รีวิว ทดสอบ Ford Mustang 2.3L EcoBoost 55th Anniversary เวอร์ชั่นพิเศษฉลองครบ 55 ปี ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่เรียบง่าย และดุดันด้วยรายละเอียด
รีวิว ทดสอบ Ford Mustang 2.3L EcoBoost 55th Anniversary เวอร์ชั่นพิเศษ
Ford Mustang 2.3L EcoBoost 55th Anniversary
“เชื่อได้ว่า “รถในฝัน” คือ “Wish List” ของหลายคน ที่เรามั่นใจว่าหนึ่งในคงนั้นต้องมี Muscle Car ที่เอื้อมยาก ยกเว้น Ford Mustang ซึ่ง ฟอร์ด ประเทศไทย จัดมาให้แล้วทั้งรุ่นที่เน้น “โหด” ด้วยเครื่อง 5 ลิตร V8 และเน้น “หล่อ” อย่างพระเอกของเรากับ เครื่อง 2.3L EcoBoost”
สำหรับ Ford Mustang ที่ ฟอร์ด ประเทศไทย ได้นำเข้ามาทำตลาดเอาใจสาย Muscle Car เมืองไทย นั้นมากับความ “ไม่ธรรมดา” ด้วยฐานะของเวอร์ชั่นพิเศษฉลองครบ 55 ปี ที่ช่วยเพิ่มความทรงคุณค่าน่าเป็นเจ้าของมากขึ้นไปอีกระดับ ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่เรียบง่าย และดุดันด้วยรายละเอียด เช่น ชุดกระจังหน้าโทนสีดำ รับกับดีไซน์ของชุดไฟหน้าแบบ LED ที่ช่วยสร้างความสะดุดตาให้กับฝากระโปรงหน้าทรงยาว และเสา A-Pillar ที่ลาดเอียง
ต่อเนื่องไปถึงเส้นโค้งของแนวหลังคาสู่ด้านหลังที่สวยงามของการออกแบบชุดไฟท้าย LED รวมถึงสปอยเลอร์หลังบนฝากระโปรง ซึ่งทั้งหมดครอบทับอยู่บนมิติตัวถังขนาดความยาว 4,879 มิลลิเมตร, ความกว้าง 2,097 มิลลิเมตร, ความสูง 1,382 มิลลิเมตร ที่มีความยาวฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร และความกว้างแทรคล้อคู่หน้า 1,584 มิลลิเมตร พร้อมด้านหลังที่ 1,653 มิลลิเมตร เชื่อมต่อกับพื้นโลกด้วยล้ออัลลอย Performance Pack สีดำขนาด 19 นิ้วรัดด้วยยาง 255/40 ZR19 ในด้านหน้า และขนาด 275/40 ZR19 ด้านหลัง
ภายในห้องโดยสารที่มีการออกแบบให้พรีเมียมบนพื้นฐานของตัวถังสไตล์ Coupe และสร้างเอกลักษณ์ด้วยตราสัญลักษณ์ “Mustang Fifty Five Years” ฉลองครบรอบ 55 ปี พร้อมกับการเติมความเร้าใจด้วยเบาะนั่งจากแบรนด์ Recaro® ดีไซน์กระชับ เพื่อให้สมศักดิ์ศรียนตรกรรมสปอร์ตสมรรถนะสูง ส่วนด้านหลังมากับเบาะนั่งซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ชนิดที่ว่านั่งทางไกลคงไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แต่ถ้าใกล้ๆ และผู้โดยสารขนาดตัวไม่ใหญ่มากก็น่าจะ “พอไหว”
ขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาตรฐานนั้นเรียกว่า ค่อนข้างที่จะรู้จักกันมาบ้าง เช่น ชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ TFT LCD ขนาด 12 นิ้ว, พวงมาลัยทรงสามก้านพร้อมสวิตช์มัลติฟังก์ชัน และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ตามด้วยชุดหน้าจอ Infotainment แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมไฮไลท์อย่างระบบความบันเทิง Ford SYNC 3 รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay, Android Auto, Bluetooth และ Wi-Fi ไปจนถึงระบบนำทาง, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแบบ Dual-zone
ซึ่งบอกตรงๆ ว่าถึงแม้ฟังก์ชันมาตรฐานต่างๆ ที่จัดมาให้นั้นจะค่อนข้างมีความคุ้นเคยก็ตาม แต่เมื่อมาติดตั้งอยู่ในรถ Ford Mustang มันกลับให้ความ “ตื่นตา ตื่นใจ” อย่างบอกไม่ถูก จนท้ายที่สุดแล้วเราล้มเลิกความคิดที่จะสำรวจอะไรก็ตามภายในห้องโดยสาร แต่หันมาสนใจ “สุ้มเสียง” ที่กำลังคำรามอยู่อย่างเร้าใจ
โดยใต้ฝากระโปรงหน้า คือ เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 2.3 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศประสิทธิภาพสูงแบบ Twin Scrolls เสริมด้วยเทคโนโลยีระบบวาล์วแปรผัน Variable Cam Timing และระบบจ่ายเชื้อเพลิง Direct Injection ให้กำลังสูงสุด 290 แรงม้าที่ 5,400 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ที่มากับชุดเฟืองท้ายแบบ Limited Slip และโหมดการขับเคลื่อนที่มีให้เลือก คือ Normal, Sport +, Track, Snow Wet และ Drag Mode ไปจนถึงระบบ Electronic Line Lock ที่เอาไว้มอบความสะใจในสไตล์ “เบิร์นยาง”
ควบคุมด้วยระบบพวงมาลัยไฟฟ้า Electronic Power Assisted (EPAS) และระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบอิสระ Integral Link พร้อมคอยล์ปสริง และเหล็กกันโคลง ปิดท้ายด้วยระบบเบรกด้านหน้าที่มากับคาลิปเปอร์ 4 Pot และด้านหลังกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ Single Pot
ส่วนในเรื่องของ “สมรรถนะ” เราบอกตามตรงว่าไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไร เพราะนี่คือครั้งแรกของเราเช่นกัน ในการประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยของ Ford Mustang ที่แม้จะเป็นรุ่นเล็กพิกัดเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร พ่วง Twin Scrolls Turbocharged ที่มีพละกำลังสุดเพียง 290 แรงม้า ที่อาจจะยังไม่ตอบโจทย์คนเท้าหนักเท่ารุ่นใหญ่เครื่องยนต์ V8 พิกัด 5.0 ลิตรก็ตาม แต่สำหรับเราเพียงเท่านั้นก็ถือว่า “เกินพอ”
เพราะด้วยสิ่งที่อาจจะไม่เหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่ กับ “แนวคิด” ในแบบที่เราชื่นชอบอารมณ์การขับแบบสบายๆ มากกว่าการใช้พลังความ “เกรี้ยวกราด” ด้วยความเร็วสูง เพราะมีโอกาสขับรถงามๆ ซักครั้ง ใครบ้างจะไม่อยาก “โชว์” เพื่อนร่วมท้องถนน ฉะนั้นอย่าแปลกใจเมื่อหลายวันที่ผ่านมาคุณเห็นเจ้าม้าป่าอย่าง Ford Mustang เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ไปตามสภาพการจราจร ซึ่งนั่นอาจจะเป็น “เรา” หรืออาจจะเป็นเจ้าของรถที่คิดแบบเดียวกันกับเราก็ได้
แต่ก็ใช่ว่าเราเองไม่ได้เกิดความรู้สึกอยาก “หวด” ขึ้นมาบ้าง เพราะบางครั้งบางคราวที่รถราบนท้องถนนเริ่มโล่งตา ความหมั่นเขี้ยวก็สามารถกำเริบขึ้นมาได้ โดยเฉพาะเมื่อพบเจอเส้นทางสายรองที่ประกบ 2 ข้างทางด้วยธรรมชาติ พร้อมกับพื้นถนนที่ราบเรียบราวกับสร้างเสร็จใหม่ๆ ใครล่ะจะอดใจไหว … เพราะเราเองก็เป็นเช่นกัน
โดยทันทีที่เริ่มเพิ่มความเร็วจากโหมด Normal พบว่าเจ้านี่เป็นรถที่ขับง่ายๆ เกินคาด ตั้งแต่น้ำหนักของชุดพวงมาลัยไฟฟ้าที่เพิ่มความสนุกได้ดี แต่จะดีขึ้นกว่านี้หาก “คม” ขึ้น เพื่อช่วยสร้างความกระฉับกระเฉงของเจ้ายักษ์ใหญ่ เพราะงั้นใน Track Mode จึงตอบโจทย์เราได้ดีกว่า ด้วยน้ำหนักพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้น ทำให้สัมผัสได้อย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วยมากกว่า
รวมไปถึงความตื่นเต้นเบาๆ ที่เกิดขึ้นจากจังหวะการเข้าโค้ง ที่เนียนก็ทำได้ดี หรือจะเลือกให้มีอาการเบาๆ ไม่ใช่ปัญหา แค่จุ่มคันเร่งลึกๆ เพื่อสั่งการให้ “ตูดส่าย” ขณะหัวรถตั้งตรงตอนออกจากโค้ง สำหรับสร้างความเร้าใจ ซึ่งหากอยากแก้ให้กลับมาอยู่ในเสถียรภาพการควบคุม ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงยกคันเร่ง และแต่งพวงมาลัยเล็กน้อย เท่านี้ทุกอย่างก็จะกลับมาเข้ารูป เข้ารอยในแบบที่ควรจะเป็น
และด้วยพฤติกรรมแบบที่กล่าวมา ทำให้มั่นใจได้ว่า พละกำลัง 2.3 ลิตร เกือบๆ 300 แรงม้า คือ สิ่งที่เพียงพอจริงๆ เพราะจากการวิ่งใช้งานปกติ การเพิ่มความเร็วจากระดับกลาง สู่ระดับสูงก็ทำได้แบบไร้กังวลด้วยการเพิ่มน้ำหนักคันเร่ง ฉะนั้นเรื่องเร่งแซงไม่ต้องพูดถึง เช่นเดียวกับความปลอดภัยที่จัดมาให้อย่างครบเครื่องในการยกระดับความมั่นใจ เช่น
ระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection), ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)
และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ไปจนถึงระบบช่วยโทรออกฉุกเฉิน, ระบบควบคุมการทรงตัว Advancetrac® (Advancetrac® With Electronic Stability Programme) ที่มากับระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (Traction Control) และระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist)
โดยทั้งหมดที่เรากล่าวมา นั้นอยู่ภายใต้ค่าตัวที่เคาะราคาเอาไว้ 3,699,000 บาท แต่ถ้าอยากอัพเกรดสู่ความสุดเต็มพิกัด และ “ราคา” ไม่ใช่ปัญหาล่ะก็ รุ่นท็อปสุดอย่างเครื่องยนต์ 5.0 ลิตร แบบ ค่าตัว 4,899,000 บาท ดูแล้วน่าจะอะไรที่ “ดี” ไม่น้อย
Specification: Ford Mustang 2.3L EcoBoost 55th Anniversary
- Price : 3,699,000 BHT
- Engine : 2.3L / Twin Scrolls Turbocharged / 4 Cylinder / 16 Valve 290 hp @ 5,400 rpm / 441 Nm @ 3,000 rpm
- Transmission : 10 A/T
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight : N/A