รีวิว ลองขับ Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupé เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร 353 แรงม้า เร่งความเร็วจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.7 วินาที
รีวิว ลองขับ Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupé รถสปอร์ตเอสยูวี
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupé
เจเนอเรชั่นที่ 3 ของ Cayenne มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือการเพิ่มอุปกรณ์ (ซึ่งในรุ่นที่แล้ว ส่วนใหญ่ต้องจ่ายเพิ่มหากต้องการติดตั้ง) มาให้เต็มพิกัดกว่าเดิม ทว่าในราคาที่แทบไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ ส่งให้ Cayenne S E-Hybrid เป็น Porsche ที่คุ้มค่าที่สุด ณ เวลานี้!
ไฮไลต์คือ Adaptive Air Suspension ซึ่งติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ต้องยอมรับว่ามันให้ประสิทธิภาพดีกว่าแบบสปริงขดอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ใน Cayenne น้ำหนักเกือบ 2.5 ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบที่ได้รับการอัพเดทล่าสุดนี้ ถุงลมแบบ 2 ชั้น ถูกปรับค่าความเป็นสปริงให้กว้างยิ่งขึ้น จึงให้ทั้งความนุ่มนวลกว่าเดิมเมื่อขับขี่ทั่วไปและเกาะถนนยิ่งขึ้นขณะขับขี่แบบสปอร์ต
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นกว่า 300 กก. ของระบบไฮบริด ถูกหักลบด้วยการทำงานอันชาญฉลาดของถุงลมรุ่นใหม่และแดมเปอร์แบบวาล์วคู่ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ที่สามารถจัดการกับการเอียงตัวขณะเข้าโค้งได้อยู่หมัด Cayenne S E-Hybrid ทะยานผ่านโค้งได้อย่างหนักแน่นมั่นคงตลอดทาง และคุณจะต้องปลื้มกับการทำงานที่สมบูรณ์แบบของระบบบังคับเลี้ยวแน่นอน น้ำหนักพอดีมือ,
ตอบสนอง และสื่อสารทุกองศาของล้อหน้ามาสู่มือได้ราวกับตาเห็น ร่วมด้วยการเร่งออกจากโค้งในพริบตาจากพลัง 519 แรงม้า, 750 นิวตันเมตร ของการประสานงานกันระหว่างเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งให้มันเป็น SUV ที่สร้างความบันเทิงให้กับคุณได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารถซีดานเลยทีเดียว
ในด้านการใช้งานทั่วไปก็น่าประทับใจเช่นกัน จากการปรับค่าความเป็นสปริงได้กว้างช่วยให้รถสามารถวิ่งผ่านเส้นทางขรุขระได้อย่างนุ่มนวล ทว่ายังคงรักษาอาการโคลงตัวขณะเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วได้เป็นอย่างดี ตำแหน่งเบาะนั่งและพวงมาลัยที่จัดวางมาอย่างลงตัวช่วยให้ควบคุมรถได้ถนัดยิ่งขึ้น ในขณะที่การเก็บเสียงก็ทำได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน
แบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ทำให้ Cayenne S E-Hybrid สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ราว 88 กม. ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับใช้งานในเมืองโดยไม่ต้องปลุกเครื่องยนต์ขึ้นมาร่วมทำงาน พละกำลัง 176 แรงม้า และ 460 นิวตันเมตร ของมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่เป็นปัญหาเมื่อใช้งานท่ามกลางสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ทั้งบนถนนปกติและทางด่วน
นับเป็นครั้งแรกที่ Cayenne ซึ่งประกอบขึ้นจากโรงงานในประเทศมาเลย์เซียถูกส่งมาขายในประเทศไทย นั่นทำให้มันมีค่าตัวที่น่าคบหายิ่งขึ้น ด้วยราคา 6.29 ล้านบาท เมื่อพิจารณาร่วมกับรายการอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ยาวเป็นหางว่าวโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม, สมรรถนะ
และชื่อชั้นของ Porsche เรื่อยไปถึงการปรับโฉมใหม่ทั้งภายในและภายนอกที่… พูดตามตรง… ดูทันสมัยกว่าโฉมที่แล้วแบบคนละเรื่อง SUV เสียบปลั๊กของพวกเขาดูจะสามารถต่อกรกับแบรนด์หลักจากยุโรปได้อย่างสูสียิ่งขึ้น
นี่จึงเป็น Porsche ที่น่าจะเข้าถึงได้ง่ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เวอร์ชั่นปรับโฉมของ Cayenne รุ่นปี 2024 มีการปรับดีไซน์อย่างเห็นได้ชัดที่ด้านหน้าของรถ ชุดไฟหน้าปรับทรงใหม่, ฝากระโปรงที่ลดเส้นสายและส่วนเว้าส่วนโค้งลง และแก้มหน้ามีโป่งล้อที่ดูพองใหญ่ยิ่งขึ้น ขณะที่ส่วนท้ายปรับรูปแบบชุดไฟใหม่ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับ Porsche รุ่นใหม่คันอื่นๆ
โครงสร้างตัวถังใช้เทคนิคผสมผสานโลหะชนิดต่างๆ ทั้ง ไมโคร-อัลลอยด์, เหล็กกล้า และโลหะแบบหลากหลายประเภทซ้อนรวมกัน โดยเลือกใช้แต่ละประเภทให้เหมาะสมกับโครงสร้างแต่ละจุด อาทิ เหล็กกล้าสำหรับจุดที่ต้องรับแรงบิดหรือกระแทก และใช้อลูมิเนียมที่เปลือกตัวถัง อาทิ ฝากระโปรง, แก้ม, ประตู, หลังคา ฝาท้าย เป็นต้น เพื่อลดน้ำหนักในจุดที่มีระดับแรงเครียดต่ำ
แม้เป็น SUV แต่ Porsche ก็ไม่ละเลยเรื่องการทำความเร็ว มีการใส่ใจเรื่องแอโรไดนามิกส์รอบคัน เริ่มจากช่องรับอากาศฝั่งซ้ายและขวาของกันชนหน้า ใช้บานเกล็ดแบบแอคทีฟที่ทำงานแยกอิสระแต่ละฝั่ง โดยปิดทั้งหมดเพื่อลดแรงต้านอากาศและเปิดเฉพาะขณะต้องการรับอากาศไประบายความร้อนให้กับรังผึ้งเท่านั้น ใต้ท้องรถปิดเรียบเกือบเต็มพื้นที่เพื่อควบคุมการไหลของอากาศให้เป็นระเบียบไปตลอดทางจนถึงดิฟฟิวเซอร์ที่ใต้กันชนหลัง ช่วยเพิ่มแรงดูดให้เรากดติดกับถนนได้มากยิ่งขึ้น บนฝาท้ายมาพร้อมกับ Lip Spoiler เพื่อเสริมแรงกดขณะความเร็วต่ำถึงกลาง และตัวแผง Spoiler หลัก (ชิ้นที่เป็นสีตัวถัง) จะยกตัวขึ้นเมื่อความเร็วมากกว่า 160 กม./ชม. และสามารถปรับองศาได้เองอัตโนมัติตามสถานการณ์
ชุดไฟท้ายที่คาดยาวเต็มความกว้างของรถ ได้รับการปรับรูปแบบและเปลี่ยนมาใช้กระจกแบบเล่นระดับสามมิติ ร่วมด้วยอักษร ‘PORSCHE’ ที่แยกอิสระแต่ละอักษรและเป็นสามมิติเช่นกัน แต่ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ไฟหน้า HD-Matrix LED ซึ่งถูกนำมาใช้ครั้งแรกของโลกใน Cayenne และในไทย AAS ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้วย!!! (ออปชั่นในตลาดต่างประเทศ) นี่คือระบบส่องสว่างที่ล้ำหน้าไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการสร้างและปรับเปลี่ยนรูปแบบการส่องสว่างได้แทบจะไร้ขีดจำกัด สิ่งนี้เป็นจริงได้จากการใช้ชิพซึ่งมีขนาดเล็กเพียง 12.8 x 3.2 มม. ที่บรรจุ Micro-LED ไว้มากถึง 16,384 พิกเซล ควบคุมการทำงานด้วยโมดูลซึ่งทำงานได้เทียบเท่า “การ์ดจอ” แรงๆ ของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ! ไฟหน้าแต่ละข้างติดตั้งชิพดังกล่าว 2 ชุด ใช้เลนส์ชนิดพิเศษแบบ HD ซึ่งแบ่งเป็น 2 โมดูลคือ ชุดเลนส์ ‘Illumination’ ให้แสงในแนวกว้าง 40 องศา และแนวสูง 10 องศา ส่วนชุดเลนส์ ‘Performance’ เป็นเลนส์ Telephoto (ระยะไกล) ให้แสงกว้าง 20 องศา และสูง 5 องศา โดยลำแสงของทั้งสองโมดูลจะเหลื่อมทับกันบริเวณกึ่งกลางเพื่อเพิ่มความเข้มของแสงขณะขับขี่ ทั้งสองเลนส์ติดตั้งคู่กันที่ด้านล่างของโคม ขณะที่คู่บนทำหน้าที่เสริมความสว่างและเป็นไฟสูง ซึ่งจะเพิ่มความสว่างรวมขึ้นจาก 1,400 เป็น 2,500 ลูเมน และส่องสว่างได้ไกลกว่า 600 เมตร และสามารถปรับรูปแบบแสงเพื่อหลบรถที่สวนมา (และคันหน้า) โดยปิดบางดวง แต่ที่พิเศษคือ ระบบจะถ่ายพลังงานจากดวงที่ไม่ได้ใช้ ไปเพิ่มความสว่างให้ดวงอื่นๆ ที่เหลือ เพื่อรักษาความเข้มของแสงให้คงที่ นอกจากนั้น เมื่อระบบตรวจจับได้ว่ากำลังขับขี่ในเขตก่อสร้างหรือถนนคอขวด มันจะปรับความกว้างแสงให้เท่ากับความกว้างของรถ (รวมกระจกมองข้าง) เพื่อไกด์ให้ผู้ขับแน่ใจว่า ด้านข้างรถจะไม่เข้าขอบทางหรือวัตถุจนเกินไป
ระบบขับเคลื่อนไฮบริดประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 353 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ (ติดตั้งรวมอยู่ในชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ) ที่ปรับปรุงชุดคอยล์, แม่เหล็ก และเพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้กับตัวแปลงกระแสไฟ จนได้พลังเพิ่มขึ้น 30 กิโลวัตต์ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ กลายเป็น 130 กิโลวัตต์ หรือ 176 แรงม้า และได้แรงบิดเพิ่มขึ้น 60 นิวตันเมตร รวมเป็น 460 นิวตันเมตร เมื่อทั้งสองแหล่งพลังงานทำงานพร้อมกัน จะได้กำลังรวม 519 แรงม้า และ 750 นิวตันเมตร ส่งน้ำหนักร่วม 2.5 ตันของรถ จากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ใน 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่ 263 กม./ชม.
แบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน ขนาด 25.9 kWh ติดตั้งไว้บริเวณพื้นใต้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ รองรับชาร์จเจอร์ 11 kW (เทียบกับ 7 kW ในรุ่นที่แล้ว) จึงสามารถชาร์จให้เต็มความจุได้ในเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที Cayenne S E-Hybrid วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ราว 88 กม. (NEDC) และทำความเร็วสูงสุดที่ 135 กม./ชม. นอกจากนั้น ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ยังส่งให้ประสิทธิภาพการรีเจนฯ เพิ่มขึ้นถึง 30% โดยสามารถแปลงกำลังได้สูงสุดที่ 88 kW กลับไปเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งคืนให้กับแบตเตอรี่ และยังสร้างแรงต้านกลับ (เหมือนใช้ Engine Brake ในกรณีของเครื่องยนต์) จนลดความเร็วลงสู่ 2 กม./ชม. ได้อีกด้วย เทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ที่ลดได้ถึงเพียง 14 กม./ชม.
ชุดเกียร์ Tiptronic S แบบ 8 จังหวะ ทำหน้าที่ส่งกำลังต่อไปยังระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ในรุ่นปี 2024 คันเกียร์ย้ายมาไว้ที่แดชบอร์ดแบบเดียวกับที่เห็นใน Taycan รถไฟฟ้าที่เราคลั่งไคล้ มาพร้อมโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ โดยปรับค่าระดับการชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตราสิ้นเปลืองที่ดียิ่งขึ้น ทว่าไม่กระทบต่อสมรรถนะของรถ กล่าวคือ ในโหมด Sport เครื่องยนต์จะชาร์จขั้นต่ำที่ 20% (30% ในรุ่นก่อนหน้านี้) และลดเหลือเพียง 30% ในโหมด Sport Plus (80% ในรุ่นก่อนหน้านี้) ขณะที่โหมด E-Charge (ต้องเข้าไปเลือกใน Setting) ที่ใช้เครื่องยนต์ในการชาร์จไฟให้แบตเตอรี่ ก็ปรับตรรกะการทำงานใหม่เช่นกัน โดยเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 55 กม./ชม. รถจะเข้าสู่โหมด Hybrid เพื่อแบ่งกันทำงานทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยรักษาระดับการชาร์จกลับให้คงที่อยู่ตลอดเวลา และจะหยุดการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่อเนื่อง (นอกเมือง, เดินทางไกล) โดยให้เครื่องยนต์ทำงานเพียงลำพังและใช้ชาร์จไฟไปด้วยพร้อมๆ กัน เพื่อเก็บพลังจากแบตเตอรี่ไว้ใช้ขับขี่แบบไฟฟ้าล้วนอีกครั้งในเมือง
ช่วงล่างถุงลมแบบ Adaptive ใช้ถุงลมที่มีห้องเก็บอากาศ 2 ห้อง ที่สามารถเชื่อมต่อและแยกจากกันได้ผ่านวาล์วควบคุม ด้วยรูปแบบนี้ส่งให้สามารถปรับค่าความเป็นสปริง (ความแข็ง) ได้กว้างยิ่งขึ้น ทำงานร่วมกับแดมเปอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่แบบ 2 วาล์ว แยกกันอิสระระหว่างการยุบและยืดตัว ควบคุมด้วยระบบ PASM (Porsche Active Suspension Management) ผลลัพธ์คือความนุ่มนวลเหนือชั้นขณะขับขี่ทั่วไป และคุณจะสัมผัสได้ถึงความเฟิร์มเมื่อปรับสู่โหมด Sport หรือ Sport Plus ช่วยลดการโคลงตัวได้ยอดเยี่ยมขณะเข้าโค้ง ติดตั้งล้อขนาด 20 นิ้ว มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และสามารถสั่งติดตั้งได้ถึงขนาด 22 นิ้ว
ระบบเบรกใช้คาลิเปอร์ 6 ลูกสูบ ที่ล้อคู่หน้า และ 4 ลูกสูบสำหรับล้อหลัง ให้พลังเบรกเหลือเฟือและเป็นธรรมชาติ ด้วยการใช้ระบบเพิ่มแรงเบรกควบคุมด้วยไฟฟ้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ จึงให้สัมผัสขณะเหยียบเบรกที่ไร้รอยต่อระหว่างการรีเจนฯ และการเบรกด้วยคาลิเปอร์ นอกจากนั้น ระบบควบคุมการเบรกยังนำข้อมูลของอุณหภูมิยางมาประมวลผลร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้ระบบ ABS รวมไปถึงการรีเจนฯ มีประสิทธิภาพการทำงานดียิ่งขึ้นอีกด้วย
Cayenne รุ่นปี 2024 ปรับปรุงระบบช่วยเหลือขณะขับขี่ให้มีศักยภาพสูงขึ้น ด้วยการเพิ่มฟังก์ใหม่ๆ เข้าไป หนึ่งในนั้นคือฟังก์ชั่น ‘Evasion Assist’ ซึ่งจะช่วยหักหลบพาหนะคันข้างหน้าในสถานการณ์คับขัน เช่น เมื่อรถคันหน้าเบรกกะทันหัน และผู้ขับหมุนพวงมาลัยเพื่อหักหลบ ระบบจะตรวจจับได้และเริ่มทำการช่วยเหลือโดยตรวจหาเลนข้างๆ (หรือพื้นที่โล่ง) จากนั้นควบคุมพวงมาลัยร่วมกับการเลือกเบรกบางล้อ เพื่อบังคับให้รถเบี่ยงหลบไปยังเลนที่เลือกไว้อัตโนมัติ โดยในกรณีที่เป็นเลนสวน ระบบก็สามารถเบี่ยงหลบโดยไม่ให้รถออกนอกเลนได้อีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีฟังก์ชั่น ‘Turn Assist’ ซึ่งทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. เมื่อผู้ขับต้องการเลี้ยวขวาโดยต้องข้ามเลนที่มีรถสวนมา ระบบจะช่วยเบรกจนหยุดนิ่งอัตโนมัติหากพบว่าอาจเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ในขณะที่ฟังก์ชั่น ‘Lane Keeping’ ซึ่งรวมอยู่ในระบบ InnoDrive ถูกพัฒนาให้สามารถควบคุมพวงมาลัย (ให้อยู่ในเลน) อัตโนมัติได้ในสภาพการจราจรเคลื่อนตัวสลับหยุดนิ่ง และนอกจากใช้การตรวจจับเส้นแบ่งเลนแล้ว ในเวอร์ชั่นอัพเกรดล่าสุด หากระบบจับเส้นแบ่งเลนไม่ได้ ยังสามารถกำหนดทิศทางของรถได้จากการตรวจจับ (ขับตาม) รถคันหน้าได้อีกด้วย
ห้องโดยสารปรับปรุงใหม่หมด นับเป็นครั้งแรกที่ดีไซน์ทิศทางเดียวกับ Taycan ถูกนำมาใช้กับรถเครื่องยนต์สันดาป (และไฮบริด) ของ Porsche และ Cayenne คือรถคันนั้น เกือบทุกฟังก์ชั่นถูกรวบรวมมาไว้บนจอแสดงผลส่วนกลาง ในขณะที่คันเกียร์ซึ่งย้ายไปอยู่บนแดชบอร์ด เปิดทางให้สามารถใช้ช่องแอร์ขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณคอนโซลกลางได้ นอกจากนี้ ด้วยแดชบอร์ดดีไซน์เดียวกับ Taycan ยังหมายถึงคุณสามารถสั่งติดตั้งจอแสดงผลสำหรับผู้นั่งเพิ่มเติมได้อีกด้วย ที่น่าสนใจก็คือการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นออปชั่นที่ต้องจ่ายเพิ่ม มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานหลากหลายรายการ อาทิ แพคเกจ ‘Smoking’, แป้นเหยียบแบบสแตนเลส, แพคเกจ ‘Sport Chrono’ และอื่นๆ อีกยาวเป็นหางว่าว
เปลี่ยนจากมาตรวัดทรงกลมแบบแยกชิ้น 5 ช่อง มาเป็นจอดิจิตอลเต็มระบบ หน้าจอทรงโค้งติดตั้งแบบลอยตัวมีขนาด 12.6 นิ้ว ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลได้หลากหลายและง่ายดายผ่านปุ่มกดและปุ่มหมุนฝั่งขวาบนพวงมาลัย ข่าวดีก็คือ Porsche ใส่การแสดงผลแบบมาตรวัด 5 ชิ้นซ้อนกัน เหมือนแบบอนาล็อกก่อนหน้านี้ไว้ให้ด้วย… เผื่อคุณคิดถึงวันเก่าๆ น่ะ
จอแสดงผลส่วนกลางขนาด 12.3 นิ้ว ระบบสัมผัส คือศูนย์กลางของระบบ PCM (Porsche Communication Management) นั่นหมายถึง ทุกฟังก์ชั่นถูกรวบรวมไว้ในนี้ทั้งหมด รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ทั้งยังเชื่อมต่อ (แบบไร้สาย) สมาร์ตโฟนกับรถได้ง่ายและรวดเร็วเพียงสแกน QR Code บนจอแสดงผล นับเป็นโซลูชั่นง่ายๆ แต่ชาญฉลาดมาก ระบบชาร์จไร้สายพร้อมระบบทำความเย็นให้โทรศัพท์ช่วยให้สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 15 วัตต์ได้ ร่วมด้วยช่อง USB Type C สำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง นอกจากนั้น ยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ ‘In-car Video’ ที่ช่วยให้รับชมวิดีโอได้จากหน้าจอโดยตรง ผ่านผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง ‘Screenhits TV’ แต่เฉพาะในขณะที่รถจอดอยู่กับที่เท่านั้น นอกจากคุณสั่งติดตั้งหน้าจอเสริมสำหรับฝั่งผู้นั่งด้านหน้า ซึ่งนอกจากจะเล่นวิดีโอขณะรถเคลื่อนที่ได้ (เฉพาะจอนี้เท่านั้น) จากการใช้ฟิล์มพิเศษที่ป้องกันไม่ให้ผู้ขับมองเห็นการแสดงผลบนหน้าจอได้ ผู้นั่งยังสามารถควบคุมฟังก์ชั่นอื่นๆ เช่น ระบบนำทาง ได้ และยังเรียกดูข้อมูลเฟอร์ฟอร์มานซ์ต่างๆ เช่น ความเร็ว, โหมดการขับขี่, G-Force ได้อีกด้วย… ติดตั้งชุดเครื่องเสียง Bose ซึ่งมาพร้อมกับกำลังขับ 710 วัตต์ และลำโพง 14 ตัว บวกด้วยซับวูฟเฟอร์ มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (ออปชั่นในตลาดต่างประเทศ)… คุ้มค่าจริงๆ
ระบบปรับอากาศเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมช่องแอร์ดีไซน์ใหม่แนวตั้ง และซ่อนครีบบังคับทิศทางลมไว้ด้านใน จึงเห็นเพียงสันแนวตั้งเท่านั้น คุณสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ง่ายดายขณะขับขี่ ต้องขอบคุณคอนโซลกลางดีไซน์ใหม่ที่ไม่มีคันเกียร์อีกต่อไป จึงจัดวางจอแสดงข้อมูลและปุ่มระบบสัมผัสพร้อมการตอบสนองแบบ Haptic ร่วมด้วยสวิตช์คันโยกแบบดั้งเดิมที่ใช้งานได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ที่สำคัญคือระบบรักษาคุณภาพอากาศและเซนเซอร์ตรวจจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่จะวัดค่าฝุ่นทั้งภายนอกและในห้องโดยสารตลอดเวลา หากพบว่าคุณภาพอากาศลดลง ระบบจะเปิดใช้งานการหมุนเวียนอากาศ พร้อมกับทำความสะอาดอากาศโดยส่งผ่านตัวกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กหลายๆ ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ระบบปรับคุณภาพอากาศยังทำงานร่วมกับ GPS โดยจะเปิดระบบหมุนเวียนอากาศล่วงหน้าหากพบว่ารถกำลังวิ่งเข้าอุโมงค์ เพื่อป้องกันกลิ่นและควันไอเสียที่อาจสะสมอยู่ในอุโมงค์ไม่ให้เข้าไปในห้องโดยสาร
เบาะนั่งรุ่น Comfort ปรับได้มากถึง 14 ทิศทาง Cayenne ตัวถังสีเงินและสีขาวเหมือนคันทดสอบของเรา ตกแต่งด้วยสีดำทั่วห้องโดยสาร ส่วนตัวถังสีดำจะได้ภายในสีดำสลับแดง พื้นที่รอบตัวเหลือเฟือทุกที่นั่ง และยังให้ความรู้สึกโปร่งโล่งยิ่งขึ้นด้วยหลังคากระจก Panoramic ที่ต้องจ่ายเพิ่มในตลาดต่างประเทศ แต่ AAS ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเช่นกัน
SPECIFICATIONS: PORSCHE CAYENNE S E-HYBRID
- Price: ฿6,290,000
- Powertrain: 2995cc turbocharged V6 plus e-motor, 519ps, 750Nm (total system output)
- Transmission: 8-speed Tiptronic S, All-wheel drive
- Performance: 4.7sec 0-100km/h, 263km/h top speed, 88km electric-only range (NEDC)
- Weight: 2440kg
TorqueThailand.com
