Breaking News

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback & Honda City e:HEV เส้นทางกรุงเทพ – เขาใหญ่

รีวิว ทดสอบ สมรรถนะรถที่มีดีคนละขั้วกับ Honda City Hatchback ที่โฉบเฉี่ยว และ Honda City e:HEV ที่ล้ำสมัยเกินคลาสเดียวกัน

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback & Honda City e:HEV

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback & Honda City e:HEV กรุงเทพ – เขาใหญ่

Honda City Hatchback & Honda City e:HEV

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback & Honda City e:HEV

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะการขับขี่ของซิตี้คาร์ 2 รุ่นใหม่ ภายใต้ “เดอะ ซิตี้ ซีรีส์” ได้แก่ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ซิตี้คาร์สปอร์ตแฮทช์แบ็กน้องใหม่ และฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ซิตี้คาร์ Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ พร้อมด้วยระบบฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ถูกนำมาใช้ในรถรุ่นเล็กของทางฮอนด้า ในการทดสอบใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ สู่เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไป – กลับ รวมกว่า 400 กิโลเมตร แลใช้รุ่น RS ทั้งในฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กและฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback & Honda City e:HEV

  • ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ซิตี้คาร์สปอร์ตแฮทช์แบ็กน้องใหม่

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback

ภายนอกได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Energetic Hatchback” ปราดเปรียว ยิ่งขึ้น ในสไตล์แฮทช์แบ็ก มาพร้อมไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED รับกับฝากระโปรงท้าย เสาอากาศแบบครีบฉลาม โดยในรุ่นนี้จะเป็นล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว แต่ในรุ่นทั่วๆ ไปจะเป็นล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว

มีระยะมิติตัวถังรถ ยาว 4,349 มม. กว้าง 1,748 มม. สูง 1,488 มม. ฐานล้อ 2,589 มม. ใต้ท้องรถสูง 135 มม. ถ้าเทียบกับ Honda Jazz จะยาวกว่า 314 มม. กว้างกว่า 53 มม. ฐานล้อกว้างกว่า 59 มม. แต่ CITY Hatchback จะเตี้ยกว่า Jazz 37 มม. ในส่วนน้ำหนัก รุ่นทั่วไปจะมีน้ำหนัก 1,170 กก. ในรุ่น RS น้ำหนัก 1,179 กก.

Honda City Hatchback

รีวิว ทดสอบ Honda City Hatchback

Honda City Hatchback

โดยรุ่น RS จะมีชุดแต่งสไตล์สปอร์ต RS รอบคัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS มาพร้อมกันชนหน้าและกันชนหลังสไตล์สปอร์ต กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว สปอยเลอร์หลังตกแต่งสีดำ พร้อมสัญลักษณ์ RS ภายในห้องโดยสารสะท้อนความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยแถบสีแดง

หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ (Multi-Information Display) พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีแดง และปุ่มระบบปรับอากาศมีไฟสีแดงอีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้คือ อัลตรา ซีท (ULTR) แยกพับ 60:40 ที่ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของฮอนด้า แฮทช์แบ็ก ใหม่ พร้อมด้วยสีพิเศษ แดงอิกไนต์ (Ignite Red) เฉพาะรุ่น RS เท่านั้น

Honda City Hatchback

Honda City Hatchback

ใช้ขุมพลังเดียวกันกับในรุ่นซีดานที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว ที่มอบกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด

พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร และสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 100 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20

Honda City Hatchback

Honda City Hatchback

Honda City Hatchback

ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่

  1. สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS
  2. สีใหม่ สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) 
  3. สีขาวแพลทินัม (มุก) เฉพาะรุ่น RS และ SV
  4. สีดำคริสตัล (มุก)
  5. สีเทาโซนิค (มุก) 
  6. สีขาวทาฟเฟต้า เฉพาะรุ่น S+

ราคา

  • รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
  • รุ่น SV ราคา 675,000 บาท
  • รุ่น S+ ราคา 599,000 บาท

Honda City Hatchback

Honda City Hatchback

การทดสอบฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก

เราได้ลองอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. แบบหยาบๆ ประมาณ 3 รอบเราได้อยู่ประมาณ 11 วินาที โดยในช่วงความเร็วรอบต้นจาก 0 – 2,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์เหมือนมีอาการรอรอบหรือเทอร์โบแลค ก่อนที่รอบจะฟาดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในรุ่นซีดานทำได้เพียง 9 วินาทีเท่านั้น โดยสาเหตุมาจากน้ำหนักของรถที่มากกว่าในรุ่นซีดาน

ในการขับขี่จริงเครื่องยนต์ 1.0 เทอร์โบ สามสูบ ตอบสนองได้ดีจนน่าทึ่ง เพียงคุณกดคันเร่งไล่รอบลงไปพอสมควร การไต่ความเร็วจนทะลุ 180 กิโลเมตรนั่นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย ในทางกลับกันการใช้งานปรกติ ก็ให้ความประหยัดที่น่าทึ่ง ซึ่งเราขับเร็วบ้าง ช้าบ้าง ตามสภาพจราจรบนถนน ก็ยังสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ถึง 17 กิโลเมตรต่อลิตร

ถ้าขับแบบเนียนๆ ใช้รอบคงที่ ที่ความเร็วสม่ำเสมอน่าจะทำอัตราประหยัดขึ้น 20 กิโลเมตรต่อลิตร ได้ไม่ยากนัก ระบบพวงมาลัยยังเป็นอีกเอกลักษณ์ในรถฮอนด้า ซึ่งความแม่นยำและน้ำหนักที่ยอดเยี่ยมในการตอบสนองการขับขี่ ทั้งในความเร็วสูง หรือการเปลี่ยนเลนกระทันหันก็ยังคงให้ความรู้สึกมั่นใจ ในส่วนของช่วงล่างถูกออกแบบมาให้มีความแข็ง แต่ไม่ถึงกับกระด้าง

ในการขับขี่ความเร็วสูงก็ยังถือว่าใช้งานได้อย่างพอเพียง ระบบเบรกในรุ่นนี้จะเป็นดิสก์ในคู่หน้า ดรัมเบรกในคู่หลัง อีกเรื่องที่ดูจะทำให้ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ดูด้อยกว่าคงเป็นเรื่องเสียงที่สามารถเข้ามาในรถได้มากกว่าในอีกสองรุ่น แต่ก็ยังไม่ถึงทำให้รำคาญ

นอกจากนี้ตำแหน่งเบาะนั่งหลังคนตัวสูงกว่า 180 ซม. หัวติดเพดานรถ ซึ่งมาจากส่วนของเบาะที่มีความหนากับหลังคาที่ลาดเอียง แต่ช่วงขามีพื้นที่กว้างขวางนั่งได้อย่างสบายไม่ติดเบาะข้างหน้าให้อึดอัด ส่วนของราคาในรุ่น RS อยู่ที่ 749,000 บาท สำหรับรถขนาดเล็กที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่น และยังมีพื้นที่ใช้สอยในข้างหลังที่กว้างมากและโดดเด่น กับแบรนด์ที่คนไทยให้ความเชื่อมั่น ก็ดูน่าจะสมเหตุสมผลกับเงินที่จะเสียไป

  • ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ซิตี้คาร์ Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์

Honda City e:HEV

Honda City e:HEV

Honda City e:HEV

โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีจากพร้อมด้วยระบบฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ภายนอกไม่ต่างจากรุ่น RS ในตัวซีดานมากนัก จะมีก็แค่เพิ่มโลโก้ e:HEV ที่บริเวณท้ายรถกับโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า พร้อมด้วยล้อขอบ 16 ลายเดียวกันแต่มีการตัดสีดำเพิ่มเข้ามา ในส่วนของไฟหน้ามีระบบปิดไฟสูงอัติโนมัติเข้ามาให้ด้วย

ภายในโดนเด่นด้วยมาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว สีฟ้าที่ทำหน้าที่บอกการทำงานของแถบมอเตอร์ไฟฟ้า พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และในฝั่งขวาจะมีปุ่มควบคุมระบบระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมระยะห่างจากคันข้างหน้าเมื่อระบบทำงาน และระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่คอพวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)

Honda City e:HEV

Honda City e:HEV

รีวิว ทดสอบ Honda City eHEV

และในรุ่นนี้จะมีระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลังมาให้ด้วย มาพร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง ส่วนของเบรกมือในรุ่นนี้จะเป็นระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)พร้อมระบบ Auto Brake Hold อีกด้วย แต่ในรุ่นนี้เบาะหลังจะไม่สามารถพับได้เหมือนกับในรุ่นซีดานเทอร์โบ

ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบบ Full Hybrid ระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) ที่มีมอเตอร์ถึงสองตัว โดยมอเตอร์ตัวแรกทำหน้าที่ในการปั่นไฟไปสู่แบตตอรี่ ส่วนมอเตอร์อีกลูกทำหน้าที่ขับเคลื่อนพละกำลังไปสู่ล้อ

รีวิว ทดสอบ Honda City e:HEV

รีวิว ทดสอบ Honda City eHEV

รีวิว ทดสอบ Honda City e:HEV

ซึ่งจะทำงานสอดคล้องกับเครื่องยนต์ในรอบความเร็วสูง และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ทำให้มีแรงม้าสูงสุดถึง 126 แรงม้า เมื่อรวมการทำงานทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์เข้าด้วยกัน พร้อมแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตร สามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้โดยมีน้ำหนักรวมของตัวรถอยู่ที่ 1,227 กก.

รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร สูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็คระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

Honda City e:HEV

Honda City e:HEV

Honda City e:HEV

เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงได้รับการติดตั้งในรถซิตี้คาร์ของฮอนด้า โดยมีระบบการทำงานดังต่อไปนี้

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

Honda City e:HEV

Honda City e:HEV

Honda City e:HEV

เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ

  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
  • ระบบ Brake Hold อัตโนมัติ (Auto Brake Hold)
  • ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
  • ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และ ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
  • กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย
  • ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) บนพื้นถนนที่ลื่นฃระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA)
  • ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)

ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง

  1. My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
  2. Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และ บันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรด และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ เป็นต้น
  3. WiFi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง * ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  4. Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
  5. Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และ แจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
  6. Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และการสั่งดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน
  7. Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
  8. Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน

มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่

  1. สีใหม่ สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก)
  2. สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก)
  3. สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก)
  4. สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
  5. สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)

การทดสอบ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี

สำหรับการลองขับในฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ถือว่าโดดเด่นมากในเรื่องความประหยัด ซึ่งทางโรงงานเคลมเอาไว้ที่ 27.8 กม./ลิตร จากที่เรามีโอกาสทดสอบกว่า 200 กิโลเมตร ในการขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูงสลับปรกติ ค่าเฉลี่ยนบนหน้าจอยังได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตรแบบสบายๆ ยิ่งถ้าเป็นในเมืองน่าจะประหยัดกว่านี้อีกแน่นอน อัตราเร่งในช่วงต้นทำได้ดี แต่พอช่วงความเร็วกลางๆ ขึ้นไป ในรุ่นเทอร์โบน่าจะโดดเด่นกว่ามาก ซึ่งรุ่นนี้ถูกล็อคความเร็วปลายเอาไว้ที่ 174 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

นอกจากนี้เรายังมีโอการได้ลองอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรแบบหยาบๆ ซึ่งน่าแปลกใจที่ได้เวลาเท่ากันกับในรุ่น ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก คือ 11 วินาทีเช่นกัน ในเรื่องการเก็บเสียงในรุ่นนี้ทำได้ดีและเงียบกว่าในรุ่น ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก พอสมควร ในส่วนของช่วงล่างให้การตอบสนองที่นุ่มนวลกว่าในรุ่น แฮทช์แบ็ก ไม่กระโดกกระเดก

แต่ในความเร็วเกิน 140 กม./ชม. ขึ้นไป ท้ายมีอาการย้วยๆแปลกๆ แต่ไม่มาก ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะน้ำหนักแบตเตอรี่ หรือการเซตค่าโช๊ค ค่าสปริง ซึ่งจากการสอบถามทีมวิศวกรโดยทั้งสามรุ่นมีการเซตช่วงล่างที่แตกต่างกัน สำหรับที่นั่งเบาะหลังสำหรับคนตัวสูง 180 ซม. นั่งได้ไม่ติดเหมือนกับตัวฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก

ส่วนระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ที่มีมาให้ถือว่าใช้งานได้ง่ายไม่ยุ่งยากโดยปุ่มควบคุมอยู่บริเวญบนพวงมาลัยด้านขวา จากการทดสอบระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ เมื่อเราขับรถเลยเส้นถนนพวงมาลัยจะสั่นและดึงกลับเข้ามาให้รถอยู่ในช่องทาง แรงดึงถือว่าสมูทดี และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ก็ตอบสนองกับรถข้างหน้าได้ไว

สามารถเพิ่มลงความเร็วได้จากเครื่อง +- บนพวงมาลัยด้านขวา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีระบบ Blind Spot อย่างในรุ่นพี่ แต่ก็มี Honda lane watch มาแทน รวมไปถึงระบบกล้องถอยหลังมีแค่สามมุม น่าจะมีการปรับเป็น 360 องศาได้แล้ว ด้วยเทคโนโลยีและการผสมระบบไฮบริดชั้นเยี่ยมทำให้ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี มีราคาสูงถึง 839,000 บาท

Honda City Hatchback & Honda City e:HEV

จากการได้มีโอกาสลองขับทั้งสองรุ่น ทำให้เห็นความโดดเด่นที่แตกต่างกันของทั้งในฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กและฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ที่ต่างมีไม้เด็ด ซึ่งถ้าจะเป็นในเรื่องพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางที่ช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี พร้อมด้วยรูปทรงและพละกำลังจากเครื่องเทอร์โบคงตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นที่ชื่นชอบความเร็วได้ไม่น้อย ซึ่งรถในดวงใจคงต้องตกเป็นของ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก

แต่สำหรับฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี นั่นเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสบายนุ่มเงียบ และยังประหยัดเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี แถมเป็นยังช่วยรักษ์โลกได้อีกทางหนึ่ง และยังมีเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่อาจติดที่ราคาสูงไปหน่อยจนไปใกล้กับรุ่นพี่อย่างซีวิคตัวล่าง แต่ถ้าราคาไม่ใช้ปัญหาก็ถือว่าเป็นรถที่ครบเครื่องทีเดียว และในอนาคตอันใกล้นี้ทางฮอนด้าจะมีการพัฒนารถ 2 ใน 3 ให้ใช้เป็นระบบพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งระบบไฮบริด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่จะถูกนำเสนอในอนาคตของรถจากฮอนด้าอย่างแน่นอน

Check Also

ISUZU MU-X 4x2 3.0 RS 2024

รีวิว ลองขับ ISUZU MU-X 4×2 3.0 RS ลุคใหม่ที่สปอร์ตยิ่งกว่าเดิม เสริมความปลอดภัย ที่ยังคงเด่นในสมรรถนะและความประหยัดเฉกเช่นเดิม

รีวิว ลองขับ ISUZU MU-X 4×2 3.0 RS A/T เครื่องยนต์ 3.0 Ddi Blue Power 190 แรงม้า …