รีวิว ทดสอบ Mercedes-Benz GLB 200 Progressive รถอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง ทั้งจากคุณสมบัติตรงใจกลุ่มลูกค้าในราคา 2.86 ล้านบาท
รีวิว ทดสอบ Mercedes-Benz GLB 200 Progressive รถอเนกประสงค์ SUV 7 ที่นั่ง
Mercedes-Benz GLB 200 Progressive
“Mercedes-Benz GLB ช่วยตอกย้ำให้เราเห็นภาพชัดเจน ถึงความจริงแท้ของรถอเนกประสงค์ SUV ท่ามกลางความชินตาจากภาพรถหลากประเภทหลายรุ่น ที่เรามักคิดเสมอว่าคงจบจากสถาบันออกแบบเดียวกันด้วยงานดีไซน์ เพราะอะไรๆ ก็มักจะเน้นการนำเสนอความสปอร์ตเป็นหลัก เช่นเดียวกับสมรรถนะ”
Mercedes-Benz GLB 200 Progressive มากับมิติตัวถังขนาดความยาว 4,634 มม. ความกว้าง 1,834 มม. ความสูง 1,663 มม. ครอบทับด้วยงานดีไซน์ทรงเหลี่ยม ที่ไม่พยายามกลายร่างเป็น Sport SUV โดยเฉพาะในมุมมองด้านหลังของ Mercedes-Benz GLB หากเทียบกับภาพงานออกแบบของรถอเนกประสงค์ในปัจจุบัน คือ สิ่งที่ทำให้เราไม่ค่อยคุ้นตา จนถึงขั้นมองข้ามไปก็ว่าได้
แต่ถ้าสำหรับคนที่มองว่างานดีไซน์เป็นแค่ “ประเด็นรอง” จากเรื่องของอรรถประโยชน์ใช้สอย เราคิดว่า Mercedes-Benz GLB น่าจะป็นรถอเนกประสงค์ SUV ที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง ทั้งจากคุณสมบัติตรงใจกลุ่มลูกค้าครอบครัวที่มีไลฟ์สไตล์การใช้งานแตกต่าง ไปจนถึงเรื่องสมรรถนะ และท้ายที่สุดกับค่าตัวที่ดีงามเพียง 2.86 ล้านบาท
ส่วนงานดีไซน์ก็มาพร้อมการแฝงด้วยความโดดเด่นของ SUV ภายใต้แนวคิด Sensual Purity ที่มีมุมมองด้านหน้าหล่อหรูตามสไตล์ ซึ่งประกอบด้วย ชุดกระจังหน้าที่ให้ความแข็งแกร่งได้อย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับชุดไฟหน้าแบบ LED High Performance ที่มีความเหลี่ยมสันของเส้นสายเป็นองค์ประกอบ พร้อมการเสริมความโดดเด่นที่เกิดชุดไฟ DRL, ช่องดักอากาศบนชุดกันชนหน้า และแผ่นกันกระแทกด้านล่าง รับกันดีกับทรง Power Domes ของฝากระโปรงหน้า
มุมด้านข้างรู้สึกถึงความแข็งแรงได้อย่างชัดเจน ผ่านเส้นตรงที่ประกอบด้วย แนวหลังคา, ขอบกระจก ไปจนถึงชุดสเกิร์ตสีดำตกแต่งด้วยโครเมียมออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกับบานประตู ลงตัวกับชุดโป่งล้อ และล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/55 R18
ต่อเนื่องไปจนถึงมุมมองด้านหลังที่มากับรูปทรงท้ายตัดตรง ผสมความสปอร์ตด้วยรายละเอียดเล็กๆ เช่น สปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 บนหลังคา, ชุดไฟท้ายแนวนอน และชุดกันชนหลังตกแต่งโครเมียม ประกบด้วยชุดท่อไอเสียทรงเหลี่ยมทั้ง 2 ฝั่ง
และอย่างที่บอกไป หากใครยังคงรู้สึกไม่คุ้นชิน เราแนะนำให้ก้าวเข้าไปสู่ห้องโดยสารภายใน เพราะส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วย “อารยธรรม” งานดีไซน์จากค่ายดาวสามแฉก พร้อมด้วยการเลือกสรรวัสดุที่เพียงแค่สัมผัสก็รู้ได้เลยว่า “ใช่” รวมไปถึงเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานแบบเดียวกับ Mercedes-Benz หลายรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน
เช่น เบาะนั่งคู่หน้าฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำ, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่มาพร้อมกับ Paddle Shift, ชุดหน้าจอมาตรวัด และหน้าจอบนคอนโซลกลางแบบ All-Digital Instrument Display ที่ดีไซน์มาให้เป็นชิ้นเดียวกัน
โดยในส่วนของ Infotainment นั้นมีระบบปฏิบัติการมัลติมีเดีย MBUX รุ่นใหม่ รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ซึ่งสั่งการได้ทั้งจากระบบสัมผัส หรือฟังก์ชัน Touchpad
ขณะที่ความอเนกประสงค์นั้นคุณสามารถสัมผัสได้จากเบาะนั่งที่ออกแบบให้แถว 2 และแถว 3 ปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ แถมเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระจาก 630 ลิตรไปเป็น 1,800 ลิตรได้อีกด้วย
ก่อนที่เราจะร่วมเดินทาง เราขอแนะนำให้รู้จักกับขุมพลังขับเคลื่อนของ Mercedes-Benz GLB 200 Progressive ซึ่งทำตลาดในประเทศไทยเพียงรุ่นเดียว โดยใช้พื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน พิกัดเล็กเพียง 1,332 ซีซี. เสริมแรงด้วย เทอร์โบชาร์จ อินเตอร์คูลเลอร์ และระบบฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection เค้นเรี่ยวแรงสูงสุดออกมาให้ 163 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที
พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบต่ำ 1,620 ไปจนถึง 4,000 รอบต่อนาที โดยมีชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด (7G-DCT) ส่งกำลังสู่พื้นถนน ที่บอกได้เลยว่าประมาทเรื่องความสามารถไม่ได้ ด้วยตัวเลขที่เค้าการันตีจาก 0-100 กม./ชม. ใน 9.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 207 กม./ชม.
มาถึงจุดนี้ สำหรับหลายคนที่ได้เห็นรถจริง คุณอาจจะคิดว่า Mercedes-Benz GLB 200 Progressive นั้นเป็นรถอเนกประสงค์ SUV ที่มีขนาดใหญ่ “ซึ่งนั่นไม่จริง” เพราะสิ่งที่กำลังชักจูงคุณอยู่ คือ เรื่องราวของงานดีไซน์ ซึ่งหากกางแคตตาล็อกดู จะพบว่าขนาดมิติตัวถังกว้าง x ยาว x สูง ของ Mercedes-Benz GLB นั้นมีขนาดใกล้เคียงกับ Mercedes-Benz GLC – Class เลยทีเดียว
ฉะนั้นอย่างที่บอกล่ะครับว่า “ขนาด” เป็นแค่เรื่องของ “ความรู้สึก” รวมไปถึงเรื่องของรูปลักษณ์มาตรฐานผ่านภาพของ AMG ที่ใช้ “ความสปอร์ต” เข้ามามีส่วนช่วยปรับความคิดในเรื่องของ “ขนาด” ต่างกับ Mercedes-Benz GLB ที่มีทำตลาดเดิมๆ
จากโรงงานเพียงสไตล์เดียวคือ Progressive (เพราะ AMG เป็นออปชันต้องจ่ายเพิ่ม) ซึ่งพูดกันตรงๆ ว่ามันดู “ธรรมดา” ด้วยอาจเป็นเหตุผลในเรื่องของการวางตำแหน่งสินค้า และกลุ่มเป้าหมายก็ได้ เลยทำให้รวมๆ แล้วจะบอกว่า “ด้อย” แรงดึงดูดทางสายตาก็คงจะไม่ผิดนัก
ว่าแล้วเราก็ยกเรื่องงานดีไซน์ให้กับคุณผู้อ่านเป็นคนตัดสินใจ และหันมาดูอะไรที่น่าสนใจดีกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของ “สมรรถนะ” เพราะ SUV น้ำหนักหนึ่งตันกลางๆ รุ่นนี้ ใช้เครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็กเพียง 1,332 ซีซี. หรือพูดง่ายๆ ว่าบล็อกเดียวกันกับ A-Class … ซึ่งแน่นอนมันทำให้เกิด “คำถาม” ตามมาว่า “เพียงพอหรือไม่?” ฉะนั้นวันนี้เราจะได้รู้กัน
เริ่มจากส่วนแรกที่เราประทับใจ คือ ทัศนวิสัยในการขับขี่จากพื้นฐานของรถอเนกประสงค์ จนทำให้สัมผัสได้ถึงความโปร่งโล่ง รวมไปถึงความมั่นใจ และปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ในเมือง แล้วก็อย่างที่บอกไปว่า “ขนาด” เป็นแค่เรื่องของ “ความรู้สึก” ฉะนั้นไม่ว่าจะด้านหน้า หรือด้านหลัง การกะระยะของ Mercedes-Benz GLB 200 Progressive จึงไม่ต่างอะไรกับ Mercedes-Benz GLC
ขุมพลังเรา “ประเมิน” ไว้แค่ “ดี” … แต่เจ้านี่ให้มามากกว่านั้น จนกลายเป็น “ประทับใจ” ตั้งแต่การออกตัวที่รวดเร็ว ราวกับเป็นรถเครื่องใหญ่ แถมส่งกำลังได้อย่างราบเรียบ ต่อเนื่องด้วยความดีจากแรงบิด 250 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,620 – 4,000 รอบต่อนาที และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด (7G-DCT) ซึ่งไม่เพียงแค่ให้ความเร้าใจในช่วงออกตัวเท่านั้น
แต่ยังให้ความคล่องตัว และความสนุก เมื่อผสานเข้ากับการตอบสนองของพวงมาลัย ต่อยอดไปยังความมั่นใจด้วยทัศนวิสัย ที่ทำให้การขับขี่ในเมืองด้วย ”รถใหญ่” ไม่ได้สร้าง “ภาระ” ให้ชีวิต แถมยังสร้าง “สีสัน” เพิ่มเติมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนโหมดที่มีให้ 4 รูปแบบ คือ Eco, Comfort, Sport และ Individual
ซึ่งดูจากรูปการแล้ว เราคาดเดาว่ากลุ้มเป้าหมายของ Mercedes-Benz GLB 200 Progressive น่าจะเน้นความสำคัญด้านการใช้งานมากกว่าการขับ ทำให้เราเลือกขอเอาโหมด Sport ไว้ลองทีหลัง และเอาโหมด ECO พับเก็บใส่กระเป๋า เพราะถ้าซื้อรถราคาเกือบ 3 ล้านบาท เรื่องประหยัดก็อาจจะไม่ใช่ประเด็นเช่นกัน
ฉะนั้นโหมด Comfort ดูจะเป็นอะไรที่ลงตัว ทั้งยังมากพอจะบอกเราว่าค่อนข้างเหมาะสมกับผู้ที่รักความสบายๆ ในภาพรวมของการใช้งาน ทั้งจากสมรรถนะของเครื่องยนต์, การควบคุม และช่วงล่างซึ่งออกแนวนุ่มแน่นมากกว่า
เรามีโอกาสหลุดออกนอกเมืองให้ขยับความเร็วขึ้นอีกนิด เพื่อลองสัมผัสอารมณ์ย่านความเร็วสูง ซึ่งยังคงน่าประทับใจ แม้ช่วงล่างจะถูกเซ็ท โดยไม่เน้นการฉายแววความสปอร์ตมากนัก แต่ก็ถือว่าเอาเรื่องอยู่ทั้งด้านการทรงตัว และการยึดเกาะถนนที่มั่นใจ ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้งานปกติ โดยหากอยากได้รสชาติมากกว่านี้โหมด Sport สามารถปรุงเพิ่มให้ได้ หรือไม่ก็กระดิก Paddle Shift หลังพวงมาลัย แต่ก็อย่า “คาดหวัง” เกินไป
เพราะอย่าลืมว่า “สถานะ” ของ Mercedes-Benz GLB 200 Progressive คือ รถอเนกประสงค์แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง แล้วก็ไม่ใช่ AMG Look ฉะนั้นการปรับเซ็ทจึงเป็นอะไรที่มีรสชาติความสปอร์ตให้ได้ชิมเบาๆ เช่นเดียวกับฐานะการเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า
ที่มีขีดจำกัดมากกว่ารถในกลุ่ม Off-Road ซึ่งกลายเป็นกรอบจำกัดตามสไตล์ Crossover ที่ลุยได้เล็กๆ น้อยๆ โดยหันไปเลือกตอบโจทย์การใช้งานในเมือง หรือเดินทางข้ามจังหวัดมากกว่า
Specification : Mercedes-Benz GLB 200 Progressive
- Price : 2,860,000 BHT
- Engine : 1,332 CC / 4 Cylinder / 16 Valve / Turbocharger / Intercooler 163 hp @ 5,500 rpm / 250 Nm @ 1,620-4,000 rpm
- Transmission : 7A/T (7G-DCT) / Front Wheel Drive
- Performance : 0 – 100 Km/h @ 9.1 Sec / Top Speed @ 207 Km/h
- Weight : N/A