TorqueThailand.com
รีวิว ทดสอบ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD อีกขั้นของรถอเนกประสงค์ PPV ที่ผ่านการอัพเกรดเต็มสูบทั้งในเรื่อง “สมรรถนะ” และ “ออปชัน”
รีวิว ทดสอบ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD รถอเนกประสงค์ PPV
Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD
“Toyota Fortuner Legender คือ อีกขั้นของรถอเนกประสงค์ PPV ที่ผ่านการอัพเกรดเต็มสูบทั้งในเรื่อง “สมรรถนะ” และ “ออปชัน” … โดยเฉพาะเวอร์ชั่นท็อปสุดอย่าง 2.8 4WD ชนิดที่ทำให้เราคิดว่า “คุ้มสุด” เท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว”
ย้อนกลับไปเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ทำเซอร์ไพรส์ สวนกระแส Covid-19 ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ ขวัญใจมหาชนพร้อมกัน 2 รุ่น คือ Toyota Hilux Revo และ Toyota Fortuner ใหม่ ซึ่งยนตรกรรมที่ทำเอาเราสนใจมากๆ ก็คือ รุ่นท็อปสุดของ Fortuner ที่ ณ ปัจจุบันไร้เงาเสียงของ TRD ต่อท้าย
และกลายเป็นชื่อ Legender ราวกับมีนัยยะแอบแฝงบางอย่าง ที่อาจหมายถึงการสื่อสารในฐานะยนตรกรรมซึ่งจะก้าวไปเป็น “ตำนาน” ของรถอเนกประสงค์ PPV ในเมืองไทย ก่อนส่งไม้ต่อให้ เจเนอเรชั่นใหม่ซึ่งเหนือกว่า และอาจจะมาพร้อมกับชื่อเสียงเรียงนามใหม่ที่ไม่ใช่ Fortuner อีกต่อไป
แต่จะว่าไปนั่นคือเรื่องของอนาคตที่ยังไม่ทราบการมาถึง เพราะฉะนั้นหยุดความคิดฟุ้งซ่านไว้ก่อนดีกว่า และหันกลับมาส่องรายละเอียดของ Toyota Fortuner Legender แบบชัดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคันที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมากับเกรดบนสุดในตารางรุ่น คือ เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 2.8 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ และค่าตัวที่ 1.839 ล้านบาทไทย
เริ่มจากงานดีไซน์ของเวอร์ชั่นใหม่นี้จะเห็นได้ถึงความสปอร์ตที่ถูกจัดสรรมาอย่างเต็มพิกัด ตั้งแต่มุมมองด้านหน้าที่มากับชุดกันชน และกระจังหน้าใหม่ เสริมด้วยชุดไฟหน้าใหม่ Full LED แบบ Dual Projector พร้อม Daytime Running Lights และชุดไฟเลี้ยวแบบ Sequential รับกับด้านข้างที่ดุดันด้วยหลังคาโทนสีดำดีไซน์พรีเมียม และล้ออัลลอยลวดลายใหม่ขนาด 20 นิ้ว โดยมีด้านหลังที่โดดเด่นไม่เหมือนใครจากชุดกันชนหลังใหม่ และชุดไฟท้ายใหม่แบบ LED Light Guiding
ด้านความเปลี่ยนแปลงภายในห้องโดยสาร ยกให้เรื่องของออปชันที่จัดมาแบบแน่นๆ ตั้งแต่มาตรวัดเรืองแสง พร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว, กระจกมองหลังลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift), ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร, เบาะนั่งคนขับ และเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมเบาะนั่งแถว 2 ที่ปรับ-พับได้ได้อย่างอิสระแบบ One Touch ตลอดจนการยกระดับความหรู จากการหุ้มหนังสีทูโทนในทุกตำแหน่ง
ขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายนั้นเต็มอิ่มกับชุดใหญ่ ด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple Carplay ส่งเสียงผ่านลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง กับจำนวนถึง 11 ลำโพง ตามด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย, ช่องเชื่อมต่อ USB บริเวณคอนโซกลาง 2 ตำแหน่ง ตลอดจนประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า พร้อมชุดเซ็นเซอร์ และระบบป้องกันการหนีบ รวมถึงกล้องมองภาพรอบคัน ทำงานร่วมกับสัญญาณเตือนกะระยะ 6 ตำแหน่ง ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้งานมากขึ้น
ส่วนจุดเด่นที่น่าสัมผัสต้องยกให้กับสมรรถนะ จากเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ให้มีแรงบิดสูงสุดในรอบกว้าง (Flat Torque) โดยเฉพาะกับรุ่นท็อปสุดในพิกัด 2.8 ลิตร ดีเซล เสริมแรงด้วยเทอร์โบแปรผันประสิทธิภาพสูง ที่มากับระบบควบคุมการเปิด-ปิดครีบปรับแรงดันอากาศ จัดสรรกำลังสูงสุดมาให้ใช้ที่ 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดระดับ 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือก 3 โหมด ประกอบด้วย Eco, Normal และ Sport
ตามด้วยการติดตั้งเพลาปรับสมดุล (Balance Shaft) มาให้เพื่อช่วยลดเสียง และแรงสั่นสะเทือนที่ส่งเข้าสู่ห้องโดยสาร เพื่อเพิ่มความสุนทรีในการขับขี่มากขึ้น รวมไปถึงการส่งมอบความมั่นใจด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Sigma 4 System ที่ได้รับการอัพเกรดเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จากทั้ง 3 โหมดที่มีให้เลือก คือ แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (H2), แบบเคลื่อน 4 ล้อความเร็วสูง (H4) และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ (L4)
อีกทั้งยังมี ระบบแสดงสถานะการเลี้ยวของล้อ และระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ช่วยควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็ว ช่วยเติมเต็มความมั่นใจในการขับขี่ได้ในทุกสภาวะ เช่นเดียวกับเสถียรภาพที่เกิดขึ้นจากระบบช่วงล่าง ที่มีด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง กับด้านหลังแบบโฟร์ลิงค์ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
แล้วก็ด้วยเรี่ยวแรงที่ขยับขึ้นไปถึง 204 แรงม้า และแรงบิดรอบต่ำถึง 500 นิวตันเมตร นี่แหละที่กระตุ้นความอยากให้เรารีบฝังตัวเข้าไปในตำแหน่งคนขับ และลองสัมผัสสมรรถนะให้เร็วที่สุด ซึ่งทันทีที่เริ่มออกจากฐานทัพสิ่งที่คุ้นเคยอันดับแรก คือ น้ำหนักพวงมาลัยที่ยังคงหนืด และมีน้ำหนักในย่านความเร็วต่ำ
แต่ด้วยการติดตั้งระบบ VFC (Variable Flow Control) ทำให้เมื่อเราเริ่มใช้ความเร็วที่สูงขึ้น ระบบจะแปรผันไปตามความเร็วจนสร้างความมั่นใจได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงขับขี่ได้สบายขึ้นในฐานะของยนตรกรรมสำหรับการเดินทาง ซึ่งยังไม่ถึงขั้นตอบโจทย์ด้านความฉับไวได้มากพอ
ขณะที่พละกำลังที่จัดมาให้นั้น บอกเลยว่ามีเรี่ยวแรงเหลือเฟือสำหรับการเรียกใช้ แถมด้วยการทำงานของเกียร์ที่รับ-ส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่อง และไหลลื่นจนรับรู้ได้ถึงพละกำลังที่สามารถตอบสนองได้ตามความต้องการ แถมด้วยระบบช่วงล่างที่มีทั้งความนุ่มนวล และความหนักแน่น ไม่ได้โอนเอียงไปทางได้ทางหนึ่ง
ซึ่งทำให้ทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารที่เน้นการใช้งานเป็นหลักมากกว่ามองหาความสปอร์ตน่าจะประทับใจไม่น้อย แม้จะยังมีอาการดีดดิ้นเล็กๆ บนสภาพถนนที่ไม่เรียบเนียน แต่โดยรวมก็ถือว่าสอบผ่าน สำหรับคนที่มองหารถสำหรับครอบครัวได้อย่างแน่นอน
และไม่ใช่แค่เรื่องของสมรรถนะเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงเรื่องของระบบความปลอดภัย ที่นอกจากขั้นพื้นฐานแล้ว ยังมีตัวช่วยสุดล้ำที่จัดมาให้เช่นกัน ภายใต้ชื่อเทคโนโลยี Toyota Safety Sense ที่ประกอบด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert), ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control),
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC), ระบบการควบคุมการทรงตัว (VSC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC), ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย (TSC), ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบเสริมแรงเบรก (BA), ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ทำงานร่วมกับ ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 ตำแหน่ง … เรียกได้ว่า ตอบโจทย์ครบทั้งสมรรถนะ และความปลอดภัยได้อย่างเต็มพิกัดจริงๆ
Specification : Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD
- Price : 1,839,000 BHT
- Engine : Diesel / VN Turbo / Intercooler 2,393 CC / 4 Cylinder / 16 Valve / 204 hp @ 3,400 rpm / 500 Nm @ 1,600-2,800 rpm
- Transmission : 6A/T / Part-Time (All Wheel Drive)
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight : N/A
