รีวิว ทดสอบรถ: Mercedes-Benz GLC300e Coupé ไปลิ้มรสกุ้งเผาแวะชมอยุธยา

รีวิว ทดสอบรถ: Mercedes-Benz GLC300e Coupé ราคาค่าตัวที่ 4,090,000 บาท นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของยานยนต์ในกลุ่ม EQ Power ของ Mercedes-Benz

รีวิว ทดสอบรถ: Mercedes-Benz GLC300e Coupé ไปลิ้มรสกุ้งเผาแวะชมอยุธยา

หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆ เราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้

รีวิว ทดสอบรถ: Mercedes-Benz GLC300e Coupé

Mercedes-Benz Thailand เชิญสื่อมวลชนกลุ่มย่อยไปร่วมทานข้าวพูดคุยกับผู้บริหาร หลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ในทริปนี้เป็นการทดสอบแบบสบายๆ โดยทางเบนซ์ให้รถหนึ่งคันต่อหนึ่งสื่อ เพื่อความสบายใจและปฎิบัติตามกฎ Social Distancing ในการเดินทางครั้งนี้ เราร่วมเดินทางกับสื่ออื่นๆ รถที่ใช้ในการเดินทางทริปนี้ จะเป็นกลุ่ม EQ Power รถปลั๊กอินไฮบริดทั้งหมด ซึ่งการเดินทางด้วยรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในกลุ่ม EQ Power ประกอบด้วย Mercedes-Benz C 300 e รุ่นย่อย Avantgarde , Mercedes-Benz E 300 e, Mercedes-Benz GLC 300 e, Mercedes-Benz GLC 300 e Coupé และ Mercedes-Benz S 560

โดยทีมงานได้ GLC300e 4Matic Coupé AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของยานยนต์ในกลุ่ม EQ Power ของ Mercedes-Benz ที่มาพร้อมไฟหน้า MultiBeam LED โดยมีระบบเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และคำนวณระดับความสว่างอัตโนมัติ สามารถตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ Multibeam LED ยังตรวจจับทางโค้งมุมอับสายตาได้ในระยะทางที่ไกลมากกว่าเดิมอย่างทั่วถึง และปรับให้แสงมีความสว่างเต็มพื้นที่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสูงสุด ขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย ULTRA RANGE Highbeam

โดยระบบจะปรับความยาวของลำแสงไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตร โดยอัตโนมัติ หากไม่พบรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมากระจังหน้า ไฟท้ายแบบ LED พร้อมด้วยสปอยเลอร์หน้า-หลัง ล้อขอบ 20 นิ้วจาก AMG ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์ที่ใต้สปอยเลอร์หลัง ซึ่งออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกเมื่อคุณต้องขนของชิ้นโตๆ ยัดใส่ที่เก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหลัง แค่เตะขาไป-มา ฝาท้ายที่มีเซนเซอร์คอยตรวจจับจะสั่งงานให้ฝาท้ายเปิดออกแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องเอื้อมมือไปเปิด ทำให้เป็นรถอเนกประสงค์แบบสปอร์ตท้ายลาดที่ควบรวมความสะดวกสบายบนมิติของตัวถังไซส์กลาง

มิติตัวถังของ GLC300e 4Matic Coupe AMG Dynamic มีความยาว 4,732 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,602 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,873 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อคู่หน้า 1,620 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อคู่หลัง 1,619 มิลลิเมตร น้ำหนักใกล้เคียง 2,000 กิโลกรัม ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบให้มีความเรียบหรู คอนโซลกลางมีรูปแบบที่หรูหราและเต็มไปด้วยรายละเอียดของชิ้นงาน แผงสีเงินคาดกลางคอนโซล ช่องแอร์แบบ 3 ช่อง

จอมอนิเตอร์กลางเปลี่ยนให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น และสั่งงานได้ทั้งการสัมผัสที่หน้าจอ หรือสั่งงานผ่านแป้นควบคุม MBUX จอมอนิเตอร์กลางแบบใหม่ในระบบสัมผัส ทำหน้าที่เป็นจอของระบบมัลติมีเดีย แจ้งเตือนการทำงานและการปรับตั้งค่าต่างๆ ของตัวรถ มาตรวัด TFT LCD All-Digital Instrument Display เปลี่ยนจากมาตรวัดแบบเข็มสไตล์คลาสสิกของรุ่นที่แล้วมาเป็นมาตรวัดแบบจอภาพในรุ่นปรับโฉม คุณสามารถเปลี่ยนรูปแบบของการแสดงผลได้ 3 แบบ คือ Classic / Sport และ Progressive

ขุมพลังผสมผสานใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ไดเร็คอินเจ็คชั่น เทอร์โบ ความจุ 1,991 ซีซี กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 6 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 122 แรงม้า และแรงบิด 440 นิวตันเมตร มีกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 320 แรงม้า ที่ 4,500–5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดรวม 700 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้งานแบบผสมต่ำกว่า 45 กรัมต่อกิโลเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic

สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 5.8 วินาทีเท่านั้น เมื่ออยู่ในโหมด Sport+ จึงทำให้เป็นรถสปอร์ตเอสยูวีที่ดุดัน และน่ายำเกรงบนถนนได้ไม่ยาก เมื่อเสียบปลั๊กชาร์จไฟไว้ 6 ชั่วโมง GLC300e สามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร โดยระยะทางขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม รูปแบบการขับขี่อีกด้วย ซึ่งจากการทดสอบระหว่างทางที่จราจรค่อนข้างแน่น รถไหลไปได้เรื่อยความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์นิ่งสนิท เราใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนจากแบตซึ่งตอบสนองการขับขี่ได้ดี บางช่วงที่จราจรเริ่มคลาย เราก็ใช้ความเร็ว 100 กม./ชม. เครื่องยนต์ก็ยังไม่ทำงาน มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถทำความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้าใครมีบ้านกับที่ทำงานระยะทางไม่ห่างมาก คุณก็แทบไม่ต้องเสียค่าน้ำมันเลยทีเดียว แถมยังได้เป็นอีกหนึ่งผู้คนที่ช่วยลดมลภาวะให้กับโลกอีกทางหนึ่ง

เราวิ่งทางด่วนไปทางแจ้งวัฒนะตรงยาวไปเส้นหลังเมืองทองทะลุสุดถึงอยุธยา ซึ่งพอพ้นเมืองทองมา รถก็เริ่มโล่ง เราได้ลองรูปแบบการขับขี่ต่างๆ จากระบบขับเคลื่อน DYNAMIC SELECT โหมด COMFORT ซึ่งเป็นโหมดมาตรฐาน เมื่อสตาร์ทรถทุกครั้งจะเข้าสู่โหมดนี้ ตามด้วย SPORT ที่เพิ่มเติมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังให้ตอบสนองได้เร็วขึ้น ซึ่งในโหมดนี้ถึงจะมีการชาร์จไฟกับไปสู่แบตเตอรี่ได้ แถมพกด้วยโหมดสุดท้าย INDIVIDUAL โหมดนี้ผู้ขับสามารถเข้าไปปรับตั้งการทำงาน และการตอบสนองของพวงมาลัย

เครื่องยนต์ และระดับของการตอบสนองในระบบช่วยทรงตัว ESP ซึ่งเป็นโหมดที่ผู้ขับขี่ชื่นชอบที่สุด ซึ่งจะปรับทุกอย่างเป็น Sport ยกเว้นเครื่องยนต์เป็น ECO ก็เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะอัตราเร่งของรถคันนี้ไม่ธรรมดา การไต่ความเร็วไปยัง 200 กม./ชม. นั่นไม่ใช่เรื่องยากแม้จะอยู่ในโหมด ECO ก็ตาม แต่ติดที่ว่าเวลายกคันเร่งตัวรถจะมีการดึงของมอเตอร์ไฟฟ้าค่อนข้างมาก ยิ่งตอนที่รถติดต้องมีการกดยกคันเร่งบ่อยๆ อาจทำให้มึนๆ ไปเล็กน้อย ระบบช่วงล่างแบบถุงลมออกมาให้นุ่มนวลเวลาวิ่งเรื่อยๆ ในเมือง แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงตัวรถมีการย้วยๆ ออกมาบ้างเวลาเจอถนนไม่เรียบเป็นรอนคลื่น ซึ่งในจุดนี้ถ้าปรับให้ลงตัวขึ้นนับว่าครบเครื่อง

และเราก็มาถึงจุดหมายกับร้าน Summer House อยุธยา ร้านอาหารริมน้ำสไตส์ร่วมสมัยเน้นอาหารฝรั่ง กับไทยประยุกต์ โดดเด่นด้วยเครื่องดื่มและขนมหลากหลาย ซึ่งกุ้งเผาถูกจัดเป็นเมนูที่จะต้องลองถ้ามาถึงอยุธยา กุ้งตัวใหญ่ที่ผ่าครึ่งเห็นมันเยิ้มๆ ที่เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสจัดจ้าน พร้อมซอสซาวครีม มีมันฝรั่งทอดเป็นเครื่องเคียง และยังมีอาหารอีกมากมายให้ลิ้มลอง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร มร. บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหาร ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด, เรื่องการเปิดตัวโครงการ “Charge to Change” อย่างเป็นทางการ เพื่อเชิญชวนให้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ในการใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกับพลังงานน้ำมัน

ทั้งเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น EQ Power และผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทุกยี่ห้อ หันมา “ชาร์จเพื่อเปลี่ยนโลก” โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ซึ่งทางเบนซ์มีนโยบายจะเป็นผู้นำติดจุดชาร์จโดยให้รถทุกค่ายที่เป็นไฮบริดปลั๊กอิน หรือรถไฟฟ้ามากร่วมชาร์จได้ ยังมีการพูดถึงความเป็นห่วงในเรื่องโควิด-19 เพราะเบนซ์เป็นผู้นำด้านความปลอดภัย เราจึงไม่สามารถละเลยในเรื่องนี้ไปได้

ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ทางเบนซ์ถอนตัวจากงาน Motor Show 2020 และยังไม่ได้ร่วมในงาน Expo ปลายปี เพื่อดูทิศทางในเรื่องโควิด-19 อยู่ นอกจากนี้ทางเบนซ์ยังยืนยันว่าการเปิดตัวรถที่ประกาศไว้เมื่อต้นปี ยังคงมีการเปิดตัวรถในรุ่นต่างๆ ตามแผนการณ์ หลังจากใช้เวลาพูดคุยครู่ใหญ่ เราก็แยกย้ายกันกลับแบบ Free Run และแวะเก็บบรรยากาศอยุธยา ซึ่งไม่ลืมแวะซื้อโรตีสายไหม ขนมดังจากเมืองอยุธยา ที่ใครผ่านมาไม่ควรพลาด