รีวิว ลองขับ LEXUS NX 450h+ Overtrail ระบบขับเคลื่อนแบบ PHEV ด้วยเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 4 สูบ และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ชุด ให้กำลังรวมที่ 304 แรงม้า
รีวิว ลองขับ Lexus NX 450h+ OVERTRAIL AWD ราคา 4,180,000 บาท
LEXUS NX 450h+
เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Lexus คือสัมผัสแห่งความสงบที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ตั้งแต่รถซีดานไปจนถึงเอสยูวี กลิ่นอายเหล่านี้ยังคงตลบอบอวนจนอาจกล่าวได้ เป็นความพิเศษซึ่งหาไม่ได้จากแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด เช่นเดียวกับ NX 450h+ ที่ผมกำลังขับอยู่ตอนนี้ แม้เป็นเกรด Overtrail ที่เพิ่มอุปกรณ์สำหรับการใช้งานแบบออฟโรด (ได้บ้าง)
ซึ่งนั่นรวมไปถึงการเปลี่ยนมาใช้ยาง Dunlop Grandtrek ATS ที่มีดอกยางเป็นบั้งสำหรับขับบนทางฝุ่น ทว่าในห้องโดยสารยังคงสงบเงียบราวกับนั่งอยู่ในสวนไผ่อันร่มรื่น และยังไม่บั่นทอนความนุ่มนวลของรถลงไปแม้แต่น้อย
คุณอาจแย้งว่า เอสยูวีระดับหรูยี่ห้ออื่นๆ ก็มอบสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง แต่กับยนตรกรรมจาก Lexus กลับมีสัมผัสบางอย่างที่ทำให้รถของพวกเขาแตกต่างออกไป เพราะไม่เพียงช่วงล่างที่นุ่มนวลและการเก็บเสียงเป็นเยี่ยมเท่านั้น ดีไซน์ภายในห้องโดยสารที่เรียบง่ายสะอาดตา, โปร่งโล่ง และการจัดวางฟังก์ชั่นต่างๆ ไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ ตามสไตล์ของคนญี่ปุ่น ยังมีส่วนอย่างยิ่งที่ส่งให้รถของพวกเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เช่นเดียวกับสมรรถนะของรถที่มีบุคลิกแบบสุขุมมากกว่าดุดันโผงผาง… NX 450h+ ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ PHEV ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ชุด ที่ล้อหน้าและหลัง ให้กำลังรวม 304 แรงม้า และ 227 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ CVT และจากการมีมอเตอร์หลังทำให้มันกลายเป็นแบบรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
การตอบสนองคันเร่งที่เน้นความราบรื่นนุ่มนวลและเสียงโหยหวนของเครื่องยนต์ที่ค้างอยู่ในรอบสูงเมื่อเหยียบมิดพรม อาจฟังดูทุกข์ทรมานเล็กน้อย แต่มันก็เป็นรถที่ขับได้อย่างมีชีวิตชีวาทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับน้ำหนักกว่า 2.5 ตันของมัน
แน่นอนว่าดอกยางกึ่ง AT และช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวล (และสูงขึ้นอีก 5 มม. เมื่อเทียบกับ 450h+ เกรดอื่นๆ) บนถนนที่เปียกชุ่มของฤดูฝนวันนี้ ลดทอนความมั่นใจของเราไปพอสมควรเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว รถออกอาการอันเดอร์สเตียร์ในช่วงกลางโค้งและโอเวอร์สเตียร์เล็กน้อยหลังจากนั้น พวงมาลัยไฟฟ้าให้สัมผัสแบบประดิษฐ์มากไปจนบดบังการสื่อสารระหว่างมือของคุณและล้อคู่หน้า
ขณะที่ตัวถังก็เอียงตัวพอสมควร ทั้งหมดนี้ทำให้ NX เสียบปลั๊กไม่ใช่รถสำหรับเอนเตอร์เทนคุณสักเท่าไหร่… เอสยูวีของ BMW หรือ Audi เหมาะกับคุณมากกว่า ถ้าชอบอะไรแบบนั้น
แต่ถ้าคุณกำลังอยากได้เอสยูวีระดับพรีเมี่ยมสำหรับใช้งานได้ครอบคลุม NX 450h+ คือรถที่ควรอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ของคุณ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของ Lexus ที่กล่าวไปข้างต้น บวกกับระบบ PHEV ที่สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้เกือบ 70 กม. จากการใช้งานจริงของเรา เพียงพอสำหรับการขับในเมือง หรือปลุกเครื่องยนต์ขึ้นมาทำงานเพียงไม่กี่ กม. สุดท้ายที่เหลือก่อนคุณจะถึงบ้าน
ที่สำคัญก็คือ พละกำลังของระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวก็กระฉับกระเฉงและไหว้วานได้ในสภาพการจราจรช่วงชั่วโมงเร่งด่วน… Lexus เคลมว่า เฉพาะการขับเคลื่อนแบบ EV ก็มีสมรรถนะใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทีเดียว
นอกจากนั้น ด้วยช่วงล่างที่นุ่มนวลประกอบกับสมรรถนะที่ “แรงแบบสุภาพ” ยังช่วยให้ NX 450h+ สามารถเดินทางไกลได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังเงียบกริบแม้ใช้ความเร็วมากกว่า 160 กม./ชม. ก็ตาม นี่จึงเป็นพาหนะที่สมบูรณ์แบบสำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์ของคุณเช่นกัน ที่ราคาเริ่มต้น 3.66 ล้านบาท
สำหรับ NX 450h+ เกรด “Grand Luxury” (หรือ 4.18 ล้าน ของเกรด “Overtrail” สไตล์ออฟโรดแบบคันทดสอบของเรา) เอสยูวีจาก Lexus คันนี้ นับเป็นยนตรกรรมไฮบริดที่คุ้มค่าและน่าเป็นเจ้าของอย่างยิ่ง
NX มีเส้นสายที่ฉวัดเฉวียนตามสไตล์ Lexus ทว่าถูกลดทอนความหวือหวาลงจนทำให้มันดูบึกบึนสมความเป็น SUV ยิ่งขึ้น (เมื่อเทียบกับ UX ที่ขี้เล่นเกินไป หรือ RX ที่ดูขาดๆ เกินๆ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคันทดสอบของเราในเกรด ‘Overtrail’ ที่ให้อารมณ์แบบรถสไตล์ Cross Country มาพร้อมกับสีพิเศษเฉพาะเกรดนี้ ‘Moon Desert’ และยาง All-Terrain บวกการตกแต่งชิ้นส่วนกระจุกกระจิกภายนอกด้วยสีดำ มีการเพิ่มประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ด้วยช่องระบายแรงดันอากาศที่กันชนหน้าและหลัง ร่วมกับครีบใต้กันชนหลัง ทั้งหมดเพื่อช่วยให้รถทรงตัวได้เสถียรยิ่งขึ้นเมื่อวิ่งทางตรง ขณะที่ใต้ท้องรถมีการขยายพื้นที่ติดตั้งแผ่นปิดใต้ท้องให้มากยิ่งขึ้น เพื่อลดแรงต้านอากาศซึ่งส่งผลดีต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่พิเศษก็คือแผ่นปิดบริเวณใต้ห้องเครื่องที่ใช้พื้นผิวแบบลูกกอล์ฟ รอยบู๋มเหล่านี้จะทำหน้าที่สร้าง Vortex เล็กๆ จำนวนมาก เกิดเป็นแรงดูดทำให้รถกดแน่นกับถนนยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบกับ NX รุ่นก่อนหน้านี้ รถรุ่นใหม่มีขนาดใหญ่กว่าในทุกมิติ นอกจากนั้น ด้วยแพลตฟอร์มใหม่ของ Lexus ‘GA-K’ (Global Architecture K) ยังช่วยให้รถมีฐานล้อหน้าและหลังกว้างขึ้น 35 และ 55 มม. ตามลำดับ บวกกับได้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลงอีก 20 มม. นอกจากนั้นยังแข็งแกร่งขึ้นถึง 30% ต้องยกความดีความชอบให้กับนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้สามารถผสมผสานวัสดุน้ำหนักเบาเข้าไปเสริมความแกร่งในโครงสร้างตัวถังได้มากขึ้น ร่วมด้วยการเจาะและเชื่อมด้วยเลเซอร์ ตลอดจนการใช้โฟมความแกร่งสูงเป็นครั้งแรก ที่บริเวณโครงสร้างรอบฝาท้าย เพื่อลดการบิดตัวของรถ
ชุดไฟหน้าประกอบไปด้วยโปรเจคเตอร์ 4 ดวงต่อข้าง โดย 3 ดวงนอกเป็นชุดไฟต่ำ และดวงในเป็นไฟสูงพร้อมระบบ Adaptive High-beam System (AHS) ประกอบด้วยชิพ LED จำนวน 11 ดวง ที่ควบคุมความสว่างโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากกล้องหน้า สปอตไลต์เป็นแบบ LED เช่นกัน ถัดมาเล็กน้อยเป็นไฟส่องสว่างขณะเลี้ยว นอกจากนั้นด้านบนของกรอบสปอตไลต์ยังเป็นช่องสำหรับระบายกระแสลมออกไปยังซุ้มล้อเพื่อลดแรงต้านอีกด้วย
ส่วนหน้าของรถตั้งตรงมากขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่รับอากาศไประบายความร้อนให้หม้อน้ำ กระจังหน้าใช้ตะแกรงแพทเทิร์นอักษร U ช่วยเพิ่มมิติให้กับด้านหน้ารถยิ่งขึ้น และพิเศษเฉพาะเกรด Overtrail ตัวกระจังใช้สีพิเศษ ‘Bright Black’ นอกจากนั้น ยังใช้สีดำในส่วนของกระจกมองข้าง, กรอบหน้าต่าง, ราวหลังคา และมือเปิดประตู อีกด้วย
ไฟท้ายทรงอักษร L ดูสอดคล้องกับ DRL ด้านหน้า คาดด้วยแถบไฟตามแนวยาวของตัวรถ ต่ำลงมาเป็นชื่อแบรนด์ “L E X U S” ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของค่ายแทนการใช้โลโก้ L ฝาท้ายแบบเปิดปิดด้วยไฟฟ้าใช้มอเตอร์แบบใหม่ที่ตอบสนองทันทีเมื่อกดสวิตช์ และใช้เวลาในการเปิดและปิดเร็วกว่าเดิมถึงครึ่งต่อครึ่ง คือจาก 8 เหลือเพียง 4 วินาทีเท่านั้น ส่วนห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีความสูงเท่ากับรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ลึกเข้าไปด้านในเพิ่มขึ้น 40 มม.
NX 450h+ เป็นรถประเภท PHEV คันแรกในประวัติศาสตร์ของ Lexus ระบบขับเคลื่อนประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 182 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 227 นิวตันเมตร ที่ 3,200-3,700 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ล้อหน้าขนาด 134 กิโลวัตต์ (180 แรงม้า), 270 นิวตันเมตร และ 40 กิโลวัตต์ (53 แรงม้า), 121 นิวตันเมตร สำหรับล้อหลัง เมื่อทำงานพร้อมกันทั้งหมด NX 450h+ จะมีพลังรวมที่ 304 แรงม้า และ 227 นิวตันเมตร ส่งน้ำหนักกว่า 2.5 ตันของมันจากจุดหยุดนิ่งไปสู่ 100 กม./ชม. ใน 6.3 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 200 กม./ชม.
แบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน มีขนาด 18.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถขับขี่ในโหมด EV ได้เฉลี่ย 69-76 กม. หรืออาจได้ไกลถึง 98 กม. เมื่อขับขี่ในเมือง ทำความเร็วสูงสุดที่ 135 กม./ชม. ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 2.5 ชั่วโมง (ด้วยชาร์จเจอร์ 6.6 กิโลวัตต์) จุดเด่นก็คือ เมื่อใช้แบตเตอรี่จนหมด NX 450h+ จะทำงานต่อในแบบรถยนต์ HEV ต่างจากรถรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดที่ทำงานโดยใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวเป็นค่าเริ่มต้น ด้วยวิธีนี้ทำให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่ารถ PHEV ทั่วไปราว 30% เมื่อขับขี่ขณะไม่มีแบตเตอรี่
ใช้เกียร์อัตโนมัติ E-CVT เพื่อความราบรื่นในการขับขี่ คุณสามารถใช้แพดเดิลหลังพวงมาลัยเพื่อเรียกใช้ระบบ ‘Shiftmatic’ ที่จะล็อคให้เปลี่ยนเกียร์เองแบบ Manual หรือเลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง “S” ระบบจะทำงานแบบ 6 จังหวะ และมี Engine Brake แบบรถเกียร์ธรรมดา
สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 5 รูปแบบ (Normal, Eco, Sport, Sport+ และ Custom) ผ่านปุ่มหมุนบนแดชบอร์ด นอกจากนั้น ยังมีโหมดการขับขี่แบบ Hybrid ให้เลือกเพิ่มเติมอีก 2 รูปแบบ ประกอบด้วย โหมด ‘EV’ ซึ่งถูกตั้งเป็นค่าเริ่มต้นเสมอเมื่อเริ่มขับขี่ โดยระบบจะใช้เฉพาะระบบไฟฟ้าล้วนในการขับเคลื่อนไม่ว่าจะเหยียบคันเร่งมากแค่ไหนก็ตาม จนกว่าแบตเตอรี่จะเหลือต่ำสุดตามค่าที่กำหนดไว้ จึงสลับมาใช้ระบบ HV (ไฮบริด) ต่อไป ส่วนโหมด ‘Auto EV/HV’ จะสลับการทำงานระหว่างสองรูปแบบดังกล่าวอัตโนมัติตามการเหยียบคันเร่ง อาทิ ใช้ระบบ HV เมื่อผู้ขับเหยียบคันเร่งลึกกว่าปกติ เพื่อให้เครื่องยนต์เข้ามาช่วยเพิ่มกำลัง และกลับไปใช้ระบบ EV ทันทีหากถอนคันเร่งหรือกลับมาใช้ความเร็วคงที่ เป็นต้น
เกรด ‘Overtrail’ ติดตั้งล้อขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง All-terrain ขนาด 235/60 เท่ากันทั้งสี่ล้อ ร่วมด้วยช่วงล่างที่สูงกว่าเกรดมาตรฐาน 5 มม. เพื่อเพิ่มระยะห่างใต้ท้องอีกเล็กน้อย และด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนล้อหลัง (ร่วมกับมอเอตร์หน้า) ส่งให้ระบบขับเคลื่อนของ NX 450h+ กลายเป็นแบบ All-wheel drive โดยสามารถแบ่งถ่ายกำลังของล้อคู่หน้าและหลังได้แปรผันตั้งแต่ 60:40 ไปจนถึง 20:80 อัตโนมัติ พร้อมโหมด ‘Trail’ สำหรับการขับขี่บนเส้นทางทุรกันดาร โดยระบบจะสั่งเบรกล้อที่ลอยจากพื้น (ไม่มีแรงยึดเกาะ) เพื่อให้สามารถส่งแรงไปยังล้อฝั่งที่ติดพื้นได้เต็มที่ ร่วมด้วยการปรับการตอบสนองคันเร่งและรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติตามสถานการณ์ขณะนั้น
ระบบบังคับเลี้ยวด้วยไฟฟ้าแบบใหม่ ตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ NX รุ่นที่แล้ว พร้อมระบบแปรผันอัตราทดตามองศาการหักเลี้ยว โดยระบบจะใช้อัตราทดต่ำเมื่อหมุนพวงมาลัยไม่เกิน 20 องศา เพื่อลดความไวของพวงมาลัยขณะเปลี่ยนเลนเมื่อขับ (ทางตรง) ด้วยความเร็ว และปรับเป็นอัตราทดสูงเมื่อหักเลี้ยวมากกว่า 20 องศา เพื่อเพิ่มความไวช่วยให้เข้าโค้งแคบๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว
NX เป็นรถรุ่นแรกของ Lexus ที่นำแนวคิด “Tazuna” – คำที่ใช้เรียกวิธีการบังคับม้าของผู้ขี่ – มาใช้ในการออกแบบห้องโดยสาร มุ่งเน้นให้ผู้ขับได้สัมผัสการควบคุมรถที่ Direct และเป็นธรรมชาติ พวงมาลัยออกแบบโดยคำนึงถึงตำแหน่งการวางมือและนิ้วโป้งให้จับได้ถนัดมือยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการจัดวางตำแหน่งเบาะที่นำข้อมูลซึ่งรวบรวมมาจากการวัดระยะจากไหล่ถึงปลายนิ้วของคนที่มีรูปร่างแตกต่างกันจากทั่วโลก มาเป็นพื้นฐานในการกำหนด จนได้มาซึ่งต่ำแหน่งการขับขี่ที่ลงตัว นอกจากนั้น Lexus ยังใส่ใจเรื่องความเงียบสงบในห้องโดยสาร อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของพวกเขา ด้วยการใช้กระจกหน้าและกระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบลดเสียงรบกวน ร่วมด้วยรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าทึ่ง ทั้งการใช้ตัวล็อคฝากระโปรงหน้าแบบคู่เพื่อเพิ่มความแน่นหนา ลดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน, ฐานของเสา A และ B เคลือบด้วยโฟมชนิดพิเศษ ตลอดจนการใช้ครีบขนาดเล็กที่ช่องรับอากาศด้านหน้าเพื่อลดเสียงของกระแสอากาศ… ในเกรด Overtrail ตกแต่งพิเศษด้วยโทนสี ‘Monolith’ และลายไม้ ‘Geo Layer’ สวยงามและให้อารมณ์กลมกลืนกับตัวถังสีพิเศษของรถ
จอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว สำหรับผู้ขับขี่ เน้นอินเตอร์เฟซที่เรียบง่ายเพื่อให้ผู้ขับอ่านค่าต่างๆ ได้รวดเร็ว สามารถเลือกการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ มาพร้อมกับ HUD ที่ปรับแต่งได้ 3 รูปแบบเช่นกันคือ ‘Minimum Mode’ แสดงเฉพาะความเร็ว, ‘Standard Mode’ แสดงข้อมูลหลักเพิ่มที่ส่วนล่าง และ ‘Full Mode’ เพิ่มการแสดงผลระบบช่วยเหลือขณะขับขี่และสถานะของระบบ Lexus Safety System+ 023, 024 ปุ่มระบบสัมผัส 4 ทิศทาง บนพวงมาลัยเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด ‘Tazuna’ สามารถเลือกได้ว่าจะให้ปุ่มนี้ทำหน้าที่ควบคุมฟังก์ชั่นใด เช่น ระบบปรับอากาศ, ระบบกล้องรอบทิศทาง เป็นต้น จากนั้น ระบบจะแสดงผลบน HUD เมื่อคุณกดใช้งาน หรือหากปิด HUD ระบบจะเปลี่ยนมาแสดงผลที่หน้าจอของผู้ขับ
ปุ่มระบบสัมผัส 4 ทิศทาง บนพวงมาลัยเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด ‘Tazuna’ สามารถเลือกได้ว่าจะให้ปุ่มนี้ทำหน้าที่ควบคุมฟังก์ชั่นใด เช่น ระบบปรับอากาศ, ระบบกล้องรอบทิศทาง เป็นต้น จากนั้น ระบบจะแสดงผลบน HUD เมื่อคุณกดใช้งาน หรือหากปิด HUD ระบบจะเปลี่ยนมาแสดงผลที่หน้าจอของผู้ขับ
จอแสดงผลส่วนกลางขนาด 14 นิ้ว ทำงานบนระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด “Lexus Link Pro” และ CPU ที่ทำงานได้เร็วกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ถึง 3.6 เท่า หน้าจอเป็นแบบ EMV (Electro Multi-vision) ลดแสงสะท้อนและมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นขณะขับขี่ พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey, Lexus” ที่สามารถเข้าใจคำสั่งและคำถามต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด อาทิ หากคุณบอกว่า “หิว” ระบบสามารถแสดงข้อมูลร้านอาหารตามเส้นทางที่คุณกำลังขับอยู่ได้ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังสามารถแยกตำแหน่งของเสียงได้ (จากผู้ขับ หรือผู้นั่งเบาะหน้า) อีกด้วย
รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายสำหรับ iOS แต่สำหรับ Android ยังจำเป็นต้องเสียบสาย มาพร้อมแท่นชาร์จไร้สายที่ชาร์จได้เร็วกว่าเดิมถึง 50% เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว มีช่องเก็บของซ่อนอยู่ใต้ตัวถาด สามารถเลื่อนเปิดขณะกำลังชาร์จโทรศัพท์อยู่ นอกจากนั้น ยังมีช่อง USB อีก 4 ช่อง (ของผู้โดยสารหน้าและหลัง ตำแหน่งละ 2 ช่อง) โดย 3 ช่องในนั้นเป็นแบบ Type C 15 วัตต์ ส่วนอีกช่องเป็น USB A จึงใช้เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลได้ด้วย
ระบบปรับอากาศใช้คอมเพรสเซอร์แบบทำงานด้วยไฟฟ้า และสามารถสั่งให้รถเปิดระบบปรับอากาศไว้ล่วงหน้าได้ผ่านแอปฯ Lexus Link มาพร้อมกับระบบฟอกและกรองอากาศ Nano-e และระบบตรวจจับความชื้นที่สามารถป้องกันการเกิดฝ้าบนกระจกหน้าได้ด้วย ระบบควบคุมอุณหภูมิ ‘S-Flow’ ทำงานอย่างชาญฉลาด สามารถตรวจจับได้ว่ามีผู้นั่งอยู่ที่เบาะใดของรถบ้าง และจะทำการควบคุมอุณหภูมิโดยโฟกัสได้ที่ผู้นั่งตำแหน่งนั้นๆ โดยนำข้อมูลของอุณหภูมิทั้งในและนอกห้องโดยสาร ตลอดจนทิศทางและความแรงของแสงแดด มาประมวลผลเพื่อให้ได้มาซึ่งอุณหภูมิที่แม่นยำตามที่แต่ละคนตั้งเอาไว้ ตัวปุ่มควบคุมถูกแยกออกมาจากจอแสดงผลส่วนกลางเพื่อความสะดวกในการใช้งานโดยไม่ต้องละสายตาจากถนนนานๆ นอกจากนั้น หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าจอบอกอุณหภูมิอยู่ในระนาบเดียวกับจอหลัก จนดูเหมือนแค่เอาปุ่มหมุนมาครอบทับไปบนจอเท่านั้น
NX 450h+ มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย ‘Lexus Safety System+’ เวอร์ชั่นที่ 3 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นทั้งการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่และอัพเกรดประสิทธิภาพของระบบเดิมให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ที่โดดเด่นคือระบบ Adaptive Cruise Control ซึ่งทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับการขับขี่เอง (ด้วยมนุษย์) มากขึ้น ทั้งความสามารถในการเร่งความเร็วอัตโนมัติเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแซง, ลดความเร็วเมื่อผู้ขับเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน เพื่อเตรียมเข้าต่อท้ายรถที่อยู่ในเลนนั้น, สามารถแยกแยะและเข้าใจวัตถุ เช่น กำแพง, ราวกั้นขอบทาง, เสาไฟฟ้า ทำให้ระบบสามารถปรับจากการวิ่งกึ่งกลางเลน เป็นการเยื้องออกเล็กน้อยเพื่อให้รถห่างจากวัตถุยิ่งขึ้น เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีกระจกมองหลัง (ในห้องโดยสาร) หน้าจอดิจิตอลระบบสัมผัส ที่สามารถปรับมุมมองกล้องได้ และกล้องรอบทิศทางที่สามารถแสดงภาพแบบ See-through (ผ่านจอแสดงผลส่วนกลาง) ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพที่แสดงไม่ได้เป็นแบบ Real Time เนื่องจากระบบจะบันทึกภาพจากล้องหน้าและหลังไว้ก่อน จากนั้นจึงนำมาประมวลเป็นภาพ See-through อีกครั้ง
ระบบกลไกเปิดปิดประตูด้วยไฟฟ้า ใช้การกดปุ่มแทนการดึงคันโยกแบบดั้งเดิม Lexus กล่าวว่า ระบบ e-latch นี้ ช่วยให้การเปิดประตูเป็นไปอย่างนุ่มนวล, ง่ายดาย และมีเสียงรบกวนน้อย นอกจากนั้น ยังมีฟังก์ชั่น Safe Exit Assist ซึ่งทำงานร่วมกับ Blind Spot Monitor โดยระบบจะเตือนด้วยเสียงและไฟกระพริบ และไม่เปิดประตูให้หากตรวจพบพาหนะกำลังวิ่งเข้ามาในระยะที่อาจทำให้เกิดอันตราย
เบาะมีรูปทรงโอบกระชับทว่านั่งสบายขณะเดินทางไกล ต้องยกความดีความชอบให้กับการออกแบบที่ใส่ใจในรายละเอียด ตั้งแต่การซ่อนตะเข็บให้อยู่ลึกลงไปด้านในเพื่อลดการกดทับขณะนั่ง ไปจนถึงปีกด้านข้างที่ดีไซน์ให้หลบการเคลื่อนไหวของแขน ทำให้สามารถหมุนพวงมาลัยไปมาได้โดยข้อศอกไม่ติดกับปีกเบาะ… ซันรูฟ (และราวหลังคา) มีติดตั้งให้เฉพาะเกรด Overtrail และ F-Sport เท่านั้น
SPECIFICATIONS: LEXUS NX 450h+ Overtrail AWD
Price: ฿4,180,000
Powertrain: 2487cc 4-cyl petrol plug-in hybrid, 304hp @ 6000rpm, 227Nm @ 2000-37000rpm
Transmission: CVT, electric all-wheel drive
Performance: 6.3sec 0-100km/h, 200 km/h top speed (limit), 79.6km/l (claimed), 29g/km CO2
Weight: 2540kg