Breaking News

รีวิว ลองขับ Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ อสูรร้ายที่อย่าให้รูปร่างมาหลอกคุณ กับรถอเนกประสงค์ที่ทรงพลังมากกว่าในรุ่นที่ผ่านมา

รีวิว ลองขับ Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ กำลังรวมสูงสุด 544 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม.//ชม. 

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

รีวิว ลองขับ Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ เอสยูวีสุดหรู

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+

เวอร์ชั่นรีเฟรชล่าสุด ทั้งตัวถังภายนอก, ห้องโดยสาร เทคโนโลยี และอุปกรณ์อื่นๆ ของ GLE 53 มาพร้อมกับขุมพลังอัพเดตใหม่ ร่วมด้วยเวอร์ชั่นล่าสุด “Hybrid” ที่มาพร้อมระบบ PHEV เป็นครั้งแรก เหมือนคันทดสอบของเรา

นั่นหมายถึงตอนนี้คุณมีโหมด EV สำหรับขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วน ซึ่งวิ่งได้ไกลกว่า 100 กม. และที่ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. ส่งให้ Merc SUV คันใหม่ใช้งานได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ในฐานะรถสมรรถนะสูงจากแผนก AMG แน่นอนว่าประสิทธิภาพย่อมไม่ธรรมดา GLE 53 Hybrid เร่งจากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ได้ใน 4.7 วินาที (เร็วกว่าเวอร์ชั่น Mild Hybrid ใหม่ 0.3 วินาที และ 0.6 วินาที เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้)

ต้องยกความดีความชอบให้กับแรงบิด Instant ของมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง เทอร์โบคู่ ที่อัพเกรดใหม่จนได้กำลังเพิ่มขึ้นอีก 14 แรงม้า และแรงบิดมากกว่าเดิม 40 นิวตันเมตร

เหล่านี้ส่งให้ GLE 53 Hybrid กระฉับกระเฉงแม้ตัวรถมีน้ำหนักรวมกว่า 2.7 ตันก็ตาม มันเร่งได้ตามสั่งและลัดเลาะคล่องแคล่วราวกับ Hot Hatch คันจิ๋วเมื่อขับขี่ในเมือง พวงมาลัยเบามือทว่าตอบสนองฉับไวบวกกับช่วงล่างนุ่มนวลชวนฝัน และการเก็บเสียงที่ยอดเยี่ยม ช่วยเพิ่มความ Comfort ให้กับทุกการเดินทาง

นอกจากนั้น การขับเคลื่อนด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนยังมีพละกำลังเพียงพอสำหรับการจราจรเคลื่อนตัวสลับหยุดนิ่ง และเป็นไปได้สูงที่คุณไม่จำเป็นต้องปลุกเครื่องยนต์ขึ้นมาทำงานเลยตลอดทั้งวัน จากแบตเตอรี่ที่วิ่งได้ไกลถึง 100 กม.

ในด้านการสร้างความบันเทิง SUV คันเขื่องก็ทำได้เร้าใจอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันจะได้พละกำลังรวมถึง 544 แรงม้า และ 750 นิวตันเมตร พร้อมซาวด์แทร็คจากท่อไอเสียช่วยประกอบฉากบู๊ของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!

แผ่นหลังของคุณกดติดพนักพิงทันทีที่ GLE 53 เร่งออกตัว ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องลื่นไหล เช่นเดียวกับชุดเกียร์ 9 จังหวะ TCT ที่เปลี่ยนจากเกียร์สู่เกียร์ได้ฉับไวและแทบไร้รอยต่อ

เมื่ออยู่ในโหมด Sport ขึ้นไป คุณจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านมาจากช่วงล่างซึ่งขึงตึงขึ้นจนสัมผัสได้ชัดเจน แต่แทนที่จะเป็นข้อตำหนิ ความกระด้างนี้กลับเสริมคุณสามารถปลดปล่อยศักยภาพของ GLE 53 ได้หมดเปลือกในทางโค้ง ทั้งมั่นคงและเกาะหนึบราวกับวิ่งในราง ต้องขอบคุณยางขนาดมหึมาและการปรับซอฟแวร์ใหม่เพื่อรุ่น PHEV โดยเฉพาะ

ขณะที่พวงมาลัยก็ให้น้ำหนักเหมาะสม, ตอบสนองฉับไว และแม้จะมีสัมผัสแบบสังเคราะห์อยู่บ้าง ทว่ายังสื่อสารความเป็นไปของล้อหน้ามาสู่มือได้น่าพอใจ ส่วนระบบเบรกก็ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย ช่วยให้คุณเบรกได้ลึกขึ้นก่อนเข้าโค้ง

ที่น่าสนใจไม่แพ้สมรรถนะและการขยายขอบเขตการใช้งานออกไปได้มากขึ้นจากข้อได้เปรียบของระบบไฮบริด ก็คือราคาที่ถูกลงกว่าเดิมถึงราว  1.5 แสนบาท เมื่อเทียบกับ GLE 53 รุ่นที่แล้ว (ปี 2021) ส่งให้รถรุ่นใหม่น่าคบหามากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านความสามารถขับขี่แบบ EV ได้ ด้วยระยะทางที่ (โดยส่วนใหญ่) เพียงพอสำหรับ 1 วันในเมือง เพราะไม่เพียงการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงคุณสามารถขับใช้งานได้ทุกวันโดยไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันบ่อยๆ

ก็อย่างที่ทราบว่านี่คือ AMG ขนาดกว่า 500 แรงม้า คุณคงพอจินตนาการได้ว่ามันต้องการเชื้อเพลิงมากแค่ไหน

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
มีการปรับโฉมเล็กน้อยที่ชุดไฟหน้าและหลัง ชุดแต่งรอบคัน และมีสีพิเศษให้เลือก 2 สีคือ สีแดง ‘MANUFAKTUR hyacinth red metallic’ และสีเทา ‘MANUFAKTUR alpine grey solid’ โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบาได้มาจากการผสมผสานโลหะเสริมแกร่งและอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป แตกต่างกันไปตามจุดรับแรงต่างๆ โดยมีอุโมงค์เกียร์เป็น “กระดูกสันหลัง” ของตัวถังส่วนพื้นรถ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการรับแรงกระแทกเมื่อเกิดการชน องค์ประกอบตัวถังเชื่อมต่อกันด้วยการสปอต โดยหน้าแปลนต่างๆ ออกแบบเอื้อให้การเชื่อมมีแรงตึงผิวน้อยที่สุด เพื่อลดการคลาดเคลื่อนระหว่างประกอบ ตัวถังจึงต้านทานการบิดตัวได้สูงมากแม้มาพร้อมกับช่องเปิดขนาดใหญ่ของหลังคากระจกก็ตาม

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
แม้เป็น SUV ขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ถูกละเลยด้านอากาศพลศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน GLE 53 รุ่นล่าสุดซึ่งสามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้ ที่เห็นได้ชัดคือ กระจังหน้าพร้อมระบบควบคุมการระบายความร้อนแบบ Active ที่มาพร้อมบานเกล็ดติดตั้งไว้ด้านใน ซึ่งปิดสนิทเพื่อลดแรงต้านอากาศ และจะเปิดเมื่ออุณหภูมิทำงานสูงถึงระดับที่กำหนดไว้เท่านั้น เมื่อรวมกับแผ่นปิดใต้ท้องรถเต็มพื้นที่ไปจนถึงดิฟฟิวเซอร์ที่กันชนหลัง ทำให้รถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.29 จึงสามารถวิ่งได้ระยะทางมากขึ้น นอกจากนั้น แต่ละช่อง รับ/ระบาย อากาศยังถูกออกแบบเพื่อใช้งานจริงทั้งหมดอีกด้วย
Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
สำหรับรถจากแผนก AMG ทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป จะมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์ ‘AMG’ บนฝากระโปรงหน้า (รุ่นก่อนหน้านี้ใช้ตรา “ดาวสามแฉก” เหมือนรถรุ่นมาตรฐาน) ภายในของตราสัญลักษณ์ ‘AMG’ แบ่งเป็นสองส่วน โดยครึ่งซ้ายเป็นตราประจำเมืองอัฟฟัลเตอร์บัค ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Mercedes-Benz ส่วนครึ่งขวาประกอบด้วยแคมชาฟต์, วาล์วและสปริงวาล์ว เพื่อสื่อถึงการออกแบบเครื่องยนต์ของ AMG ที่มีคุณภาพทางวิศวกรรมและสมรรถนะสูง

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ชุดไฟหน้าปรับรูปทรงและการจัดวางใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยี Multibeam LED ซึ่งประกอบด้วยชุดไฟหลัก 4 ดวง (แตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน (LED High-performance) ที่มีไฟหลัก 2 ดวง) ชุดไฟท้ายก็ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่เช่นกัน

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ป้ายชื่อรุ่นใช้ฐานสีแดงเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของกลุ่มรถ AMG เช่นกัน ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบคู่ ยังคงเป็นของเดิม ทว่าได้รับการปรับซอฟต์แวร์และการระบายความร้อนใหม่ จนได้พลังเพิ่มอีก 14 แรงม้า นอกจากนั้น ยังตัดระบบคอมเพรสเซอร์ไฟฟ้า (EQ Boost) ออกไป เนื่องจากได้พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาแทนที่ ส่วนเสียงจากปลายท่อไอเสียสามารถปรับระดับความกระหึ่มได้ตามโหมดการขับขี่ที่เลือก… บอกเลยว่าเสียง “หวาน” ไพเราะมาก!
Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ส่วนหน้าของรถมีการใช้แผ่นออร์กาโนซึ่งเป็นวัสดุผสมเสริมแรงด้วยเส้นใยและผ่านการบีบอัดขึ้นรูปเพื่อให้ได้ความแกร่งสูง ทั้งยังมีน้ำหนักเบากว่าโลหะอย่างมาก มันสามารถนำมาหลอมรวมให้เป็นชิ้นเดียวกับโพลีโพรพีลีนได้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเชื่อม (ซึ่งมีโอกาสแยกออกจากกันได้) อีกต่อไป กล่าวโดยรวมก็คือ วัสดุผสมนี้ช่วยให้น้ำหนักเบากว่าปกติถึง 30%, ลดการบิดตัวของโครงสร้าง และเพิ่มความแข็งแกร่งเมื่อเกิดแรงปะทะ (ชนจากด้านหน้า) นอกจากนั้น ยังไม่จำเป็นต้องพ่นสีเนื่องจากพวกมันไม่เป็นสนิม คุณจึงเห็นพื้นผิวสุดพิเศษนี้ได้อย่างชัดเจน

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ระบบไฮบริดประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า และ 440 นิวตันเมตร ติดตั้งคั่นระหว่างเครื่องยนต์กับชุดเกียร์ รับพลังงานมาจากแบตเตอรี่ความจุ 31.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบไฮบริดของ GLE 53 มากนัก แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ถูกจะเป็นชุดเดียวกับใน GLE 350 de ขุมพลังดีเซลไฮบริด และปรับให้มีแรงบิดมากขึ้น

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
รองรับการชาร์จ AC ที่ 11 กิโลวัตต์ และ DC 53 กิโลวัตต์ ที่สามารถประจุจาก 10 สู่ 80% ได้ใน 20 นาที หรือหากชาร์จเต็ม 100% สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ราว 80 กม. หรือเมื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์จะให้กำลังรวมสูงสุดถึง 544 แรงม้า และแรงบิดมหากาฬที่ 750 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.7 วินาที และความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม.//ชม.

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ใช้ชุดเกียร์ 9 จังหวะ ‘AMG SPEEDSHIFT TCT 9G’ ซึ่งปรับปรุงต่อยอดมาจากชุดเกียร์ 9G-Tronic ที่ใช้ใน Mercedes รุ่นมาตรฐานต่างๆ โดยอักษร “TCT” ย่อมาจาก Torque Converter Technology ซึ่งตรงประเด็นที่สุด เนื่องจากแผนก AMG พัฒนาระบบล็อกอัพของทอร์กคอนเวอร์เตอร์ให้ทำงานในทุกเกียร์เดินหน้า จึงลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง นอกจากนั้นตัวทอร์กคอนเวอร์เตอร์ยังมีขนาดเล็กกว่าเดิมและเบายิ่งขึ้น ร่วมด้วยะบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พัฒนาให้มีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้วาล์วที่ควบคุมด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างราบรื่น, ฉับไว และตอบสนองได้ดีขึ้น

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
โหมดการขับขี่ได้รับการปรับพารามิเตอร์ให้เหมาะกับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ นอกจากโหมดมาตรฐาน 5 รูปแบบ คือ “Comfort”, “Sport”, Sport+”, “Smoothness” และ “Individual” แล้ว ยังมีโหมดเพิ่มเติมอีก 2 รูปแบบ คือ “Electric” ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน และสามารถใช้งานในโหมด “Off-Road” ได้ด้วย และโหมด “Battery Hold” ซึ่งจะทำงานด้วยตรรกะเดียวกับโหมด Comfort (ลดแรงบูสต์เทอร์โบและใช้พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 25%) แต่ต่างกันตรงที่ระบบจะรักษาระดับแบตเตอรี่ให้คงที่ เช่น หากมีอยู่ 75% แบตเตอรี่จะยังคงอยู่ในระดับนี้ ด้วยการจำกัดการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าและปรับให้ใช้พลังงานต่ำที่สุด (หากจำเป็นต้องใช้มอเตอร์ร่วมด้วย) จากนั้นจะกู้คืนพลังงานกลับสู่แบตเตอรี่จากการรีเจนฯ ต่อไป

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
เมนู AMG แสดงข้อมูลด้านสมรรถนะต่างๆ ของรถ ด้วยกราฟฟิกที่งดงามตระการตา (แต่ก็อ่านค่ายากในบางหัวข้อ) นอกจากนั้น ยังมีกราฟฟิกนาฬิกาจับเวลาซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่าง Mercedes และ IWC Schaffhausen เช่นเคย กราฟิกนาฬิกานี้ได้รับแรงบันดาลใจทั้งในด้านสีสันและรายละเอียดจากรุ่น IWC Pilot’s Watch Chronograph 41 ซึ่งเป็นนาฬิกาโครโนกราฟที่มีชื่อเสียงของ IWC

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ยกเลิกโหมด “Slippery” และ “Sand” เปลี่ยนมาใช้เป็นโหมด “Off-Road” แทน ซึ่งนอกจากจะปรับการตอบสนองแล้ว ยังปรับช่วงล่างให้สูงขึ้น 30 มม. (จากตำแหน่งมาตรฐาน) อีกด้วย ข้อมูลจำเป็นสำหรับการขับขี่แบบ Off-Road จะแสดงได้ทั้งบนหน้าจอส่วนกลางและจอสำหรับผู้ขับขี่ นอกจากนั้นยังสามารถเรียกดูภาพ “มองผ่านฝากระโปรง” เพื่อดูพื้นผิวทางใต้ห้องเครื่องได้แบบ เรียล-ไทม์ โดยจอแสดงผลส่วนกลางจะแสดงมุมมองเสมือนจริงใต้ส่วนหน้าของรถ ซึ่งรวมถึงล้อหน้าและองศาการหักเลี้ยว โดยใช้ภาพจากกล้องรอบทิศทางมาประกอบแล้วประมวลผลออกมาเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงใต้ส่วนหน้าของรถ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ผู้ขับสามารถสังเกตเห็นสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น หินก้อนใหญ่หรือหลุมบ่อลึกในเส้นทางได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้เห็นเส้นทางข้างหน้าได้เมื่อถึงยอดของเนินชัน

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
Mercedes ติดตั้งล้อฟอร์จขนาด 22 นิ้ว พร้อมยาง 285/40 และ 325/35 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (ออปชั่นในตลาดต่างประเทศ) จานเบรกหน้าขนาด 400 มม. ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์ 6 ลูกสูบ ส่วนด้านหลังมีจานขนาด 370 มม. และคาลิเปอร์ 1 ลูกสูบ ติดตั้งไว้ค่อนข้างต่ำเพื่อลดจุดศูนย์ถ่วง ส่วนช่วงล่างถุงลม ‘AMG RIDE CONTROL’ ร่วมด้วยแดมเปอร์ไฟฟ้า ถูกปรับปรุงใหม่สำหรับรุ่น Hybrid โดยเฉพาะ ที่ด้านหน้าใช้ยางกันกระแทก (เมื่อช่วงล่างยุบตัวจนสุด) แบบใหม่ ในขณะที่ด้านหลังใช้แดมเปอร์ใหม่หมด ร่วมด้วยกันโคลงทั้งหน้าและหลังที่ปรับค่าใหม่เช่นกัน ส่วนซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานก็ได้รับการโปรแกรมใหม่ทั้งในส่วนของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ และระบบบังคับเลี้ยวด้วยไฟฟ้า

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ฟังก์ชั่นต่างๆ ของระบบช่วยเหลือขณะขับขี่ อาทิ Active Distance Assist DISTRONIC, Active Steering Assist และ Traffic Sign Assist ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ทำงานได้เป็นธรรมชาติและประมวลผลรวดเร็วยิ่งขึ้น ร่วมด้วยลิสต์ของระบบความปลอดภัยอีกยาวเป็นหางว่าว

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
ห้องโดยสารมาพร้อมการตกแต่งพิเศษเฉพาะเกรด AMG นั่นรวมไปถึงชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์เงาวับ, หลังคากระจก Panoramic, เบาะทรงสปอร์ตหุ้มด้วยหนังแท้สลับหนังกลับ, เข็มขัดนิรภัยและตะเข็บด้ายสีแดง และพวงมาลัยเจเนอเรชั่นล่าสุด ซึ่งมาพร้อมกับชุดควบคุมระบบสัมผัสที่ก้านพวงมาลัยและปุ่มหมุนทรงกลมพร้อมหน้าจอดิจิทัลกดได้ ที่ด้านล่างสำหรับเลือกโหมดการขับขี่ (ฝั่งขวา) และ Shortcut สั่งการฟังก์ชั่นต่างๆ เกี่ยวกับการขับขี่ (ฝั่งซ้าย) อาทิ การเปลี่ยนเกียร์แบบ Manual, ปรับช่วงล่าง, เสียงท่อไอเสีย, เข้าเมนู AMG เป็นต้น

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
อินเตอร์เฟสทั้งหมดออกแบบขึ้นใหม่เฉพาะ AMG เท่านั้น พร้อมเพิ่มเมนูเกี่ยวกับระบบ Hybrid (ซึ่งออกแบบขึ้นสำหรับเกรด AMG โดยเฉพาะเช่นกัน) อาทิ ข้อมูลการชาร์จ, ระยะทางที่วิ่งได้, อุณหภูมิของแบตเตอรี่ HV เป็นต้น เหล่านี้รวมถึงฟังก์ชั่นอื่นๆ รันบนระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชั่นที่ 2 เวอร์ชั่นล่าสุด ร่วมด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey Mercedes” ที่อัพเดตให้สามารถสั่งปรับสีของไฟบรรยากาศและเปิดปิดม่านบังแดดได้ด้วยเสียง มันจดจำที่มาของเสียง (จากผู้ขับ หรือผู้นั่งตำแหน่งอื่นๆ) ได้ และบางฟังก์ชั่น เช่น โทรออกหรือรับสาย สามารถใช้คำสั่งเสียงได้ทันทีโดยไม่ต้องเรียก “Hey Mercedes”

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ 2025
จอแสดงผลของผู้ขับขี่มีขนาด 12.3 นิ้ว เท่ากับจอแสดงผลส่วนกลาง มีรูปแบบการแสดงผลให้เลือกหลากหลาย และเมื่อเลือกแล้ว คุณยังสามารถเลือกปรับการแสดงผลข้อมูลที่ต้องการดูได้อย่างละเอียดอีกด้วย และแน่นอนว่ากราฟฟิกทั้งหมดมีเฉพาะในรถกลุ่ม AMG เท่านั้นเช่นกัน

SPECIFICATIONS: MERCEDES-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+

  • Price: ฿5,850,000
  • Engine: 2999cc inline-6 twin-turbo, 449hp @ 5800-6100rpm, 560Nm @ 2200-5000rpm, with single e-motor 134hp, 440Nm, total output 544hp, 750Nm
  • Transmission: 9-speed TCT auto, all-wheel drive
  • Performance: 4.7sec 0-100km/h, 250km/h top speed (limit)
  • Weight: 2,725kg

Check Also

ORA Good Cat GT CKD MY2025

รีวิว ลองขับ ORA Good Cat GT แมวไฟฟ้าพลังสูงที่สปอร์ตขึ้น ดุดัน มากกว่าเดิม