รีวิว ลองขับ MINI Cooper SE ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 218 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ขนาด 54.2 kWh รองรับการขับขี่สูงสุด 402 กม./ชาร์จ
รีวิว ลองขับ MINI Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้า 100% ราคา 1,690,000 บาท
MINI Cooper SE
แม้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทว่า MINI Cooper SE ใหม่ ยังคงไว้ซึ่งสัมผัสแบบรุ่นเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นความคล่องแคล่วว่องไว, พวงมาลัยเฉียบคม หรือแม้กระทั่ง Torque Steer อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของอนุกรม Cooper S ขึ้นไป ด้วยสิ่งเหล่านี้ส่งให้ Mini พลังไฟฟ้ายังคงมัดใจเรา และ (ผมเชื่อว่า) เหล่าสาวกของแบรนด์เอาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่สามารถวิ่งได้ไกลขึ้น และราคาที่ถูกกว่าเดิมหลายแสนบาท!
รถรุ่นใหม่วิ่งได้ราว 400 กม./ชาร์จ (โดยเฉลี่ย, WLTP) แต่รับรองว่าคุณทำได้อย่างเก่งก็ 300 กม. เพราะไม่อาจต้านความเย้ายวนของ SE ได้แน่นอน นี่คือรถที่มีบุคลิกราวกับลูกสุนัขจอมซน มันจะชวนคุณเล่นด้วยตลอดเวลา, กระโจนไปมา และพร้อมวิ่งแบบสุดกำลังเสมอ
ความกระฉับกระเฉงของอัตราเร่งที่ปลดปล่อยมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 218 แรงม้า, 330 นิวตันเมตร ร่วมด้วยช่วงล่างที่ขึงตึง และความหนักแน่นของระบบบังคับเลี้ยว ผสานรวมเป็นแรงยุให้คุณกดคันเร่งจมลึก ลัดเลาะฉวัดเฉวียนไปตามช่องว่างระหว่างรถคันอื่นๆ อย่างเพลิดเพลิน โดยไม่ใยดีต่อระยะทางคงเหลือ
Cooper SE มีชีวิตชีวาขึ้นไปอีกขั้นเมื่ออยู่บนเส้นทางคดเคี้ยว อาจกล่าวได้ว่านี่คือสิ่งที่นิยามความเป็น Mini ขึ้นมาก็คงไม่ผิด รถไฟฟ้าถ่ายโอนปรัชญา “Go-Kart like” ของรุ่นเครื่องยนต์มาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้มีน้ำหนักถึง 1.6 ตัน ทว่า MINI EV กลับจัดการกับการเอียงตัวขณะเข้าโค้งได้ดีเยี่ยม และคุณจะต้องปลื้มกับแรงยึดเกาะระดับสูงของล้อคู่หน้า
ที่ส่งให้รถสามารถเข้าโค้งได้เหมือนวิ่งอยู่ในราง พวงมาลัยที่ทั้งสื่อสาร, ตอบสนองฉับไว และมีน้ำหนักกำลังดี เป็นอีกไฮไลท์ที่เข้ามาเติมเต็มฉากกระหน่ำโค้งของคุณให้สมบูรณ์แบบ ก่อนจบด้วยซีนเร่งออกจากโค้งพร้อมกับล้อคู่หน้าที่หมุนฟรีเล็กน้อยพอได้อรรถรส และพวงมาลัยพยศไปมาจากอาการ Torque Steer
คุณจะสำนึกผิดได้ก็ตอนที่ต้องนั่งเกาคางรออย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้ถึง 80% อีกครั้ง ก่อนมุ่งหน้ากลับสู่เมืองเพื่อเผชิญการจราจรคับคั่งอันเป็นเรื่องปกติของมหานครไปแล้ว แต่อย่าลืมว่านี่คือ Mini และหนึ่งในความสามารถพิเศษของมันก็คือความคล่องแคล่วที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ แม้มีมิติใหญ่โตขึ้น แต่สัมผัสกระฉับกระเฉงของมันไม่เคยเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาพร้อมกับ Instant Torque ตามประสารถไฟฟ้า จึงซอกแซกไปตามกระแสจราจรได้สบาย เว้นเพียงถ้าคุณชอบรถที่มีช่วงล่างนุ่มนวลล่ะก็ Cooper SE คงไม่ใช่รถที่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่นัก
นอกจากนั้น ด้วยการถอยราคาลงมาที่ 1.7 ล้านบาท ทำให้ต้องตัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกออกไปพอสมควร ที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือเบาะที่ต้องปรับพนักพิงด้วยการดึงสายผ้าไนล่อน ซึ่งใช้งานยากมาก รวมไปถึงชิ้นพลาสติกต่างๆ ที่ไม่สวยงามน่ามองเท่าไหร่
ทั้งยังส่งให้ภาพลักษณ์โดยรวมของห้องโดยสารดูด้อยค่ากว่ารุ่นก่อนหน้านี้พอสมควร ดังนั้น หากคุณต้องการ “แค่” รถยุโรปขนาดเล็กที่ดูหรูหรา ยังพอมีตัวเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่าให้พิจารณา แต่ถ้าคุณชอบรถที่ขับสนุกและสมรรถนะเกินราคา (ไปมาก) ไม่มีตัวเลือกไหนจะคุ้มค่าไปกว่า MINI Cooper SE อีกแล้วครับ
ดีไซน์ที่ลดทอนเส้นสายลงจนเหลือเพียงความเรียบง่ายสะอาดตา คือภาษาการออกแบบใหม่ที่ Mini เรียกว่า ‘Charismatic Simplicity’ ทว่ายังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลทั้งการวางล้อทั้งสี่ไว้ที่มุมสุดของรถ, ฝากระโปรงสั้น และการแยกพื้นที่ตัวถังออกเป็นสามส่วน คือ ตัวถังส่วนล่าง, กระจกรอบห้องโดยสาร และหลังคา
ผลจากการตัดองค์ประกอบต่างๆ บนตัวถังออกไปจนแทบไม่เหลือ ร่วมกับการลดแรงต้านด้วยมือเปิดประตูแบบแนบไปกับตัวถัง, กระจังหน้าและใต้ท้องรถที่ปิดเรียบ เหลือเพียงช่องรับอากาศที่กันชนหน้าเท่านั้น ส่งให้ Cooper SE มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.28
ไฟหลักชุดหน้าเป็น Adaptive LED พร้อมไฟสูงอัตโนมัติ และมี DRL 2 ตำแหน่งคือ ส่วนที่เป็นทรงกลมแบบดั้งเดิม (ที่ขอบนอก) ซึ่งใช้เป็นไฟเลี้ยวด้วย และบาร์แนวนอนวางขนานกัน 2 ชิ้น ส่วนไฟท้ายใช้เลนส์ที่เรียบเนียนกลมกลืนไปกับท้ายรถ ภายในประกอบไปด้วย LED ดวงเล็กๆ เรียงต่อกัน (ไฟหรี่และเบรกเป็นแนวทแยง, ไฟเลี้ยวเป็นแนวนอน) จุดเด่นก็คือ คุณสามารถเลือกแพทเทิร์นของไฟ (DRL + ไฟหรี่ท้าย) ได้ 3 รูปแบบ จากเมนูบนหน้าจอในรถ คือ Classic, Favoured และ John Cooper Works ซึ่งเป็นเซ็ตอัพเดียวกับที่คุณเห็นอยู่ในภาพ (DRL แนวนอน + ไฟหรี่ท้าย แนวตั้ง)
ขุมพลังของ Cooper SE ประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า และทำแรงบิดได้ 330 นิวตันเมตร หรือมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ 34 แรงม้า, 60 นิวตันเมตร เร่งจากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ได้ใน 6.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่ 170 กม./ชม. หรือเร็วกว่าเดิม 0.6 วินาที และ 20 กม./ชม. ตามลำดับ เพื่อรองรับพละกำลังที่มากขึ้น แน่นอนว่า แบตเตอรี่ต้องมีขนาดใหญ่กว่าเดิมอย่างมาก นั่นคือ จาก 32.6 เป็น 54.2 kWh รองรับการขับขี่สูงสุด 402 กม./ชาร์จ ทั้งยังชาร์จจาก 10 สู่ 80% ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยใช้เวลา 30 นาที สำหรับการชาร์จ DC (95kW) และ 5 ชม. 15 นาที เมื่อชาร์จ AC (11kW)
ใช้เกียร์ Single-speed เช่นเดียวกับรถไฟฟ้าทั่วไป พร้อม MINI “Experiences” Modes ที่ไม่เพียงปรับรูปแบบการขับขี่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปรับเสียงประกอบ (สังเคราะห์, ผ่านลำโพง) ตลอดจนรูปแบบการแสดงกราฟฟิก, แสง และสีในห้องโดยสารอีกด้วย ตัวอย่างเช่น โหมด ‘GO-KART’ นอกจากระบบจะปรับการตอบสนองคันเร่ง, พวงมาลัย และลดการแทรกของ Traction Control ลงแล้ว ยังจำลองเสียง “วื้ดดดดดด…” ขณะกดคันเร่ง ให้ดังและเร้าใจยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนกราฟฟิกบนหน้าจอเป็นแบบเข็ม เปลี่ยนรูปแบบแสงกราฟฟิกที่ส่องลงมาบนแดชบอร์ด และ Ambient Light เป็นสีแดง เป็นต้น
“แฮนด์ลิง” คือสิ่งที่แยก Mini ออกจาก Compact Car ทั้งปวง แม้ Cooper SE ไม่ได้มีพละกำลังมหาศาล หรือความเร็วสูงสุดที่ขนลุก ทว่ามันกลับเป็นรถที่มอบความบันเทิงในการขับขี่ได้อย่างน่าทึ่ง ต้องขอบคุณช่วงล่างที่เกาะหนึบและระบบบังคับเลี้ยวที่เหนือชั้น ส่งให้ Mini EV ขับขี่ได้ราวกับเป็น Porsche Taycan ที่ถูกย่อส่วนลงมา มันเข้าโค้งได้คมกริบและเร่งออกอย่างบ้าคลั่ง จนบางครั้งเผลอคิดว่ามันมีพลังมากกว่านี้เป็นเท่าตัว!
Cooper SE มาพร้อมกับระบบช่วยการขับขี่และระบบช่วยจอด ทำงานโดยกล้องรอบคันรวม 4 ตัว และเซนเซอร์อัลตร้าโซนิก 12 จุด นอกจากนั้น ยังมีระบบ Digital Key Plus ที่ทำให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นกุญแจ และเปิดรถได้อัตโนมัติ โดยไฟหน้าและไฟท้ายจะติดขึ้นทันทีที่คนขับอยู่ห่างจากรถไม่เกิน 3 เมตร จากนั้นประตูจะปลดล็อกเมื่อคุณอยู่ห่างจากรถไม่ถึง 1.5 เมตร ระบบนี้ช่วยให้คุณสามารถแชร์รถกับคนอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องใช้กุญแจของรถแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับตัวถังภายนอก ห้องโดยสารของ Cooper SE ก็ได้รับการลดทอนองค์ประกอบลงอย่างมาก เห็นได้ชัดที่แดชบอร์ดและฟลอร์คอนโซลซึ่งแทบจะไม่มีชิ้นส่วนอื่นๆ เหลืออยู่ นอกจากพวงมาลัย, จอแสดงผล และสวิตช์แบบคันโยก การใช้พื้นผิวต่างระดับที่ลดเส้นสายคมชัดให้น้อยลง เกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ดูกลมกลืนและเรียบง่าย ทว่ายังมีฟังก์ชั่นครบถ้วน ทั้งที่วางของ, ขวดน้ำ, ลำโพง และอื่นๆ พื้นที่สำหรับผู้โดยสารคู่หน้ากว้างขวางอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับขนาดของรถ ในขณะที่เบาะหลังยังคงมีพื้นที่พออาศัยนั่งได้บ้าง แต่ก็ไม่สะดวกสบายนัก
ความน่าสนใจของห้องโดยสารอยู่ที่การใช้พื้นผิวแบบถักเป็นลายเขี้ยวสุนัข (Houndstooth) ด้วยเส้นใยโพลีเอสเตอร์ซึ่งได้มาจากการรีไซเคิลตกแต่งบนแดชบอร์ด, แผงประตู และกล่องเก็บของที่ฟลอร์คอนโซล Mini เคลมว่านี่ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย ทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนนั่งอยู่ในบ้าน นอกจากนั้น ยังมีลูกเล่นแปลกใหม่ด้วยการใช้สายรัด (น่าจะทำจากผ้าใบ) มาตกแต่งเป็นก้านพวงมาลัย และรัดบริเวณแดชบอร์ด เพื่อให้ดูเข้าคู่กัน เป็นไอเดียการตกแต่งที่สร้างสรรค์ทีเดียว
เพื่อให้ได้บรรยากาศสไตล์มินิมัลยิ่งขึ้น จึงออกแบบช่องแอร์ของฝั่งผู้โดยสารเป็นทรงแบนยาว เพื่อลดการรบกวนทางสายตา ส่วนช่องแอร์ส่วนกลางซ่อนไว้ที่ด้านบนของชุดสวิตช์ควบคุมแบบคันโยก เป็นไอเดียเดียวกับที่เราเคยเห็นมาแล้วในรถรุ่นใหม่ๆ ของ BMW ชุดสวิตช์ควบคุมดังกล่าว รวบรวมฟังก์ชั่นที่สำคัญในการขับขี่เอาไว้ด้วยกัน (เบรกมือไฟฟ้า, คันเกียร์, สวิตช์ Start/Stop แบบบิดเหมือนกุญแจรถ, สวิตช์โหมด Experiences และปุ่มควบคุมระดับเสียง) จึงง่ายต่อการใช้งาน และทำให้ได้พื้นที่ว่างบริเวณใต้แดชบอร์ดเพิ่มขึ้นสำหรับให้ฟลอร์คอนโซลพาดยาวจากข้างเบาะคู่หน้าจนถึงด้านล่างได้ ใช้เป็นถาดวางของ, แก้วน้ำ และแท่นชาร์จแบบไร้สาย
ตกแต่งแบบ “Favoured Trim” ซึ่งเป็นเกรดท้อปสุดของ Cooper SE (รุ่นมาตรฐาน, ไม่นับรวม JCW) ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เบาะหน้าแบบสปอร์ต “John Cooper Works sport seats” ปรับด้วยมือทั้งหมด โดยพนักพิงหลังต้องใช้การดึงห่วงผ้าใบทำให้ใช้งานยากมาก เบาะหลังมีพื้นที่พอให้ (ผู้ใหญ่) เข้าไปนั่งได้ ส่วนพื้นที่เก็บของท้ายรถก็มีจำกัด ซึ่งเป็นเรื่องปกติและไม่ใช่สิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของ Mini สนใจอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อพับเบาะจะได้พื้นที่เพิ่มจาก 200 เป็น 800 ลิตร สามารถใส่สัมภาระขนาดใหญ่ได้สบายๆ
แม้แต่การแสดงข้อมูลก็ยังเน้นสไตล์แบบมินิมัล! มีระบบ HUD สำหรับผู้ขับ แสดงความเร็ว, ปริมาณแบตเตอรี่ และการใช้พลังงาน หรือเปลี่ยนไปแสดงข้อมูลสำคัญอื่นๆ ขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นที่เลือก โดยข้อมูลที่มีรายละเอียดจะแสดงผลบนจอส่วนกลางแทน… จอ OLED ทรงกลมระบบสัมผัสนี้ ทำงานได้อย่างน่าทึ่ง ตอบสนองรวดเร็วไม่ต่างจากแทปเล็ตทรงพลัง ต้องยกความดีความชอบให้กับระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 ที่ BMW Group พัฒนาขึ้นเอง และใช้ซอฟต์แวร์สแต็กของ Android Open Source Project (AOSP) เป็นหลัก คุณอาจต้องใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อทำความคุ้นเคยกับอินเตอร์เฟซที่กระจายฟังก์ชั่นต่างๆ ไว้ทั่วทรงกลมของจอ (ปกติเราจะชินกับการจัดวางแบบเป็น “แถว” ของจอทรงเหลี่ยม) แต่เชื่อเถอะว่านี่คือหนึ่งในจอที่ยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งรวมไปถึงความคมชัดและกราฟฟิกที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่ารักและมีศิลปะอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ตำหนิบ้าง ก็คงมีแค่เรื่องการรวบรวมทุกอย่างไว้บนจอสัมผัส ทำให้ไม่สะดวกเมื่อใช้งานขณะขับขี่ และระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey MINI” ที่ไม่ค่อยเข้าใจคำสั่งเท่าไหร่ แม้คุณจะมีสำเนียงภาษาอังกฤษขนานแท้ก็ตาม
อีกเรื่องที่ดีที่สุดของจอรุ่นใหม่นี้ก็คือ สามารถแสดงแผนที่ขนาดใหญ่ได้ เมื่อเทียบกับจอแคบๆ แบบแนวนอนของเดิม ทำให้ดูข้อมูลการนำทางได้ดีขึ้น ที่ด้านหลังซึ่งเป็น “ขาตั้ง” ของจอ มีโปรเจคเตอร์สำหรับฉายกราฟฟิกลงบนแดชบอร์ดทั้งสองฝั่ง โดยกราฟฟิกดังกล่าวจะเปลี่ยนรูปแบบและสีสันไปตามโหมดการขับขี่ที่เลือก อาจไม่ได้มีประโยชน์อะไรแต่ก็เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่แปลกใหม่ทีเดียว
SPECIFICATIONS: MINI COOPER SE
Price: ฿1,699,000 (with MIS standard package)
Powertrain: 53kWh battery, e-motor, 218hp, 330Nm
Transmission: Single-speed auto, front-wheel drive
Performance: 6.7sec 0-100km/h, 170km/h top speed, 402km range
Weight: 1605kg