รีวิว ลองขับ Ford Everest WILDTRAK เครื่องยนต์ดีเซล Bi-Turbo 2.0 ลิตร 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E –Shifter
รีวิว ลองขับ Ford Everest WILDTRAK รถอเนกประสงค์ PPV ราคา 1,899,000 บาท
Ford Everest WILDTRAK
“ถ้าให้เดา เราคิดว่าน่าจะมีเสียงเรียกร้องของกลุ่มลูกค้า ที่อยากให้แบ่งความเท่ห์จาก Ranger ไปใส่ลงในรถอเนกประสงค์อย่าง Everest บ้าง … เพราะไม่งั้น Everest Wildtrak คงไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกแน่นอน”
สำหรับผู้ที่ติดตาม และเป็นสาวกแบรนด์ Ford น่าจะพอลำดับความได้ว่า Ford Ranger คือ ยนตรกรรมที่แทบจะกลายเป็นเสาหลักในการทำตลาดเมืองไทย ด้วยความหลากหลายของรุ่นที่มีให้เลือกตั้งแต่มาตรฐาน ไล่ขึ้นไปถึง “ของแรง” ระดับ Raptor ที่หลายคนอยากครอบครอง
ขณะที่พี่น้องร่วมค่ายสายรถอเนกประสงค์ PPV อย่าง Everest แม้จะพัฒนามาถึงขั้น Next-Gen ที่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติการขับขี่ และออปชั่นมากมาย แต่ดูเหมือนความสปอร์ต ความดุดัน อันเป็นอัตลักษณ์ของ Ford ก็ยังคงเป็นที่ต้องการ สำหรับลูกค้ากลุ่ม Everest เหมือนเช่นที่มีให้ใน Ranger เช่นกัน
แถมดูเหมือนเสียงเรียกร้องที่ว่า จะค่อนข้างดังมากพอ จนทำให้ในไลน์อัพที่จำหน่ายในบ้านเรามีรุ่นย่อยที่นำเสนอความสปอร์ต ความแกร่ง เกิดขึ้นให้เลือกทั้ง Ranger แล้วก็ Everest เลยทีเดียว ซึ่งที่น่าสนใจก็ต้องยกให้ Ford Everest นี่แหละ ที่หยิบเอาความแกร่งสไตล์ Wildtrak จาก Ranger มา Combination จนออกมาลงตัว สร้างความสะดุดตาไม่น้อย
ไล่มาตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ที่เลือกใช้สีเทา Bolder Grey เสริมในส่วนของรายละเอียด เช่น กระจัง, กรอบกระจัง, กันชน, H บาร์ที่กันชน, ช่องลมบนแก้มหน้า ต่อเนื่องไปจนถึงขอบซุ้มล้อ และฝาครอบกระจกมองข้าง เสริมความแกร่งด้วยราวหลังคาสีเงิน
และบันไดข้างตกแต่งจากวัสดุโลหะ รับกับล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว โทนสี Bolder Grey เช่นกัน ก่อนปิดท้ายด้วยโลโก้ตัวอักษร Wildtrak ทั้งบนฝากระโปรงหน้า, ประตู และฝาท้าย เพื่อบ่งบอกสถานะความสปอร์ต
ภายในห้องโดยสาร เรียกว่าค่อนข้างคุ้นเคยดีกับภาพรวมงานดีไซน์ ส่วนสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ การยกระดับของอารมณ์ความสปอร์ตจากการเน้นโทนสีดำ ตัดกับการเดินด้ายสีส้ม ที่พร้อมการประทับตราสัญลักษณ์ “Wildtrak” ในรายละเอียดต่างๆ
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐาน ใครๆ อาจจะอยากเพิ่มนู่น เติมนี่ อันนี้แล้วแต่ ส่วนเราสรุปตามสไตล์ง่ายๆ ว่าครบเครื่องมากมาย ใช้งานได้แบบเหลือเฟือ ที่ชอบมากๆ ก็ เช่น หน้าจอแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่ที่เป็นดิจิตอล และขนาดใหญ่ถึง 12.4 นิ้ว แล้วใกล้ๆ กันก็ยังมี หน้าจอแสดงผล Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว สำหรับควบคุมเหล่า Infotainment จนถึงระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา
อีกทั้งยังรองรับ WirelessApple CarPlay®, Android AutoTM ไปจนถึงการเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A ได้เลยทีเดียว
Everest Wildtrak มากับขุมพลังที่เร้าใจ บนพื้นฐานเครื่องยนต์ดีเซล Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งมีกำลังสูงถึง 210 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ในรอบต่ำตั้งแต่ 1,750 – 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E – Shifter สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Terrain Mangement System ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ถึง 6 รูปแบบ
ประกอบด้วย Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery, Mud/Ruts และ Sand ภายใต้การรองรับของระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง จับคู่กับด้านหลังแบบคอยล์สปริง พร้อมวัตต์ลิงค์ และเหล็กกันโคลง
ซึ่งหากทั้งหมดที่กล่าวมาอยู่ในร่างของ Ranger แล้วลองเทียบแรงม้าต่อน้ำหนัก รับประกันได้ว่าคงเป็นอะไรที่มันส์น่าดู แต่กลับกัน เมื่อเป็น Everest ทั้งน้ำหนัก และบุคลิกของตัวรถ ความเกรี้ยวกราดของขุมพลัง ได้ถูกจัดสรรปันส่วนอย่างดี เพื่อสร้าง PPV สมรรถนะสูง ชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง ว่าแรงบิดหนักๆ ในรอบต่ำ จะถูกสั่งสอนให้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างนุ่มนวล และหนักแน่นแบบต่อเนื่อง
เหนืออื่นใด คือ การสร้างความกระฉับ กระเฉง ให้รถอเนกประสงค์คันใหญ่ เคลื่อนไหวในเมืองได้อย่างคล่องตัว ซึ่งความดีงามนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ การตอบสนองอันยอดเยี่ยมของพละกำลังเท่านั้น หากแต่ยังมีเรื่องการแปรผันน้ำหนักของระบบพวงมาลัยเข้ามาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอีกด้วย
ถ้าคุณเคยสัมผัส Everest เจเนอเรชั่นที่แล้วมาก่อน คุณอาจจะเถียงเราว่า ในเจเนอเรชั่นนี้ “หนักกว่า” … ใช่ครับ “ไม่เถียง” แต่ลองสัมผัสในภาพรวมดีๆ คุณจะพบว่าในเจเนอเรชั่นนี้ มีการแปรผันที่สมดุล และเหมาะสมกว่า ตั้งแต่ความเร็วต่ำ ไปจนถึงความเร็วสูง ต่างกับเจเนอเรชั่นที่แล้ว
ซึ่ง “เบาแรง” ทั้งในความเร็วต่ำ และความเร็วสูง เพราะงั้นสรุปตามความคิดของเรา ก็คือ ความต่อเนื่อง และลื่นไหล ประกอบกับการแปรผันน้ำหนักตามความเร็วของ Everest เจเนอเรชั่นนี้ ให้สัมผัสที่ “เนียน” กว่า สร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้ดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีความเร็วตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงสูง
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะด้วยสถานะรุ่นท็อปสุด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Terrain Management System พร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ถึง 6 รูปแบบ คือ อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ใครก็ตาม ที่อยากขับ อยากลองลุยสไตล์ออฟโรด ทำได้ง่ายขึ้น อย่างที่หลายคนน่าจะพอทราบ แต่ถ้า “ไม่” เราจะย้ำอีกทีว่า Drive Modes ที่มีมาให้นั้น คือ วิวัฒนาการที่ขยับขึ้นไปอีกขั้น
จากเดิมที่คุณต้องมาเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน จากนั้นก็ค่อยตามไปเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ก็ไม่ต้องอีกต่อไป เพราะ Drive Modes ใน Everest มาเป็น “แพ็กเกจ” ที่แสนสะดวกสบาย เช่น จาก Normal (ปกติ) ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง เพียงบิดไปที่ Slippery (ถนนลื่น) ระบบจะเปลี่ยนให้เป็นการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) โดยอัตโนมัติ
หรือถ้าหากเจออุปสรรคใหญ่ต้องไปถึง Mud/Ruts (โคลน) นอกจาก 4 ล้อ (4H) แล้ว ยังแถมด้วยการเปิดใช้ Diff-Lock หลังไฟฟ้า มาให้ทันที เรียกว่า Ford Everest ทำให้การ “ลุย” เป็นเรื่องง่ายสุดๆ เพราะแค่เปลี่ยน Drive Modes ให้เหมาะกับสถานการณ์ เว้นแต่เจอเส้นทางโหด ที่เราต้องงัดอาวุธหนักมาใช้ ซึ่งก็คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) นั่นเอง
แต่เชื่อเถอะครับ ด้วยราคาค่าตัวระดับนี้ 1,899,000 บาท เราเดาว่าคงมีเจ้าของรถน้อยมาก ที่จะพาตัวเองไปเจออุปสรรคหนักๆ จนถึงขนาดต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) เว้นแต่โชคไม่เข้าข้างจริงๆ เพราะงั้นเราจึงเดาว่า “จริต” ของคนส่วนใหญ่ คงเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวัน และเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนมากกว่า
เพราะสิ่งที่เรารู้สึกต่อ Ford Everest Wildtrak ก็คือ คุณสมบัติของการเป็น “รถเดินทาง” ที่ดี สามารถ Cruiser ทางไกลได้แบบสบายๆ ภายใต้ความมั่นใจ หรือใช้งานในเมือง ก็ให้แรงตอบสนองที่สร้างความคล่องตัวได้ดีแบบชัดเจน หากเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน
แล้วก็เมื่อเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน เราคาดเดาว่า “ชื่อชั้น” อาจทำให้ความลื่นไหลในการตัดสินใจ เกิดการสะดุดบ้าง … ซึ่งนั่นแหละครับ สิ่งที่เรายกให้เป็นหน้าที่คุณคิดต่อ
Specification: Ford Everest Wildtrak
- Price: 1,899,000 BHT
- Engine: Diesel 2,000 CC / Bi-Turbo Intercooler / 4 Cylinder 16 Valve 210 hp @ 3,750 rpm / 500 Nm @ 1,750 – 2,000 rpm
- Transmission: 10A/T / Part Time Four Wheel Drive
- Performance: 0 – 100 Km/h @ N/A, Top Speed @ N/A
- Weight: N/A Kg.