รีวิว ลองขับ ISUZU MU-X 4×2 3.0 RS A/T เครื่องยนต์ 3.0 Ddi Blue Power 190 แรงม้า 450 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ราคา 1,659,000 บาท
รีวิว ลองขับ ISUZU MU-X 4×2 3.0 RS A/T 2024 ดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว
ISUZU MU-X 4×2 3.0 RS A/T 2024
“การมาถึงของ MU-X เจเนอเรชั่นใหม่ ที่พัฒนาไปสู่จุดสูงสุด จนเหนือระดับทุกๆ ด้าน คือ ความ “PEAK” ที่ไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ … แต่ที่ “PEAK” หนักๆ จนเรียกได้ว่า “เซอร์ไพรส์” ก็ต้องยกให้ “รุ่น RS” ที่เน้นความสปอร์ตขั้นสุดในแบบที่แฟน ISUZU ไม่เคยเห็นมาก่อนแน่นอน”
ด้วยภาพจำของยนตรกรรมอเนกประสงค์ชื่อ “ISUZU MU-X” นับตั้งแต่จำความได้ ก็แสดงจุดยืนเรื่องความหรูหราเป็นหลักมาโดยตลอด จนกระทั่งล่าสุดเปิดตัว “MU-X – THE NEXT PEAK” ภายใต้นิยาม “จุดสูงสุดใหม่…กับชีวิตที่เหนือกว่า” ด้วยการอัพเกรดขึ้นใหม่ เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดที่เหนือกว่าในทุกๆ ด้าน ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ที่ไม่ธรรมดา ก็เพราะว่าการมาของ “MU-X – THE NEXT PEAK” ในครั้งนี้ มีเรื่องให้ “PEAK” สุดๆ เกินคาด ด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อย “RS” ซึ่งนำเสนอความ “สปอร์ต” อย่างชัดเจน แบบที่รับประกันได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นทั้งใน “ISUZU MU-7” หรือ “ISUZU MU-X” เจเนอเรชั่นก่อนหน้านี้แน่นอน !!!
สำหรับ “ISUZU MU-X” รุ่นย่อย “RS” ต้องบอกว่ามี “ความต่าง” จากพี่น้องร่วมสายพันธุ์ด้วยงานดีไซน์สปอร์ต ซึ่งพบเจอได้อย่างชัดเจนจากรูปลักษณ์ ด้วยการสวมชุดแต่ง RS Design ประกอบด้วย กระจังหน้าใหม่ (Black Diamond Grille) ทำจากวัสดุ Black Chrome
ประทับตราสัญลักษณ์ RS อันสะดุดตา เสริมความดุดันด้วยชุดกันชนหน้าใหม่แบบ Fighter Jet เสริม Air Curtain ยกระดับประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์
เติมรายละเอียดความเป็น RS ด้วยชุดไฟหน้าแบบ Dynamic Blade และชุดไฟท้ายใหม่ เน้นความสปอร์ตด้วยเส้นสาย Embrace Line ตามด้วยล้ออัลลอยใหม่ RS Design ขนาด 20 นิ้ว ลงตัวกับทั้ง Fender Garnish สีดำและ Side Garnish
ก่อนปิดท้ายด้วยเรื่องของโทนสีใหม่ล่าสุด ที่ใครๆ ได้เห็นก็ต้อง “ว้าว” ก็คือ “สีเทา Eiger Gray Opaque ที่ตัดกับ หลังคาดำ Black Roof และสัญลักษณ์ RS ที่แปลกตา จากการเลือกใช้โทนสีเขียว Lime Green
ขณะที่ภาพรวมของภายในห้องโดยสาร ยังคงคุ้นเคยกันดีในทางกายภาพ แต่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย “สไตล์” เช่น คอนโซลโทนสีดำใหม่ ตกแต่งด้วยโทนสีเงิน Matte Silver Garnish เพื่อส่งมอบความสะดุดตาให้กับเบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตใหม่ ที่มาพร้อมความแปลกตาอีกครั้ง
จากการเดินด้ายสีเขียว Lime Green และสัญลักษณ์ RS สีเขียว Lime Green บนพนักพิงศรีษะ ตัดกับความเร้าใจของบรรยากาศที่มากับโทนสีแดง Red Ambient Light ซะเหลือเกิน
และด้วยสถานะของรุ่นย่อย “RS” ซึ่งถือเป็นรุ่นสูงสุดของเวอร์ชั่นขับเคลื่อน 2 ล้อ เลยทำให้ในเรื่องของเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าจะสนใจ ด้วยเพราะมีการติดตั้งมาให้ชนิดที่เรียกว่า “เต็มระบบ” ซึ่งมีเทคโนโลยีเด่นๆ เช่น กล้อง 360 องศา (360° Surround View Camera), พวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Steering), หน้าจอ Infotainment Display ขนาด 9 นิ้ว แบบสัมผัส
รองรับ Wireless Android Auto & Wireless Apple CarPlay พร้อม Multitasking System ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับหน้าจอ Integrated MID สำหรับการแสดงผลหลากหลายฟังก์ชั่น อาทิ ระบบแสดงองศามุมปีนไต่ลาดเอียง และทิศทางการเลี้ยวของล้อ ตลอดจนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ซึ่งทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยแบบ Active & Passive Safety
ADAS เป็นอีกไฮไลต์เด็ดของรุ่นย่อย “RS” ด้วยเพราะมีการอัพเกรดยกระดับขึ้นสู่เจเนอเรชั่นล่าสุด ซึ่งยังคงใช้การทำงานผสานของ “กล้องหน้าคู่” ร่วมกับ “เรดาร์ 2 จุด” และ “เซ็นเซอร์ 8 จุด” รอบคัน สร้างตัวช่วยล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ อาทิ
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKAS (Lane Keep Assist System), ระบบช่วยควบคุมทิศทางของรถตามรถคันหน้า TJA (Traffic Jam Assist), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ELK (Emergency Lane Keeping), ระบบช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
พร้อมระแบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอยRCTB (Rear Cross Traffic Brake) พร้อมระบบช่วยเตือนขณะถอย RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
ต่อเนื่องด้วย ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่น Stop and GO ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า FCW (Forward Collision Warning) พร้อมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ระบบช่วยแจ้งเตือนจุดอับสายตา BSM (Blind Spot Monitoring),
ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์ Parking Aid System, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา TA-AEB (Turn Assist with Autonomous Emergency Braking), ระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam),
ระบบช่วยตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด PMM (Pedal Misapplication Mitigation), ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ MCB (Multi-Collision Brake) และระบบช่วยตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง MSL (Manual Speed Limiter)
ทางด้านขุมพลังของรุ่นย่อย RS แสดงความชัดเจนเลยว่าต้องการนำเสนอความสปอร์ตเป็นหลัก เพราะจะมีเพียงขนาดความจุเดียว คือ 3.0 ลิตรเท่านั้น ต่างจากรุ่นอื่นที่จะมีขนาด 1.9 ลิตร เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก และทั้งหมดทั้งมวลจะอยู่บนพื้นฐานของเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจอชั่น แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC เสริมแรงด้วยเทอร์โบแปรผัน VGS พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์
สร้างกำลังสูงสุดอยู่ที่ 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,600 – 2,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Rev Tronic สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
รองรับด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone และด้านหลังแบบ 5-Link Suspension เอกสิทธิ์เฉพาะ MU-X ซึ่งนั่นคือความยอดเยี่ยมอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะน่าจะมีเพียง ISUZU เท่านั้น ที่เนรมิตอารมณ์ช่วงล่างแบบนี้ให้เกิดขึ้นได้
เพราะหากได้ลองขับจะสามารถสัมผัสได้ทันทีในความนุ่มนวล นั่งสบาย จากความสามารถในการดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่ดีในความเร็วต่ำ ขณะเดียวกันก็สร้างเสถียรภาพการยึดเกาะถนน เพื่อมอบความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ได้ดีบนความเร็วสูง
อีกทั้งนอกจากบุคลิกของระบบช่วงล่างแล้ว พวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Steering) ยังเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญ ที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบุคลิกอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของน้ำหนักที่แปรผันไปตามความเร็ว เหนืออื่นใด คือ การตอบสนองที่เฉียบคม และฉับไว จนกลายเป็นความสนุกสนาน และมีชีวิตชีวาในการขับขี่ มากกว่าที่ได้สัมผัสมา
เพราะหากใครจำได้ ทั้ง “ISUZU MU-7” หรือ “ISUZU MU-X” ในเจเนอเรชั่นที่ผ่านมา จะมี “บุคลิก” ของความเป็นรถใหญ่ค่อนข้างมาก เลยทำให้ในบางจุด บางตอนของการขับขี่ ขาด “สภาพคล่อง” ไปบ้าง จนกลายเป็นสิ่งที่หลายคนโหยหา
แต่ “สิ่งนั้น” จะไม่เป็นที่โหยหาอีกต่อไป เมื่อการพัฒนาเดินทางมาถึงเจเนอเรชั่นล่าสุด และโดยเฉพาอย่างยิ่งในรุ่นย่อย “RS” ที่ติดอาวุธใหม่ อัพเกรด จนได้มาซึ่งสมรรถนะแบบเกินคาด จนทำให้ ISUZU MU-X รุ่นย่อย “RS” กลายเป็น ยนตรกรรมอเนกประสงค์ PPV ที่มีความสนุกสนานในการขับขี่แบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ในส่วนของขุมพลัง แม้ว่าจะไม่ได้มีการปรับแต่งใดๆ เพิ่มเติม แต่ด้วยพิกัด 3.0 ลิตร ของเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ VGS พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ เรียกกำลังได้ 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,600 – 2,600 รอบต่อนาที เราถือว่าตอบโจทย์ได้อย่างเพียงพอสำหรับการใช้งานในทุกๆ กรณี
จุดที่โดนใจ ก็คือ การขับขี่ในเมือง เพราะนอกจากช่วงล่าง และพวงมาลัย EPS จะสร้างความประทับใจได้ดีแล้ว แรงบิดที่สูงถึง 450 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,600 รอบต่อนาที ยังเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการสร้างความกระฉับกระเฉง คล่องตัว ขณะที่การขับขี่ในย่านความเร็วเดินทางปกติ
ต่อเนื่องไปจนถึงความเร็วสูง การส่งกำลังของเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ในความรู้สึก “ส่วนตัว” เรายัง “โอเค” อยู่ ด้วยเพราะคุ้นเคย แล้วก็ค่อนข้างที่จะสะดวกในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อต้องการเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ จะได้ไม่ต้อง “สับ” โหมด +/- จากฟังก์ชั่น Revtronic เยอะ
ส่วนที่เราบอกว่า “โอเค” ก็เพราะ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด หลายคนน่าจะพอเข้าใจว่า ความราบเรียบ ต่อเนื่องในการเปลี่ยนเกียร์ อาจไม่ได้ดีเลิศอะไร เหมือนพวกเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด หรือ 10 สปีด … แต่เชื่อเถอะ ว่าด้วยการวิจัย และพัฒนา เราคิดว่านี่อาจจะเป็นจุดที่ดีที่สุดแล้ว
สำหรับ “เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด” ของ ISUZU MU-X และจะยิ่ง “โอเค” มากๆ หากมองในภาพรวมของ “สมรรถนะ” ใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนี่คือ ISUZU MU-X 4×2 3.0 RS ราคา 1,659,000 บาท
Specification: ISUZU MU-X 4×2 3.0 RS A/T 2024
- Price : 1,659,000 BHT
- Engine : 2,999 CC / Diesel Turbo Intercooler / 4 Cylinder / 16 Valve 190 hp @ 3,600 / 450 Nm @ 1,600 – 2,600 rpm
- Transmission : 6A/T Rev Tronic / RWD
- Performance : 0 – 100 Km/h @ NA / Top Speed @ NA
- Weight : 2,090 Kg.