รีวิว ลองขับ Nissan Kicks e-POWER AUTECH (MY2022) รถไฟฟ้าไม้ง้อแท่นชาร์จ อีกรูปแบบทางเลือกในการใช้งาน

รีวิว ลองขับ Nissan Kicks e-POWER AUTECH (MY2022) มาพร้อมชุดแต่งระดับโลกแบรนด์ AUTECH ให้ความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สะดุดตาทั้งภายนอก และภายใน

รีวิว ลองขับ Nissan Kicks e-POWER AUTECH (MY2022) ราคา 949,000 บาท

Nissan Kicks e-POWER AUTECH (MY2022) 

“ใครๆ ก็อยากมีรถคู่ใจที่โดดเด่น และสามารถแสดงความชัดเจนของตัวตนผู้ครอบครอง ฉะนั้น “การแต่งรถ” คือ ทางออกเดียวที่ต้องทำ … แต่จะดีแค่ไหน ถ้าถอยรถป้ายแดง พร้อมชุดแต่งจากสำนักระดับโลกได้”

Nissan Kicks e-POWER AUTECH (MY2022) คือ น้องใหม่สายพันธ์ุล่าสุด โดย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่ยกระดับ Nissan Kicks e-POWER ให้สะดุดตามากขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการมาพร้อมชุดแต่งระดับโลกแบรนด์ AUTECH … แล้วถ้าคุณกำลังถามตัวเองอยู่ว่า “AUTECH” คืออะไร …? ล่ะก็ มาครับเราจะเล่าให้ฟัง

“AUTECH” คือ ฝ่ายพัฒนาออกแบบชุดแต่งสปอร์ตพรีเมี่ยมของแบรนด์ Nissan ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1986 ในฐานะบริษัทลูกในเครือ Nissan Motor โดยในช่วงเริ่มต้นนั้นมีการร่วมมือกับ Zagato จากประเทศอิตาลี เพื่อร่วมพัฒนารถสปอร์ตชั้นหรู

เพื่อเจาะตลาดประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก โดย AUTECH ดูแลในส่วนของตัวถัง และเครื่องยนต์ ส่วน Zagato ดูแลด้านการออกแบบภายนอก และภายใน ซึ่งผลงานที่โด่งดัง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายในยุคนั้นก็คือ Autech Zagato Stelvio AZ1

ก่อนที่จะนำความล้มเหลวมาเป็นบทเรียน เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และสร้างผลงานอีกมากมาย เช่น Nissan Skyline GT-R AUTECH Version 40th Anniversary ในปี 1998 รวมไปถึงการร่วมออกแบบดัดแปลงรถยนต์สำหรับการใช้งานต่างๆ และผลงานโดดเด่นหลากหลายให้ชาวไทย ได้อิจฉาชาวญี่ปุ่นกัน อาทิ Nissan LEAF AUTECH หรือ Nissan Serena AUTECH

หลังจากเก็บเกี่ยวชื่อเสียงทั้งในสาย Production Car และสาย Motorsport มานานกว่า 3 ทศวรรษ ในที่สุดช่วงปลายปี 2021 ทาง Nissan จึงได้ตัดสินใจนำ AUTECH และ Nismo เข้ามาอยู่รวมกัน ภายใต้ร่มเงาใหม่ คือ Nissan Motorsports & Customizing Co., Ltd. (NMC)

แน่ล่ะว่าทั่วโลก และชาวญี่ปุ่น รู้จักแบรนด์ “AUTECH” กันไปแล้ว งานนี้ก็ต้องถึงคราวที่ชาวไทยจะได้รู้จักบ้าง ฉะนั้น บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด จึงเปิดตัว Nissan Almera Sportech ออกมานำร่อง เป็นเจเนอเรชั่นแรก ซึ่งคาดเดาว่าน่าจะประสบผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ เลยทำให้เจเนอเรชั่น 2 ของ “AUTECH” ถูกเข็นตามออกมาอย่างรวดเร็ว ในเรือนร่างของรถอเนกประสงค์ยอดนิยมอย่าง Nissan Kicks e-Power นั่นเอง

Nissan Kicks e-POWER AUTECH มากับความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ เช่น สเกิร์ตหน้าใหม่โทนสีเงินเมทัลลิค ที่รับกับชุดกันชนหน้า และไฟตัดหมอก LED ต่อเนื่องด้วยสเกิร์ตข้างสีเงินเมทัลลิค และการสร้างความสะดุดตาด้วยล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้วโทนสีดำเงา

โดยหากไล่ขึ้นด้านบนจะพบความโดดเด่นจากกระจกมองข้างโทนสีเงินเมทัลลิค และแผ่นหลังคาที่มากับโทนสีดำเงา ช่วยเพิ่มความสปอร์ต ขณะที่มุมมองจากด้านหลัง มีการนำเสนอความเป็น AUTECH ผ่านวัสดุตกแต่งประตูท้าย และชุดสเกิร์ตกันชนหลังโทนสีเงินเมทัลลิค

ส่วนภายในห้องโดยสาร ในภาพรวมยังคงเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าคุ้นเคยกับงานดีไซน์ เพียงแต่เปลี่ยนสไตล์บางอย่าง เพื่อแสดงความเป็น AUTECH เช่น การตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงิน บริเวณแผงคอนโซลหน้า, แผงประตู, พวงมาลัย และเบาะนั่ง พร้อมด้วยการเดินตะเข็บด้ายสีน้ำเงิน

ขณะที่ออปชันต่างๆ ก็ยังคงมีให้ครบครัน ตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, หน้าจอ TFT Digital Meter ขนาด 7 นิ้ว,  หน้าจอ Infotainment แบบ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Intelligent Key, ปุ่ม Push Start,

กุญแจระบบ Immobilizer, กระจกไฟฟ้ารอบคัน พร้อมระบบป้องกันการหนีบ Anti-jam Protection ด้านคนขับ และห้องเก็บสัมภาระที่กว้างขวาง พร้อมเบาะนั่งแยกพับได้ในอัตราส่วน 60: 40

รายละเอียดด้านสมรรถนะของ Nissan Kicks e-POWER AUTECH โดยหลักการของเทคโนโลยี e-POWER แล้ว เราสามารถพูดได้เต็มปาก เต็มคำว่า ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ด้วยองค์ประกอบหลัก คือ เครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ 12 วาล์ว

สำหรับทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) เพื่อ “ปั่นไฟ” และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งมีหน้าที่หลัก คือ “หมุนล้อ” ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่เรามองว่า “เทคโนโลยี e-POWER” มีความเหนือชั้นกว่า ด้วยความสามารถในการ “พึ่งพาตนเอง” โดยไม่ต้องใช้การชาร์จไฟจากภายนอก

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะให้ Nissan Kicks e-POWER AUTECH คงเดิมเหมือนที่ผ่านๆ มา ก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้นเค้าจึงมีการปรับปรุงบางอย่างเล็กน้อย เช่น ขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นเป็น 2.06 kWh ตามด้วยเรื่องของตัวเลข ซึ่งจากเดิม 129 แรงม้า ก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 136 แรงม้า

เช่นเดียวกับแรงบิด 260 นิวตันเมตร ก็ขยับขึ้นไปที่ 280 นิวตันเมตร พร้อมด้วยระบบส่งกำลังที่ยังคงมากับชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed พร้อมการเพิ่มเทคโนโลยีคันเร่ง e-Pedal Step ที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถเร่ง และลดความเร็วได้ ด้วยการใช้แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังมากับโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ คือ Normal mode, Sport mode, ECO mode และ EV mode

การปรับเพิ่มของพละกำลัง อันนี้คาดเดาว่า นอกจากการเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวโปรดักส์แล้ว อีกส่วนน่าจะเป็นการยกระดับให้เหมาะสมกับนามสกุล AUTECH ที่ต่อท้ายชื่อ ทั้งนี้ก็เพื่อให้อรรถรสการขับขี่มีความสนุกสนานมากขึ้น เพราะนั่นคือสิ่งที่เราพบเจอเป็นอันดับแรก หลังจากส่งตัวเองขึ้นประจำการหลังพวงมาลัย

เรียกได้ว่าเป็นอะไรอะไรที่ “เกินคาด” จากการทดลองขับครั้งก่อนอย่างรู้สึกได้ชัด ทั้งน้ำหนักของแป้นคันเร่งที่ตึงเท้า ได้อารมณ์สปอร์ตมากขึ้น ตลอดจนแรงดึงที่รับรู้ตอนกดคันเร่งที่บอกได้เลยว่า 20 นิวตันเมตรที่เพิ่มขึ้นจากเดิม นั้นเห็นผลอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นในเรื่องของการไต่ระดับความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง ไปจนถึงการเร่งแซง สามารถให้ความมั่นใจได้มากกว่าเจเนอเรชั่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งที่เราชอบก็คือ เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ e-Pedal Step ที่ให้อารมณ์การขับค่อนข้างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณคุ้นเคยกับรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ด้วยลักษณะการทำงานที่เมื่อยกคันเร่ง รถก็ยังหน่วงลดความเร็วให้ แต่จะไม่หน่วงจนหยุด

ทำให้ผู้ขับขี่ต้องทำหน้าที่เบรกด้วยตัวเอง ซึ่งข้อดีก็คือความคุ้นเคยในการใช้งาน ชนิดที่ต่อให้เดินลงจากรถเครื่องยนต์สันดาป แล้วมาโดดขึ้นขับ Nissan Kicks e-POWER AUTECH ต่อได้เลยทันที แบบไม่ต้องปรับตัวสร้างควมคุ้นเคยอะไรมากมาย

ในส่วนของระบบช่วงล่าง และระบบพวงมาลัย บอกได้เลยว่าเราชื่นชอบมาตั้งแต่เจเนอเรชั่นที่แล้ว ทั้งการตอบสนองที่เฉียบคม ฉับไว แปรผันน้ำหนักได้เหมาะสม ทำให้ในความเร็วต่ำ Nissan Kicks e-POWER AUTECH สามารถนำเสนอความคล่องตัวได้ยอดเยี่ยม

ขณะที่ช่วงล่างด้านหน้าแบบ อิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบ ทอร์ชันบีม คอยล์สปริง ก็ดูรับมือได้ดีกับสภาพถนนในเมือง เพราะแอบรู้สึกได้ถึงความแน่น และนุ่ม ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ สำหรับผู้ที่ต้องการรถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวได้ดีขึ้น

หลังจากใช้งานในเมืองเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงโปรแกรมของการมุ่งออกนอกเมืองเพื่อใช้ความเร็วกันบ้าง ซึ่งอันดับแรกเลยต้องยอมรับว่าให้ความมั่นใจได้เริ่ด ทั้งจากความเป็นรถอเนกประสงค์ที่มีความสูงตัวรถเป็นต้นทุนให้มีทัศนวิสัยชัดเจน ต่อเนื่องไปถึงเรื่องของพละกำลังที่มากขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่ใช้คันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วได้อย่างสะดวกสบาย แถมยังไม่ต้องลุ้นกันมากมายในการเร่งแซง

ตามด้วยน้ำหนักพวงมาลัย และช่วงล่าง ที่เราคาดเดาว่ามีการปรับแต่งบางอย่าง เพราะด้วยน้ำหนักที่หน่วงตามความเร็ว จนรู้สึกถึงความหนืดได้ชัดบนความเร็วสูง จนทำให้รู้สึกมั่นใจได้มากขึ้นกับการควบคุม ทั้งในเรื่องของการเปลี่ยนเลน ไปจนถึงการเข้าโค้ง

โดยส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับช่วงล่างที่ดูเหมือนความแน่น และนุ่มในความเร็วต่ำ จะผสมผสานกันสร้างความสปอร์ตให้สัมผัสได้ บนความเร็วสูง และจะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นกับการทรงตัว และการยึดเกาะถนนในโค้งที่ดีงามแบบเอาเรื่องเลยทีเดียว

ท้ายสุดที่หลายคนสงสัยก็คือ เรื่องของอัตราการประหยัดที่แม้ตัวเลขโรงงานจะเคลมมาให้ถึง 26.3 กม./ลิตร แต่เราก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเป็นไปตาม “พฤติกรรมการขับขี่” เพราะแม้ Nissan Kicks e-POWER AUTECH จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า แต่หวดไป หวดมา พลังงานไฟฟ้าก็ลดลงตามน้ำหนักเท้าเช่นกัน

ซึ่งนั่นหมายถึงเครื่องยนต์ก็จะถูกสตาร์ทขึ้นมาทำหน้าที่ปั่นไฟบ่อยครั้ง จนทำให้ต้องแวะเติมเชื้อเพลิงบ่อยครั้งไป และอาจจะทำให้คุณรู้สึกว่าความประหยัดมันอยู่ที่ไหน เว้นแต่ว่าใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกนิด และลองคิดคำนวณดูดีๆ คุณอาจจะพบคำตอบความประหยัดได้ชัดเจนมากขึ้นก็เป็นได้ ฉะนั้นก่อนจะตัดสินใจ เราแนะนำว่าต้องไปลองสัมผัสตัวจริงกันก่อน

Specification: Nissan Kicks e-POWER AUTECH (MY2022)

• Price:  949,000 Baht
• Engine:  1,198 CC / 3 Cylinder / 12 Valve (Generator)
• Electronic Motor:  136 hp @ 3,410-9,697 rpm / 280 Nm @ 0-3,410rpm 
• Transmission:  Single Speed / Front Wheel Drive
• Performance:  0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
• Weight:  1,361 Kg.