รีวิว ทดสอบ LAND ROVER DEFENDER 110 D240 SE ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบให้กำลังสูงสุด 240 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 9.1 วินาที
รีวิว ทดสอบ LAND ROVER DEFENDER 110 D240 SE ราชันแห่งรถออฟโรด
LAND ROVER DEFENDER 110 D240 SE
ราชันแห่งรถออฟโรดหวนคืนบัลลังก์อีกครั้ง! Defender ใหม่ ยังคงปักหมุดอยู่ที่การบุกตะลุยบนเส้นทางทุรกันดาร บวกด้วยความนุ่มนวลอย่างไม่เคยมีมาก่อนและลูกเล่นไฮเทคมากมายที่จะทำให้ทุกการบุกตะลุยเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์
ผมคงไม่ต้องบรรยายที่มาที่ไปของ Defender ให้เสียเวลาหรอก จริงไหมครับ? SUV จากอังกฤษที่ถือเป็นหนึ่งในตำนานแห่งวงการออฟโรดรุ่นนี้ กลับมาอีกครั้งพร้อมกับศักยภาพไม่ธรรมดา เทคโนโลยีไฮเทคที่บรรจุอยู่ใน Defender ส่งให้ตอนนี้มันสามารถไปได้ทุกที่… อาจกล่าวได้ว่า แม้จะไม่มีถนนก็ตาม!
แพลตฟอร์มอลูมิเนียมโมโนค็อก “D7x” คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง มันได้รับการเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษเพื่อรับมือกับการขับขี่บนทางทุรกันดาร Land Rover เคลมว่าแชสซีส์ใหม่นี้ต้านทานการบิดตัวได้ถึง 30,000 นิวตันเมตร/องศา มากกว่าแชสซีส์แบบแลดเดอร์ดั้งเดิมของรุ่นที่แล้วถึง 3 เท่า
ตัวถังถูกย้ายตำแหน่งให้สูงขึ้น 20 มม. และจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ใหม่ จนได้โอเวอร์แฮงก์ หน้า-หลัง ที่สั้นมากๆ นั่นหมายถึง Defender สามารถเข้าหาทางลาดชันถึง 38 องศาได้ โดยไม่สร้างริ้วรอยที่กันชนหน้า ในขณะที่ด้านท้ายทำได้ 40 องศา
เอาล่ะ เมื่อเราได้แชสซีส์สุดแกร่งแล้ว ถัดมาก็คือช่วงล่าง… คันทดสอบของเรามาพร้อมกับแอร์สปริงและแดมเปอร์ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แน่นอนว่าเป้าหมายของพวกมันคือประสิทธิภาพแบบออฟโรด ด้วยช่วงล่างนี้ส่งให้ Defender ยกตัวขึ้น (จากตำแหน่งปกติ) ได้สูงสุด 145 มม. !!! โดย 75 มม. สำหรับการขับขี่โหมดออฟโรดต่างๆ และยกเพิ่มอีก 70 มม. ในโปรแกรม Wade จึงสามารถลุยน้ำได้ลึก 900 มม.
นอกจากนั้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ยังป้องกันน้ำที่มาตรฐาน IP67 รถจึงจมอยู่ในน้ำได้โดยไม่มีปัญหากับระบบไฟฟ้า และเมื่อออกจากโปรแกรมนี้ ระบบจะทำการเลียเบรกในขณะรถขับเคลื่อนเป็นระยะเวลาหนึ่งโดยอัตโนมัติ เพื่อทำให้เบรกแห้งได้เร็วยิ่งขึ้น
นอกจากลุยน้ำแล้ว การขับขี่บนเส้นทางสุดโหดก็เป็นเรื่องง่ายเช่นกัน เพียงเลือกโหมดการขับขี่ต่างๆ จากระบบ Configurable Terrain Response ให้ตรงกับสภาพเส้นทางที่คุณกำลังเผชิญ แล้วปล่อยให้พวกมันจัดการส่วนที่เหลือก็พอ ระบบจะปรับการตอบสนองคันเร่ง, เกียร์, พวงมาลัย, ช่วงล่าง และ Traction Control ให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
นอกจากนั้น ยังสามารถเลือกปรับการทำงานต่างๆ เอง เพื่อให้ตรงกับความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงของคุณได้อีกด้วย
Defender ทำได้ยอดเยี่ยมเมื่อต้องบุกตะลุย แม้มันจะมีขนาดมหึมา ทว่าพวงมาลัยที่เซ็ตให้ตอบสนองไวก็ช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วในการบังคับทิศทางของล้อหน้าได้เป็นอย่างดี คันเร่งควบคุมง่ายในขณะใช้เกียร์อัตราทดต่ำ (4L) และยังสามารถใช้ครูสคอนโทรลที่ความเร็วต่ำเพียง 1.8 กม./ชม. ขึ้นไปได้อีกด้วย… ชาวออฟโรดทราบดีว่าการควบคุมความเร็วให้คงที่เมื่ออยู่ในเกียร์สโลว์บนทางที่เป็นหลุมบ่อ นั้นยากเพียงใด… Defender จะทำให้คุณเอง!
มันยังคงให้ความนุ่มนวลได้อย่างน่าเหลือเชื่อแม้จะอยู่ในโหมดออฟโรดที่ถุงลมถูกอัดอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ (เพื่อยกรถให้สูงขึ้น) ช่วงล่างแบบอิสระทั้งสี่ล้อ ยืดและยุบไปตามหลุมบ่อในขณะที่ตัวถังเอียงเพียงเล็กน้อย เส้นทางแบบนี้พิสูจน์ให้เห็นความแกร่งของแพลตฟอร์ม D7x ได้ชัดแจ้ง การใช้ซับเฟรมทำจากเหล็กกล้าร่วมกับบอลจอยท์และบุ๊ชที่ทนทานเป็นพิเศษส่งให้ล้อรับแรงแนวดิ่งที่กระทำกับตัวรถได้มากสูงสุดถึง 7 ตัน
ในขณะที่แดมเปอร์แบบอแดปทีฟจะตรวจจับความเคลื่อนไหวของรถได้ถี่ถึง 500 ครั้งต่อวินาที เพื่อนำข้อมูลมาปรับการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางอยู่เสมอ ส่งให้ Defender วิ่งบนทางขรุขระได้นุ่มนวลแม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม
ผมรับรองว่าคุณจะประทับใจมันไม่แพ้กันบนถนนปกติ ลืม Defender ที่กระเด้งกระดอนในอดีตไปได้เลย เจ้าแห่งออฟโรดของศตวรรษที่ 21 คือพาหนะสำหรับการเดินทางทุกรูปแบบอย่างแท้จริง มันขับเคลื่อนได้นุ่มนวลราวกับนั่งอยู่บนพรมวิเศษ คันของเราเป็นรุ่น D240 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 240 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 1,400 รอบ/นาที ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 9.1 วินาที ไม่เลวนักสำหรับ SUV หนักกว่า 2 ตัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอบต่ำ ที่น่าประหลาดใจก็คือ มันเป็นรถที่ขับได้ดีมากๆ พวงมาลัยตอบสนองดี ให้น้ำหนักพอเหมาะ ขณะที่ช่วงล่างถุงลมก็ซับแรงสั่นสะเทือนดีเยี่ยม ส่วนอาการโคลงเคลงของรถก็มีน้อยกว่าที่มันควรจะเป็น และคุณจะทึ่งไปกว่านั้นอีกเมื่อได้เห็นเจ้ายักษ์ใหญ่คันนี้ตอนเข้าโค้ง มันให้สัมผัสที่มั่นคงไม่ต่างจาก SUV รุ่นอื่นๆ ในคลาส (แต่จะมีอาการอันเดอร์สเตียร์มากกว่าปกติ เนื่องจากคันนี้ติดตั้งวินช์มาด้วย) เป็นอีกครั้งที่ต้องยกความดีความชอบให้กับช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว
ห้องโดยสารเป็นอีกโซนที่ได้รับการพัฒนาอย่างมาก ภายใต้บรรยากาศที่สะท้อนให้รำลึกถึงอดีตของ Defender รุ่นคลาสสิค แฝงไว้ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย ต้องปรบมือให้กับทีมออกแบบที่สามารถผสมผสานอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกันได้อย่างสอดประสานกลมกลืน จอแบบดิจิตอลเต็มรูปแบบสำหรับผู้ขับ และจอระบบสัมผัสกลางแดชบอร์ดที่มาพร้อมกับระบบ Pivi Pro Infotainment เวอร์ชั่นล่าสุด ใช้งานง่ายและไหลลื่นใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟน
นอกจากนั้น คุณยังได้พื้นที่โดยรอบเหลือเฟือสำหรับทุกที่นั่ง บวกด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ทนทานและสามารถทำความสะอาดได้ง่ายดาย ทว่ายังคงให้ความรู้สึกหรูหราสูงค่าสมกับราคา 6.4 ล้านบาทของมัน ทั้งยังมีรายการอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมให้เลือกอีกมากมาย – ผมหมายถึง มากมายจริงๆ – ให้คุณได้สั่งติดตั้งเพิ่มเติมอีกด้วย
Defender แห่งศตวรรษที่ 21 ยังคงสะท้อนประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของมันสร้างเอาไว้ ได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นสไตล์, ความแข็งแกร่ง หรือแม้กระทั่งความสามารถในแบบออฟโรด ทั้งยังลบจุดด้อยในเรื่องการใช้งานออนโรด (ที่ทำให้ครั้งอดีต มันเป็นรถเฉพาะกลุ่มจริงๆ) ออกไปได้จนหมดสิ้น ปัจจุบัน SUV ระดับตำนานรุ่นนี้ กลายเป็นพาหนะที่เข้าถึง… และเข้าอกเข้าใจ… ได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ต้องใช้ทักษะการขับขี่ขั้นสูง และไม่ต้องนั่งกระเด้งกระดอนอยู่ในรถอีกต่อไป
ปัญหาเดียวก็คือ คุณพร้อมที่จะทำให้ทรัพย์สินมูลค่าร่วม 7 ล้านบาท บุบบี้หรือเป็นริ้วรอยไหม?
SPECIFICATIONS : LAND ROVER DEFENDER 110 D240 SE
- Price From: 6,400,000 Baht
- Engine: 1,999 cc. four-cylinder turbodiesel, 240ps @ 4,000rpm, 400Nm @ 1,400rpm
- Transmission: 8-speed auto, four-wheel drive
- Performance: 9.1 sec 0-100km/h, 187km/h top speed, 199g/km Co2
- Weight: 2,133kg (approx.)