจากอวดโฉมสู่สายตากับการปรับโฉมในรถอเนกประสงค์อย่าง Toyota Fortuner ซึ่งมาพร้อมสองรูปโฉมที่แตกต่างและทาง โตโยต้า ยังแนะนำรุ่นพิเศษใหม่ที่มาแทนรุ่นเดิม TRD Sportivo กับชื่อใหม่ในนาม Toyota Fortuner Legender ที่มีให้เลือกทั้งในเครื่องยนต์ 2.8 และ 2.4 ลิตร ซึ่งในครึ้งนี้ทางโตโยต้าได้เชิญสื่อมวลชนมาร่วมทดสอบสมรรถนะ Toyota Fortuner Legender ที่สะท้อนภาพลักษณ์สปอร์ตระดับผู้นำ ดีไซน์หรูหรา ที่ทำให้เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับในรุ่นปรกติ
Toyota Fortuner Legender มาพร้อมกับกระจังหน้าสปอร์ตแบบสีดำเข้มรับกับกันชนหน้าใหม่ เผยความสง่างามแห่งผู้นำกันชนหลังใหม่ ดีไซน์ลงตัวในทุกมิติ ไฟเลี้ยวแบบ Sequential…สะกดทุกสายตา ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/60R20 แตกต่างอย่างมีระดับ ไฟหน้าใหม่ Full LED แบบ Dual Projector พร้อม Daytime Running Lights ไฟท้ายใหม่แบบ LED Light Guiding บ่งบอกสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร และหลังคาดำ
พร้อมด้วยอีกออปชั่นที่น่าสนใจกับประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าพร้อมชุดเซ็นเซอร์เปิดฝาท้ายแบบ Kick Activated และระบบป้องกันการหนีบ กล้องมองรอบคัน และสัญญาณเตือนกะระยะ 6 ตำแหน่งช่วยระวังมุมอับสายตาเวลาจอดรถ ซึ่งตัวรถมีมิติความยาว 4,795 มม. ความกว้าง 1,855 มม. ความสูง 1,835 มม. ฐานล้อ 2,750 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 193 มม. และความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
ภายในเน้นสีดำตัดเบาะหนังสีทูโทน ผสานความสปอร์ต คอลโซนกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple Carplay พร้อมด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สายใต้กลางคอลโซล คุณภาพเสียงคมชัดด้วยลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง 11 ลำโพง แต่ติดที่ลำโพงสีเงินบนคอนโซลที่สะท้อนกับกระจกทำให้ละคล้ายสายตา ถ้าปรับสีพื้นผิวเป็นสีดำจะลงตัวกว่านี้ ช่องต่อ USB บริเวณคอนโซกลาง 2 ตำแหน่งเพื่อความสะดวกสบายในการชาร์จไฟให้กับผู้โดยสาร
เบาะที่นั่งพับและปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ สะดวกสบายในทุกการใช้งาน มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 4.2นิ้ว แสดงรายละเอียดการขับขี่อย่างชัดเจน ซึ่งมีการบอกทิศทางล้อเวลาลุยในทางออฟโรดอีกด้วย แถมยังตอบสนองการเปลี่ยนเกียร์ได้ทันใจด้วย Paddel shift ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เพื่อความสนุกในการขับขี่
กระจกมองหลังลดแสงสะท้อนอัตโนมัติขับขี่ปลอดภัยมากขึ้นตอนกลางคืน เบาะนั่งคนขับและเบาะผู้โดยสารตอนหน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางเพื่อความสะดวกสบาย และเบาะปรับพับแถว 2 แบบ One Touch เพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น ช่องต่อไฟฟ้ากระแสสลับ AC 220V…เพื่อความสะดวกสบายและการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ระบบ T-CONNECT by Toyota…เชื่อมการขับเคลื่อนแห่งอนาคต ให้คุณอุ่นใจ ปลอดภัยไร้กังวลในทุกสถานการณ์ ทั้ง Find My Car…เช็คตำแหน่งรถ REAL TIME ได้ทุกที่ ทุกเวลา TheftTrack…ติดตามรถหายเมื่อถูกโจรกรรมพร้อมประสานความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง Geo-Fencing…ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากเขตพื้นที่คุณกำหนดไว้ SOS…ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางกรณี)
Telematics CARE…ให้การดูแลรถยนต์เป็นเรื่องง่าย จัดการได้ทุกปัญหา ด้วยบริการแจ้งเตือนล่วงหน้า Vehicle Information…แสดงสถานะรถยนต์ข้อมูลการขับขี่สรุปทริปการเดินทาง พร้อมให้คุณแชร์ลงโซเชียล อีกทั้งบริการแจ้งเตือนต่อทะเบียนรถประจำปีล่วงหน้าอัตโนมัติ Maintenance Reminder…แจ้งเตือนเข้าศูนย์บริการพร้อมประสานงานนัดหมาย
Insurance (PHYD)…ประกันภัยรถ “ขับดี ลดให้” สิทธิพิเศษด้วยเบี้ยประกัน จ่ายตามพฤติกรรมการขับขี่อีกทั้งช่วยแจ้งเตือนต่อประกันภัยฯ ล่วงหน้าอัตโนมัติ (สำหรับการทำประกันภัยกับบริษัทฯ ที่กำหนดไว้เท่านั้น) Happiness Mobility…บริการผู้ช่วยส่วนตัว พร้อมดูแลคุณตลอดการเดินทาง Concierge Services…บริการผู้ช่วยส่วนตัว พร้อมดูแลคุณตลอดการเดินทาง ซึ่งระบบนี้อาจมีค่าใช้จ่ายในอนาคต
ขุมพลังใหม่ GD Super Power เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบรุ่น 1GD-FTV High-Power ขนาด 2.8 ลิตร แต่มีการอัพพลังมากขึ้น 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ / นาทีในรุ่น เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และยังมีเครื่องยนต์ดีเซล VN เทอร์โบ รุ่น 2GD-FTV High-Power ขนาด 2.4 ลิตร 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,000 รอบ/นาที
มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มาพร้อมเทคโนโลยี i-ART ควบคุมการฉีดน้ำมันอัจฉริยะ…ควบคุมแต่ละหัวฉีดอย่างอิสระ แม่นยำด้วยเซ็นเซอร์คอมพิวเตอร์ ทำงานร่วมกับปั๊ม คอมมอนเรล แรงดันสูง 250 MPa ให้ละอองน้ำมันละเอียดขึ้น เผาไหม้หมดจด คุ้มค่าทุกหยด รองรับน้ำมัน B10 และ B20 และในรุ่น 4WD
มีระบบ Sigma 4 ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ A-TRC แต่ไม่มีระบบเฟืองท้าย Diff-Lock และเครื่องยนต์มีการปรับลดความเร็วรอบเดินเบา (จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที) สามารถลุยเส้นทาง Off-Road ได้อย่างมั่นคง ราบรื่น ไม่สะดุด ซึ่งรถที่ใช้ในการทดสอบจะเป็นรุ่น เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบรุ่น 1GD-FTV High-Power ขนาด 2.8 ลิตร
นอกจากนี้มีการพัฒนาระบบบังคับเลี้ยวใหม่แบบ VFC (Variable Flow Control) ปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้เหมาะสมในทุกช่วงความเร็ว ช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันเช่น ดิสก์เบรกขนาดใหญ่ทั้ง 4 ล้อ เพิ่มความมั่นใจให้ทุกจังหวะเบรก พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันทั้งทั้งระบบเบรก ABS ,EBD และ BA ถุงลมนิรภัยรอบคัน 7 จุด ทั้งคู่หน้าและใต้เข่าคนขับ ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านนิรภัย
ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบควบคุมการส่ายเมื่อต้องต่อส่วนพ่วงท้าย TSC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC และโครงสร้างนิรภัยแบบ GOA ล่าสุดกับ Toyota Safety Sense เพื่อยกระดับเทียบเท่าคู่แข่งทั้ง ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) และระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)
ในการทดสอบเราออกมาพัทยาวิ่งออกมอเตอร์เวย์สู่เขาระเบิดที่ชลบุรี ซึ่งเป็นยอดเขาที่นักโดดร่มต้องตะลุยเพื่อขึ้นไปโดดร่มล่อน ซึ่งเส้นทางไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่คิด ระดับน้องๆ เขากระโจม โดยปรกติก็ถือว่ายากระดับหนึ่งแต่ด้วยความที่ฝนตกเมื่อวานทำให้เส้นทางยิ่งโหดขึ้นไปอีกขั้น พื้นผิวทางขึ้นเป็นโคลนดินหนังหมูทำให้รถมีความลื่นเป็นทวีคูณ ระหว่างการขับขี่มาที่เขาระเบิด ผ่านทางมอเตอร์เวย์เราได้มีโอกาสสัมผัสช่วงล่างที่นุ่มนวลขึ้น
โดยทางโตโยต้าได้มีการปรับเปลี่ยนโช๊คอัพ และสปริงให้มีค่าความแข็งที่เหมาะสมส่งผลในตัวรถมีสเถียรภาพมากยิ่งขึ้นในการขับขี่ตัวรถมีความกระด้างลงกว่าในรุ่นก่อนอย่างรู้สึกได้ แม้ในความเร็วสูงตัวรถก็ไม่ดูร่อน ทำให้การขับขี่สบายขึ้นเยอะ แต่ที่ติดใจกับระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert) ที่ทำเอาสื่อหลายๆ ท่านร้องอุทานด้วยความตกใจกับแรงดึงของพวงมาลัยที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถเสียอาการตูดปัด เพราะดึงแรงมาก
ซึ่งทางทีมวิศวกรได้บอกว่าเป็นความตั้งใจเพราะว่าจะเป็นการปลุกเผื่อผู้ขับขี่หลับใน ซึ่งระบบนี้สามารถปรับระดับความแรงในการดึงได้ในโหมดฟังก์ชั่น เราใช้เวลาพักใหญ่ก็มาถึงทางเข้า เส้นทางเป็นทางหินกรวด สลับทางลาดชัน เลนเดียว โดยในช่วงแรกเราใช้โหมด 4H ในการขับขี่ซึ่งด้วยกำลังเครื่อง และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC ทำให้การไต่ขึ้นลงทางชันง่ายมากยิ่งขึ้น เมื่อเข้าไปเรื่อยๆ ก็มาถึงจุดโหดสุดของเส้นทาง ซึ่งต้องเป็นการไต่ลงเนิน และขึ้นเขาที่มีความชันพอสมควร แต่ติดที่พื้นผิวมีความลื่นเป็นโคลนประกบกับเป็นหุบเหวอยู่ด้านข้าง
ซึ่งงานนี้เราจะได้เห็นสมรรถนะของระบบ Sigma 4 ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ A-TRC แม้จะไม่มีระบบเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock แต่ก็คิดว่าน่าจะผ่านไปได้ เราปรับมาใช้โหมด 4LOW ซึ่งในรุ่นนี้ที่หน้าจอบนหน้าปัดสามารถปรับมาเป็นโหมดช่วยบอกองศาล้อได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในการขับออฟโรดที่มีพื้นผิวเป็นโคลน เพราะผู้ขับขี่จะหลงพวงมาลัยได้ง่าย และที่สำคัญไม่ควรสอดนิ้วโป้งไว้ในพวงมาลัย เพราะเวลาล้อตกหลุมอาจตีกลับและทำให้นิ้วหักได้ ควรจับพวงมาลัยโดยนิ้วโป้งขนานตรงไปกับพวงมาลัยแทน
เพียงแค่ขับลงมารถก็เริ่มไถลออกข้าง ซึ่งเราก็ต้องหมุนพวงมาลัยสวนไปสวนมากันให้พัลวัน และการใช้รอบเครื่องให้สมดุลก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับขี่แบบออฟโรด เพราะถ้าเรากดคันเร่งมากเกินไปล้อจะยิ่งปั่นลึกลงไป ถ้าคานติดดินรถก็จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งต้องยอมรับการขับขี่แบบออฟโรดเป็นศาสตร์และศิลป์ในการควบคุมรถอย่างแท้จริง และไม่ง่ายอย่างที่ใครๆคิดอย่างแน่นอน หลังจากใช้เวลาอีกสักพักเราก็ไต่ขึ้นเขาจนมาถึงยอดเขาระเบิด ซึ่งถือว่าสวยงามกว่าที่คิด ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่ามีสถานที่ชมวิวสวยๆ ใกล้ๆ กรุงเทพแบบนี้
แต่ทางขึ้นก็ไม่ง่ายสำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ขับขี่แบบออฟโรด แต่ถ้าท่านใดอยากท้าทายก็ลองมาพิสูจน์กันได้ที่ชลบุรีแค่นี้เอง แต่สำหรับ Toyota Fortuner Legender ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว มีดีทั้งในความหรูหราและสมรรถนะในการลุยที่ขัดกับหน้าตาที่ดูสำอางค์ ทำให้มันเป็นรถที่ครบเครื่องในการใช้งานอีกรุ่นที่น่าสนใจ
New Toyota Fortuner Legender มีทั้งหมด 4 รุ่น ตามราคาดังนี้
- 2.8 Legender เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,839,000 บาท
- 2.8 Legender เกียร์อัตโนมัติ 1,769,000 บาท
- 2.4 Legender เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,634,000 บาท
- 2.4 Legender เกียร์อัตโนมัติ 1,564,000 บาท
พร้อมสีให้เลือกในรุ่น Legender (เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคม 2563) มีสีภายนอกให้เลือก 3 สี (สีใหม่ 1 สี)
- Emotional Red Black Top (ใหม่)
- White Pearl CS Black Top
- Attitude Black Mica
(*** สำหรับสี Emotional Red Black Top และ สี White Pearl CS Black Top เพิ่ม 20,000 บาท)