รีวิว ลองขับ MG4 Electric X Power มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งกำลังด้วย DUAL MOTOR ให้กำลัง 435 แรงม้า ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง วิ่งไกลถึง 540 กม.
รีวิว ลองขับ MG4 Electric X Power รถไฟฟ้าตัวแรง ราคา 1,119,900 บาท
MG4 Electric X Power
“435 แรงม้า พร้อมแรงบิด 600 นิวตันเมตร และอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที … เราไม่ได้กำลังพูดถึง Sport Car หรือ Super Car นะครับ … แต่เป็นรถไฟฟ้า 100% MG4 Electric X Power ที่มีค่าตัวไม่เกิน 1.2 ล้านบาท
เรียกได้ว่าเกินคาดหมายทีเดียว กับการทำตลาดของ MG4 Electric ที่สร้างกระแสแรง จนทำให้ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ เอ็มจี ในประเทศไทย ตัดสินใจนำของแรงใหม่ล่าสุด ตามเข้ามาทำตลาดอีกระลอก … ใช่ครับ เรากำลังพูดถึง MG4 Electric X Power
มองด้วยตาเปล่า MG4 Electric และ MG4 Electric X Power แทบจะไม่มีอะไรที่ต่างกัน ตั้งแต่มิติตัวถังความยาว 4,287 มม. ความกว้าง 1,836 มม. และความสูง 1,516 มม. ความยาวฐานล้อ 2,705 มม. และ Ground Clearance 117 มม. ส่วนจุดที่แตกต่าง คือ MG4 Electric X Power จะมากับล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/45 R18 และความโดดเด่นจากชุดคาลิปเปอร์เบรก X Power โทนสีส้ม
ออปชั่นภายนอกยังคงมีมาให้เหมือนรุ่นมาตรฐาน เช่น ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบควบคุมการ เปิด – ปิด อัตโนมัติ, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights), ไฟท้ายแบบ LED ที่เสริมหล่อด้วยไฟ Position, ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED, กระจกมองข้างพับ และปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว, สปอยเลอร์หลัง แบบ Twin Aero Wing และใบปัดน้ำฝนกระจกหลัง
และด้วยความสปอร์ตที่มากกว่า ทำให้ภายในห้องโดยสารได้รับการอัพเกรดสไตล์ขึ้นใหม่ให้เร้าใจมากขึ้น โดยเน้นโทนสีดำเป็นหลัก เสริมด้วยการตกแต่งจากวัสดุหนัง Alcantara และวัสดุ Soft Touch ตามด้วยความหนาแน่นของ “ออปชั่น” อำนวยความสะดวก เช่น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง ปรับได้ 4 ทิศทาง
พร้อมควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง, เบาะนั่งด้านหลัง พนักพิงพับได้ 60:40, หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display), หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Andriod ตลอดจนระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) ตามด้วยระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ, ระบบ Intelligent Smart Access
ขาดไม่ได้เลยคือ ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายขึ้น จาก 3 หมวดหมู่หลักๆ เช่น Smart Check (ระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ) ที่ประกอบด้วย ระบบตรวจสอบแบตเตอรี่ Battery Doctor, ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์, ระบบสั่งการ และ
ระบบค้นหารถ Find My Car, ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์, ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์, ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ, ระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ
หมวดต่อมา Smart Command (ระบบสั่งการอัจฉริยะ) ประกอบด้วย กุญแจดิจิตอล, ระบบสั่งการผ่านเสียงภาษาไทย, ระบบควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน, ระบบวางแผนการเดินทาง Travel Plan และตั้งค่าการเดินทางแบบ Team Travel,
ระบบโทรออก – รับสายกรณีฉุกเฉิน, ระบบเลขาส่วนตัว MG Call Centre, ระบบโทรอัตโนมัติกรณีฉุกเฉิน Emergency Call, ระบบสั่งการชาร์จ สถานี MG Super Charge ผ่านทางสมาร์ทโฟน
ท้ายสุดหมวด Smart Connect (ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ) เช่น ระบบนำทาง Navigation พร้อมรายงานการจราจรแบบ Real Time, ระบบช่วยค้นหาร้านอาหาร และที่พักบนแผนที่นำทาง, ระบบเล่นเพลงออนไลน์แบบสตรีมมิ่ง, ระบบอัพเกรดระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ผ่านออนไลน์, ระบบเรียกดูข้อมูลข่าวสาร เหตุการณ์ปัจจุบัน ไปจนถึงการอัพเดตข้อมูลพยากรณ์อากาศเลยทีเดียว
พื้นฐานของสมรรถนะยังคงประกอบขึ้นด้วย แพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Nebula Pure Electric Platform ที่ถูกออกแบบให้สามารถการนำไปปรับใช้ร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครอบคลุมหลายเซกเมนต์ และรวมไปถึงการรองรับแบตเตอรี่หลากหลายความจุ ส่วนแบตเตอรี่ยังคงเลือกใช้แบบ Cell to Pack แต่เพิ่มขนาดความจุขึ้นจากเดิม 51 กิโลวัตต์ เป็น 64 กิโลวัตต์สำหรับรุ่น MG4 Electric X Power
เพื่อขับเคลื่อนระบบ 4 ล้อ (All Wheel Drive) ด้วย Dual Motor ซึ่งมีพละกำลังสูงถึง 435 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่อัพเกรดขึ้นมาเป็น 600 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์ไฟฟ้า ซึ่งมากับ Drive Mode การขับขี่ 5 รูปแบบ Eco, Normal, Sport, Snow และ Custom
เสริมด้วยระบบ One Pedal ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกในรุ่น MG4 Electric X Power เท่านั้น ส่วนความสามารถในการขับขี่ มีตั้งแต่ความเร้าใจในอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.8 วินาที และสามารถทำระยะทางวิ่งได้ไกลถึง 480 กม.
ระบบช่วงล่างมากับด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ 5 ลิงก์ พร้อมระบบพวงมาลัยแบบ Dual Pinion ควบคุมด้วยไฟฟ้า (DP-EPS) และเหนืออื่นใด กับสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น คือ Weight Ratio & Low Centre of Gravity จากงานดีไซน์โครงสร้างตัวถัง เพื่อรักษาสมดุลน้ำหนักตัวรถทั้งด้านหน้า – ด้านหลัง แบบ 50 : 50 เพื่อให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยสร้างแรงยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม
ด้านการขับขี่แน่นอนว่าต่างจากรุ่นมาตรฐาน 170 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร อย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่การออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง เพราะใช้คันเร่งเท่ากัน แต่รุ่น X Power ถ่ายทอดความดุดันออกมาได้เต็มเม็ด เต็มหน่วย ผ่านเสียงกรีดร้องของยางที่ปั่นฟรี และแรงดึงหนักๆ
โดยเฉพาะในโหมด Sport ที่เรี่ยวแรงทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งดูเหมือนจะการแบ่งกำลังการขับเคลื่อนไปที่ด้านหลัง มากกว่าด้านหน้าเล็กน้อย โดยสามารถแปรผันได้ถึง 50% – 50% ตามสภาพการขับขี่ ขณะที่ในโหมด Normal จะมากับการขับเคลื่อนล้อหลัง 100% เป็นหลัก ซึ่งมอเตอร์ด้านหน้าจะเข้ามาทำงาน ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขในสภาพการขับขี่
และด้วย Drive Mode ที่มีอยู่ แน่นอนว่า Normal และ Sport คือ 2 โหมดหลัก สำหรับความมันส์ในครั้งนี้แน่นอน เริ่มจากความรู้สึกจากโหมด Normal ที่ต้องบอกก่อนเลยว่า ควรตั้งสติก่อนกดคันเร่ง เพราะแค่มอเตอร์ไฟฟ้า 2 จากล้อคู่หลัง ก็มากกว่ารุ่นมาตรฐานไปแล้ว
เพราะฉะนั้นออกตัวในทางตรงๆ ต้องเจอแน่กับแรงดึงหนัก ส่วนในโค้งก็ต้องอาจจะเพิ่มความระมัดระวังซักนิด เพราะหาก “เติม” หรือ “Overspeed” เข้าไป อาการออกให้สัมผัส จนตัวช่วยต่างๆ ต้องออกปฏิบัติหน้าที่แน่นอน
ส่วนโหมด Sport เพิ่มความมั่นใจขึ้นอีกขั้น ด้วยการขับเคลื่อน 4 ล้อ และทางตรงที่กดเมื่อไหร่ “หลังจมเบาะ” ขณะที่ทางโค้ง คุณสามารถไปได้เร็วกว่า แต่ก็ต้องเตือนว่า “อย่าเพลิน” และ “ไว้ใจ” เกินไป เพราะด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่าง “อาการ” ก็มีออก จนต้องให้ตัวช่วยต่างๆ เข้ามาจัดสรรให้อยู่ภายใต้ระบบระเบียบด้วยเช่นกัน
แต่เหนืออื่นใด คือ อาการที่ออกนั้นเราสัมผัสได้ว่าน่าจะเกิดจาก “ยาง” เป็นส่วนใหญ่ เพราะงั้น “คำตอบ” ที่หลายคนสงสัย เราตอบให้ชัดๆ เลยว่าว่าช่วงล่าง “เอาอยู่” และดูเหมือนจะมีการปรับเซ็ทขึ้นมาเพื่อให้รองรับสมรรถนะระดับนี้โดยเฉพาะ รวมถึงน้ำหนัก และการตอบสนองของพวงมาลัยที่ “ดี” เฉียบคม ฉับไว แสดงตัวตนความสปอร์ตออกมาได้ชัด เช่นเดียวกับตัวเลขแรงม้า และแรงบิด
ซึ่งในความคิดเรา พละกำลังระดับ 435 แรงม้า พร้อมแรงบิด 600 นิวตันเมตร คือ “ของดี” ที่ควรใช้ให้ “ถูกที่ ถูกเวลา และเหมาะสมกับการขับขี่” พูดง่ายๆ ว่าถ้าเอา MG4 Electric X Power ไปใช้งานในชีวิตประจำวัน “สมรรถนะ” ระดับนี้บอกคำเดียวว่า “เหลือๆ” ไม่ว่าจะเป็นการออกตัว, การเร่งแซง หรือการยึดเกาะถนนก็ตาม
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ควรก้าวข้ามขีดจำกัด ซึ่งจะให้ดีควรเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับบุคลิกของตัวรถก่อน เพื่อให้ใช้งาน MG4 Electric X Power ได้อย่างมั่นใจ เช่นเดียวกับที่เราทำมาโดยตลอด นับตั้งแต่วินาทีแรกที่สัมผัส MG4 Electric X Power
ไม่เถียงว่า MG4 Electric X Power มอบความเร้าใจ ความตื่นเต้น ให้ได้รับรู้ตลอดเวลา แต่มากกว่านั้น คือ มาพร้อมอันตราย หากคนขับไม่คุ้นชิน หรือมีสติกับการขับขี่ แม้จะมีระบบความปลอดภัยมากมาย แต่สุดท้ายทั้งหมด คือ ตัวช่วยเท่านั้น ส่วนคนขับ คือ ตัวหลักที่ต้องเข้าใจเพดานขีดจำกัดด้วยเช่นกัน
ส่วนเรื่องอื่นๆ เรายังยืนยันคำเดิม หากคิดจะลองเปลี่ยนสายมาเป็นรถไฟฟ้า 100% ว่า ข้อแรกอาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตเล็กน้อย เนื่องจากต้อง “วางแผนเผื่อเวลา” ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตู้ชาร์จสาธารณะ Quick Charge หรือ MG Home Charger ที่บ้าน
อีกประเด็นก็คือเรื่องของ “ความคุ้มค่า” เพราะที่น่าห่วงก็คงเป็นเรื่อง “ราคา” ของแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ส่วนอื่นๆ เราคิดว่าผู้บริโภคคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว … ใช่มั้ยครับ ?
Specification: MG4 Electric X Power
- Price: 1,119,900 BHT
- Electric Motor: 435 hp / 600 Nm
- Transmission: Electric Transmission
- Performance: 0 – 100 Km/h @ 3.8 / Top Speed @ N/A
- Weight: N/A