รีวิว ลองขับ MG VS HEV ไฮบริดรุ่นแรกจากเอ็มจี ที่ขับสนุกขึ้น ลูกเล่นแพรวพราว คุ้มราคา

รีวิว ลองขับ MG VS HEV ยนตรกรรมไฮบริดแบบจัดเต็มเรื่องสมรรถนะแบบขั้นสุด ตอบสนองทุกการขับขี่ ด้วยขุมพลังไฮบริดที่ให้กำลังสูงถึง 177 แรงม้า

รีวิว ลองขับ MG VS HEV สปอร์ตไฮบริดรุ่นแรกของเอ็มจี รุ่น X ราคา 919,000 บาท

MG VS HEV

“การมาของ MG VS HEV ไม่ได้เป็นแค่นำการเสนอของใหม่ๆ ต่อผู้บริโภคชาวไทยเท่านั้น หากแต่ยังแฝงด้วยแนวคิดที่ว่า รถ Hybrid ก็มอบอรรถรสการขับที่สนุกเร้าใจ ควบคู่ไปกับการประหยัด และความคุ้มค่าได้ด้วยเช่นกัน”

ว่ากันตรงๆ แม้ MG จะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เข้ามาเดินเกมส์ในตลาดเมืองไทยได้ไม่นาน แต่เราก็ต้องขอชื่นชมในความพยายาม เปลี่ยนทิศทางกระแสนิยม ตลอดจนแนวคิดผู้บริโภคชาวไทย จากการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมพลังงานทางเลือกอยู่เสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มของยนตรกรรม Hybrid

ซึ่งล่าสุดที่เพิ่งมาเลยก็คือ MG VS HEV แสดงตัวตนด้วยฐานะ “สปอร์ตไฮบริด” รุ่นแรกของแบรนด์ ภายใต้แนวคิด Brit Dynamic และ “ABSOLUTE” นำเสนอตัวตนขั้นสุด ตั้งแต่งานออกแบบที่ฉีกกรอบเดิมๆ เช่น กระจังหน้ารูปแบบใหม่ (Electrified Matrix Grille Design) ด้วยการผสานความล้ำสมัย และดีไซน์ใหม่เข้าไว้ด้วยกัน

รวมถึงการตกแต่งจากโทนสีฟ้า ทั้งในส่วนของกระจังหน้า และกันชนหน้า ประกบด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และไฟ Daytime Running Light ตามมาด้วยชุดไฟท้ายแบบ LED และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว พร้อม Aero Wheel Cover เพื่อช่วยคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ให้ดีขึ้น

ภายในห้องโดยสารยังคงมีมากับอารมณ์ของความสปอร์ต และการใช้โทนสีฟ้าในรายละเอียดต่างๆ เพื่อแสดงจุดยืน ซึ่งลงตัวกับภาพรวมที่มีให้เลือก 2 รูปแบบ ทั้งสีทูโทน ดำ-ขาว และสีดำ ขณะที่เรื่องของ “ออปชั่น” บอกเลยว่าน่าจะถูกใจผู้บริโภคชาวไทยไม่น้อย

ตั้งแต่ หน้าจอแบบ Dual Widescreen Cockpit ความคมชัดระดับ HD ที่ฝั่งคนขับ คือ หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบ Full Virtual Dashboard ขนาด 12.3 นิ้ว ยาวต่อเนื่องมาที่อีกฝั่ง ซึ่งเป็นหน้าจอ Touch Screen ขนาด 12.3 นิ้ว ควบคุมการทำงานผ่าน Illuminated Touch Panel วางอยู่บนคอนโซลที่มีการดีไซน์แบบ Double Layer เพื่อเน้นอรรถประโยชน์สูงสุดในการใช้งาน

นอกจากนี้ก็มีพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์, คันเกียร์ตกแต่งด้วยลวดลาย Laser Pattern ที่สะดุดตา, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง, หลังคา Panoramic Sunroof,

ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบ Android, กุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start ไปจนถึงระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 … เอาเป็นว่าให้มาแบบครบๆ และครอบคลุมทุกการใช้งานได้เลยจริงๆ

มากไปกว่านั้นเลยก็คือ ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Digital Key ที่สามารถรับ – ส่งกุญแจดิจิตอลผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งอยู่ในหมวดหมู่ของฟังก์ชั่น Smart Command ขณะที่ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะนั้นเป็นหน้าที่ของหมวดหมู่ Smart Connect ปิดท้ายด้วยหน้าที่การสร้างความอุ่นใจซึ่งต้องยกให้กับหมวดหมู่ Smart Check

สมรรถนะของ MG VS HEV มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ผสานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กำลังจาก แบตเตอรี่ Lithium-Ion แรงดันสูงขนาด 2.13 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบ ประกอบด้วย Eco, Comfort และ Sport เช่นเดียวกับระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ให้เลือกปรับการชาร์จไฟฟ้าได้ 3 ระดับ

ส่วนความเร้าใจด้านอัตราเร่งเค้ามีการเคลมตัวเลขจาก 0 – 100 กม./ชม. เอาไว้ได้เร้าใจทีเดียว คือ น้อยกว่า 9 วินาที ส่วนระบบช่วงล่างยังคงมากับสไตล์ Euro Tuning Suspension ด้วยพื้นฐานด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอชั่นบีม

ในส่วนของการทดลองขับ ความประทับใจส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก จากการตอบสนองในช่วงความเร็วต่ำไปจนถึงความเร็วกลางๆ ทำให้ค่อนข้างมีความคล่องตัวสูง รับกับการปรับเซ็ทพวงมาลัยที่ปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรับน้ำหนักเบาสุด แถมเมื่อรวมกับขนาดตัวรถที่ไม่ใหญ่โตมากเกินไป และทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี ตลอดจนระบบช่วงล่าง ที่ดูเหมือนจะมีการปรับเซ็ทให้มีความเป็นมิตรมากขึ้น เลยทำให้รู้สึกได้ว่ามีความสนุก และสร้างความเพลิดเพลินมากกับการขับขี่ในเมือง

ด้านการขับขี่นอกเมืองถือว่ามีความเป็นกลางค่อนข้างสูง ใช้งานง่าย ให้ความมั่นใจได้ดี เหมาะสมกับฐานะของการเป็นรถครอบครัว โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้เป็นคนขับรถเร็วมากนัก หรือต้องการเสพความสปอร์ตตลอดเวลา ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเกินคาดเลยทีเดียว

แต่ถ้าหากต้องการความเร้าใจบ้างเล็กๆ น้อยๆ MG VS HEV ก็สามารถจัดให้ได้เช่นกัน ทั้งจากโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ที่มีโหมด Sport ให้เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน รวมไปถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่เลือกปรับน้ำหนักได้ โดยผลที่ออกมาก็คือ ความกระฉับกระเฉง ทั้งจากการตอบสนองของสมรรถนะ และการควบคุมที่เฉียบคม

ซึ่งตัวน้ำหนักพวงมาลัยที่ปรับน้ำหนักเอาไว้หนักสุด แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ให้น้ำหนักตึงมือมากนักราวกับรถสปอร์ตซะทีเดียว หากแต่เป็นการหน่วงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ฉะนั้นก็ถือว่ายังให้ความสบายในการควบคุมได้ในระดับที่ดีเลยทีเดียว

เหนือกว่านั้นคือระบบช่วงล่าง ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอชั่นบีม ที่ปรับแต่งในสไตล์ Euro Tuning แม้ในความเร็วต่ำจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลมากขึ้นจากเพื่อนๆ ในสังกัด แต่กับความเร็วสูงคุณจะยังรู้สึกได้ถึงอารมณ์การตอบสนองแบบสปอร์ต ทั้งยังสร้างความมั่นใจได้ดีในการขับขี่ด้วยความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูง

และหากพูดถึงความมั่นใจในการขับขี่แล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ระบบความปลอดภัย อันโดดเด่นที่ไม่ใช่มีเพียง MG VS HEV เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีกหลายหลายรุ่นภายใต้แบรนด์ MG เช่นกัน ด้วยมาตรฐานระดับยุโรป Synchronized Protection System ที่ประกอบด้วย ระบบป้องกันการไหลของรถ AVH (Auto Vehicle Hold), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉินABS (Anti-lock Brake System)

พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution), ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist), ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System),

ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), ระบบควบคุมความเร็วรถขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control System), ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System), ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal), ระบบจำกัดความเร็ว ASL (Active Speed Limit)

หรือแม้กระทั่งระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake), กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ High Definition พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ, ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX และระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer มาให้อีกด้วย

สรุปสุดท้ายกับ MG VS HEV โดยรวมแล้วสามารถใช้คำว่า “คุ้มค่า” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เมื่อเทียบกับค่าตัวที่ 919,000 บาท เพื่อแลกกับรถใช้งานซักคัน ที่อัดแน่นไปด้วยออปชั่น และระบบความปลอดภัย ให้ทุกคนในครอบครัวอุ่นใจ และปลอดภัย ส่วนสมรรถนะการขับขี่ต้องบอกว่ามีความเป็นกลางสูง

สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดีให้กับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะใช้งานปกติประจำวันทั่วไป หรือพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ ขณะที่เรื่องความสปอร์ตแนะนำอย่าไปคาดหวังมากนักว่าจะได้สัมผัสแบบเต็มไม่เต็มมือ แต่เอาเป็นว่ามีให้ได้สนุกบ้าง แค่นั้นก็พอแล้วกับ “ค่าตัวไม่ถึงล้าน”

Specification: MG VS HEV

• Price: 919,000 BHT
• Engine: 1,498 CC / 4 Cylinder / 16 Valve / 109 hp @ 6,000 rpm / 142 Nm @ 4,500 rpm 
• Electronic Motor: 95 hp / 200 Nm
• Transmission: E-CVT / Front Wheel Drive
• Performance: 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ 250 N/A
• Weight: 1,450 Kg.