รีวิว ลองขับ Porsche Cayenne E-Hybrid Platinum Edition พลังไฮบริด ให้พละกำลังรวม 462 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดที่ 253 กม./ชม. ราคา 6.99 ล้านบาท
รีวิว ลองขับ Porsche Cayenne E-Hybrid Platinum Edition เอสยูวีขุมพลังไฮบริด
Porsche Cayenne E-Hybrid Platinum Edition
เมื่อเกิดมาเป็นหนึ่งในตระกูลของ Porsche แน่นอนว่า แม้ Cayenne เป็นรถประเภท SUV ก็ให้อรรถรสในการขับขี่ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาในระบบขับเคลื่อนไฮบริด ที่หมายความว่า คุณจะได้ทั้งการปล่อยคาร์บอนฯ ต่ำ (หรือเป็นศูนย์) และ “พลังพิเศษ”
จากมอเตอร์ไฟฟ้าที่เข้ามาเป็นกำลังเสริมเพื่อบูสต์แรงม้าและแรงบิด โดยเมื่อแหล่งพลังทั้งสองทำงานร่วมกัน จะทำกำลังรวมได้ถึง 462 แรงม้า และ 700 นิวตันเมตร ขณะกดคันเร่งมิดพรม
Cayenne e-Hybrid ในตัวถังแบบ Coupe ที่ติดตั้งแพคเกจ Sport Chrono มาให้เป็นมาตรฐาน หมายถึงคุณมีโหมด Sport Plus ที่จะส่งให้ SUV สุดหรูคันนี้ ดีดตัวออกจากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 253 กม./ชม. คุณจะสัมผัสถึงแรงฉุดได้ตั้งแต่ออกตัว ตลอดทางไปจนถึงความเร็วปลาย ร่วมด้วยเสียงของชุดท่อไอเสียพิเศษแบบสปอร์ต – ที่คำรามดุดันกว่าท่อมาตรฐานอย่างชัดเจน – เป็นซาวด์แทร็คประกอบการทำความเร็ว
เมื่ออยู่ในสองโหมดดังกล่าว มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 136 แรงม้า, 400 นิวตันเมตร จะใช้กลยุทธ์เดียวกับรถสปอร์ตไฮบริดรุ่น 918 โดยทำหน้าที่เป็น “กำลังเสริม” ขณะเร่งความเร็ว ให้กับขุมพลัง 2.9 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ 340 แรงม้า, 450 นิวตันเมตร ที่จะทำงานตลอดเวลา และทำหน้าที่ชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ของระบบไฮบริดไปในตัว
โดยในโหมด Sport จะชาร์จกลับที่ 7.2kWh ส่วนโหมด Sport Plus จะชาร์จกลับมากกว่าที่ 12kWh เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีไฟเพียงพอเสมอสำหรับการขับขี่บนขีดจำกัดสูงสุด… ที่ซึ่ง Cayenne จะเผยให้เห็นความเป็น ‘PORSCHE’ ออกมาให้ประจักษ์…
… คุณจะปลื้มปริ่มไปกับแฮนด์ลิงที่ยอดเยี่ยมจนลืมไปว่ากำลังขับรถแบบ SUV อยู่ พวงมาลัยคือพระเอกของฉากแอคชั่นบนถนนสายรองที่คดเคี้ยวไต่ขึ้นลงไปตามแนวภูเขาแห่งนี้ จากโค้งกว้างความเร็วสูงไปจนถึงโค้งสลับแคบๆ ที่ท้าทาย Cayenne พลังไฮบริดรับมือได้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะพลาดพลั้งให้กับโค้งใด ความเฉียบคมและสื่อสารของระบบบังคับเลี้ยว ร่วมด้วยช่วงล่าง Adaptive
และระบบเบรกทรงพลัง ทำงานสอดประสานกลมกลืน ส่งให้ SUV ขนาดกว่า 2.3 ตัน วิ่งพลิ้วราวกับ Hot Hatch คันจิ๋ว อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเวอร์ชั่นไฮบริดต้องแบกน้ำหนัก 130 กก. ของแบตเตอรี่ คุณจะรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นจากน้ำหนักดังกล่าวได้หากอัดมันหนักๆ ใส่โค้ง ดังนั้น ยั้งๆ ไว้หน่อยหากไม่อยากลงไปกองในร่องระบายน้ำข้างทาง
และด้วยแบตเตอรี่ของระบบไฮบริดดังกล่าว ส่งให้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีความจุน้อยลง 170 ลิตร เมื่อเทียบกับ Cayenne ตัวถังมาตรฐาน แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมากพอสำหรับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 4 ใบ และมีพื้นที่เหนือศีรษะสำหรับเบาะหลังเหลือเฟือแม้จะมีหลังคาลาดต่ำกว่าก็ตาม นั่นหมายถึง Cayenne ไม่เพียงขับสนุก
ทว่ายังให้ความสะดวกสบายตามแบบฉบับของ SUV ได้ตามความคาดหวังของคุณ ทั้งยังเป็นไปตามความคาดหวังของกติกาโลกที่ต้องการลดคาร์บอนฯ ลง ด้วย Porsche พลังไฮบริด สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลสูงสุด 47 กม./ชาร์จ โดย Cayenne จะเริ่มการทำงานด้วยโหมด E-Power เสมอ
การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้สัมผัสไม่แตกต่างจากรถ EV ทั่วไป ด้วยพละกำลังที่เพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมือง ออกตัวและเร่งได้กระฉับกระเฉง ทั้งยังทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 135 กม./ชม. โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องยนต์อีกด้วย
หากยังมีไฟฟ้าเหลืออยู่มากพอ ระบบจะไม่ติดเครื่องยนต์ขึ้นมาจนกว่าคุณจะเหยียบคันเร่งลงไปเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เครื่องยนต์จึงเข้ามาร่วมทำงาน (แม้อยู่ในโหมด E-Power ก็ตาม) เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะเร่งแซงได้อย่างปลอดภัย กระทั่งแบตเตอรี่เหลือต่ำจนถึงระดับที่กำหนด Cayenne จะปรับเข้าสู่โหมด Hybrid Auto เพื่อสลับใช้แหล่งพลังงานทั้งสอง โดยยึดตรรกะเรื่องการให้อัตราสิ้นเปลืองต่ำที่สุดเป็นประเด็นสำคัญในการทำงาน
ราคา 6.99 ล้านบาท ของ Cayenne e-Hybrid Platinum Edition เทียบกับคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะหาได้ในไทยก็คือ Audi Q7 60 TFSI e ที่มีพละกำลังเท่ากัน และเป็นแบรนด์จากผู้ผลิตหลังคาเดียวกัน ในราคา 4.9 ล้านบาท แน่นอนว่า Q7 คือตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากคุณต้องการเพียง SUV พลังไฮบริดสำหรับใช้งานทั่วไปเป็นหลัก
แต่การจ่ายเพิ่มอีก 2 ล้านบาท เพื่อครอบครอง ‘Porsche SUV’ ที่พิเศษกว่าด้วยอรรถรสในการขับขี่เหนือชั้น และเป็นยนตกรรมที่มีต้นกำเนิดมาจากแบรนด์ซึ่งเลื่องลือในเรื่องการสร้างรถสปอร์ต ทั้งยังทรงคุณค่ากว่าในแง่ของชื่อชั้น Cayenne จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเช่นกัน
ตัวถังแบบคูเป้ มีหลังคาเตี้ยกว่ารุ่นปกติ 20 มม. ประตูหลังต่างกัน และซุ้มล้อได้รับการออกแบบใหม่ ทำให้รถมีช่วงไหล่กว้างขึ้น 18 มม. คันทดสอบของเราเป็นรุ่นพิเศษ ‘Platinum Edition’ มาพร้อมการตกแต่งเพิ่มเติม และสีพิเศษเทาอ่อน ‘Crayon’
ชุดไฟหน้าเป็น LED ทั้งหมด พร้อมระบบปรับการส่องสว่าง PDLS (Porsche Dynamic Light System) ส่วนไฟเลี้ยวแยกติดตั้งไว้เป็นส่วนหนึ่งของครีบในช่องรับอากาศบนกันชน ชุดไฟท้ายเป็น LED ทั้งหมดเช่นกัน มีแถบไฟคาดยาวตลอดแนวตามแบบฉบับของ Porsche ยุคใหม่ สปอยเลอร์แบบ Active ที่ซ่อนอยู่ปลายฝาท้าย เป็นส่วนหนึ่งของระบบ PAA (Porsche Active Aerodynamics) จะยกตัวขึ้นและขยายออก 135 มม. อัตโนมัติ เมื่อวิ่งด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. ขึ้นไป ส่วนสปอยเลอร์บนหลังคาเป็นแบบ Fix ที่รับกับความลาดของส่วนท้ายได้อย่างลงตัว
เกรด Platinum Edition ตกแต่งพิเศษด้วยสีพิเศษ ‘Satin Platinum’ ทั้งอักษร PORSCHE, Cayenne, e-Hybrid และครีบบนกระจังหน้าตลอดจนช่องรับอากาศทั้งสองฝั่ง ที่ถูกใช้งานจริงทั้งหมด พร้อมแผ่นกั้นอากาศของระบบ PAA ซึ่งจะเปิดปิดอัตโนมัติตามความเร็วและความต้องการของรถในแต่ละสถานการณ์ ล้อขนาด 21 นิ้ว ลาย RS Spyder Design พร้อมยางขนาด 285/40 ที่ล้อหน้า และ 315/35 สำหรับล้อหลัง ตลอดจนปลายท่อสีดำเงาและระบบไอเสียแบบสปอร์ตที่ให้สุ้มเสียงกระหึ่มเร้าใจยิ่งขึ้น ต่างก็ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะเกรดนี้เช่นกัน
เครื่องยนต์ V6 อลูมิเนียมทั้งเสื้อและฝาสูบ ความจุ 2.9 ลิตร เทอร์โบคู่แบบ Twin-scroll ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า ที่ 5,300-6,400 รอบ/นาที และทำแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ได้ตั้งแต่รอบต่ำเพียง 1,340 รอบ/นาที เมื่อรวมกับแรงบิด Instant จากมอเตอร์ไฟฟ้า (400 นิวตันเมตร) จะกลายเป็นแรงบิดรวมสูงถึง 700 นิวตันเมตร ส่งให้ Cayenne e-Hybrid เร่งได้ทันใจ แม้ตัวรถจะทั้งใหญ่และหนักก็ตาม ระบบจะเริ่มต้นทำงานด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนเสมอ โดยจะติดเครื่องยนต์ขึ้นเมื่อกดคันเร่งเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 17.9kWh สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกล 47 กม. เมื่อไฟในแบตเตอรี่เหลือน้อยถึงระดับที่กำหนด ระบบจะเปลี่ยนไปใช้โหมด Hybrid Auto โดยอัตโนมัติ เพื่อสลับใช้เครื่องยนต์เป็นระยะๆ ขณะเครื่องยนต์ทำงาน จะชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ไปในตัวด้วยระดับที่เพียงพอสำหรับให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้ระยะหนึ่ง โดยตรรกะจะเน้นไปที่การลดอัตราสิ้นเปลืองโดยรวมของเชื้อเพลิงเป็นหลัก กล่าวคือ ที่โหมดนี้ ระบบจะไม่ใช้เครื่องยนต์ชาร์จไฟจนมากเกินไป เนื่องจากจะทำให้กินน้ำมันมากกว่าปกตินั่นเอง
เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ‘Steptronic S’ แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ให้ความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนเกียร์ได้มากกว่าชุดเกียร์ PDK คลัตช์คู่ ที่ใช้อยู่ใน Panamera e-Hybrid ซึ่งเราทดสอบไปก่อนหน้านี้ ส่วนการเปลี่ยนเกียร์แบบ Manual ก็ยังคงฉับไวไม่ธรรมดา ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งคั่นกลางระหว่างเครื่องยนต์และเกียร์ โดยตัดต่อการทำงานไปมาระหว่างแหล่งพลังทั้งสองด้วยคลัตช์ไฟฟ้าเพื่อการทำงานที่รวดเร็ว คอนโซลกลางจัดวางปุ่มระบบสัมผัสแบบ Haptic ที่ตอบสนองกับมายังนิ้วเหมือนกำลังกดปุ่มจริงๆ สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศและการตั้งค่าบางส่วนของรถ
พวงมาลัยขนาดเหมาะมือ มาพร้อมกับปุ่มหมุนเพื่อเลือกรูปแบบการขับขี่ (ส่วนหนึ่งของแพคเกจ Sport Chrono) ส่วนระบบบังคับเลี้ยวสื่อสารและตอบสนองได้ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับน้ำหนักที่แม้จะตึงมือไปหน่อยแต่เมื่อคุณปรับตัวได้แล้ว จะพบว่ามันช่วยเพิ่มความมั่นใจในการควบคุมทิศทางได้อย่างมาก ทั้งตำแหน่งพวงมาลัยที่ทำมุมเกือบตั้งฉาก (กับพื้น) และเบาะนั่งซึ่งจัดวางไว้ต่ำ ส่งให้ได้ตำแหน่งการขับขี่ที่ดีและให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับรถสปอร์ตรุ่นอื่นๆ ของ Porsche
ช่วงล่างถุงลมแบบ Adaptive ทำงานอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการควบคุมจากระบบ PASM (Porsche Active Suspension Management) ที่ปรับความแข็งและความสูง (162-245 มม.) ของรถตามโหมดการขับขี่ที่เลือก นอกจากนั้น ยัง Cayenne ยังมีความสามารถในการบุกตะลุยบนเส้นทางวิบากได้ด้วยความสูงใต้ท้อง 240 มม. และลุยน้ำลึกสูงสุด 525 มม. พร้อมโหมด Offroad ที่มีให้เลือก 5 รูปแบบการขับขี่ อาทิ Mud, Rock, Gravel ผ่านเมนูบนหน้าจอส่วนกลาง
ระบบเบรกทรงพลัง จากคาลิเปอร์แบบชิ้นเดียว, 6 ลูกสูบ ทำงานร่วมกับดิสก์ 360 มม. ส่วนด้านหลังเป็นคาลิเปอร์ชิ้นเดียว, 4 ลูกสูบ และดิสก์ขนาด 358 มม.
ตำแหน่งการขับขี่คืออีกจุดเด่นของ Cayenne… ต่างจาก SUV ส่วนใหญ่ในกลุ่ม เบาะนั่งของ Porsche วางต่ำและมีพวงมาลัยที่ทำมุมเกือบตั้งฉาก จึงให้สัมผัสแบบรถสปอร์ต ทั้งยังควบคุมรถได้อย่างถนัดมือ องค์ประกอบต่างๆ ถูกออกแบบโดยโฟกัสไปที่ผู้ขับเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโซลกลางที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะช่วยลดระยะทางที่ผู้ขับต้อง (ละมือจากพวงมาลัย) เอื้อมไปกดปุ่มต่างๆ ให้สั้นลง พื้นที่กว้างขวางโอ่อ่าทุกที่นั่ง และมาพร้อมกับหลังคากระจกขนาดใหญ่ถึง 0.67 ตารางเมตร หรือถ้าคุณโฟกัสเรื่องสมรรถนะ ก็สามารถสั่งเป็นหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์แทนได้
มาตรวัดแบบเข็มอนาล็อกติดตั้งไว้กึ่งกลางของส่วนแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่ เพื่อสื่อให้เห็นถึงความสปอร์ตตามสไตล์รถแข่ง ขนาบซ้ายขวาด้วยจอดิจิตอลเต็มพื้นที่ขนาด 7 นิ้ว ทั้งคู่ หันทำมุมเข้าหาสายตาผู้ขับจึงอ่านค่าต่างๆ ได้ชัดเจน สามารถเรียกดูข้อมูลและปรับเปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลายผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย ส่วนนาฬิกาแบบอนาล็อกเข้าชุดกับมาตรวัด รวมอยู่ในแพคเกจ Sport Chrono ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
จอแสดงผลส่วนกลางขนาด 12.3 นิ้ว แบบสัมผัส ของระบบ PCM (Porsche Communication Management) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลสำหรับทั้งเสียง, การสื่อสาร, การนำทาง และฟีเจอร์ต่างๆ ของรถ คุณอาจต้องใช้เวลาสักพักใหญ่เพื่อดูคุณสมบัติมากมายที่ระบบสามารถแสดงและเปิดให้คุณปรับแต่งได้ หน้าจอให้ความคมชัดสูงและตอบสนองฉับไวเทียบเท่าสมาร์ทโฟน โดยปัจจุบัน รถรุ่นใหม่นี้รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มาพร้อมชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมี่ยมจาก Bose
ระบบปรับอากาศแบบแยก 4 โซน โดยผู้โดยสารตอนหลังสามารถควบคุมอุณหภูมิและรูปแบบการระบายอากาศได้เต็มพิกัดเช่นเดียวกับผู้โดยสารด้านหน้า
เข็มขัดนิรภัยสีเทาเข้ากับสีตัวถังภายนอก มีให้เฉพาะเกรด Platinum Edition เท่านั้น ม่านบังแดดระบบไฟฟ้าสามารถควบคุมได้แบบ One Touch ด้วยการกดยกสวิตช์กระจกหน้าต่างขึ้น (เมื่อกระจกปิดอยู่) กระจกรอบคันเป็นชนิดป้องกันความร้อนและตัดแสง UV ได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นยังสามารถสั่งกระจกหลังแบบสีเข้มเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย
SPECIFICATIONS: PORSCHE CAYENNE E-HYBRID PLATINUM EDITION
Price: from ฿6,990,000
Engine: 2894cc V6 biturbo, 340ps @ 5300-6400rpm, 450Nm @ 1340-5300rpm, with e-motor, 136ps, 400Nm (462ps, 700Nm combined)
Transmission: 8-speed Tiptronic S auto, all-wheel drive
Performance: 5.1sec 0-100km/h, 253km/h top speed, 58-56g/km Co2
Weight: 2360kg