มร. โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ปี 2564 ถือเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจและสังคมไทยเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตาม จากความมุ่งมั่นพยายามของภาครัฐและบุคลากรทางการแพทย์ เราเชื่อว่าสถานการณ์กำลังจะก้าวเข้าสู่ภาวะคลี่คลาย ในส่วนของโตโยต้า เรายังคงเดินหน้าให้การสนับสนุนผ่านโครงการ ‘โตโยต้าเคียงคู่ไทย สู้ภัยโควิด-19’
โดยผนึกกำลังความร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายและผู้ผลิตชิ้นส่วนทั่วประเทศในการมอบรถยนต์ โตโยต้าและสิ่งของจำเป็นให้กับหน่วยงานราชการและบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเรามุ่งหวังที่จะก้าวข้ามผ่านความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกัน”
โตโยต้ากับกลยุทธ์ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
มร. ยามาชิตะ เผยว่า “ก่อนอื่นผมขอเล่าให้ฟังถึงกลยุทธ์ของโตโยต้าในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าโตโยต้ามุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้สำเร็จภายในปี 2593 โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 คุณอากิโอะ โตโยดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศไว้ว่าโตโยต้ามีกลยุทธ์มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกลยุทธ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ ท่านได้ประกาศไว้ว่าโตโยต้าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ครบทั้ง 30 รุ่น ภายในปี 2573 โดยรวมไปถึงรถซีรีส์ bZ จำนวน 5 โมเดล ซึ่งมาพร้อมกับแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่โดยเฉพาะ โตโยต้ามุ่งมั่นที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ให้ได้ทั้งสิ้น 3.5 ล้านคัน
ภายในปี 2573 ทั้งนี้ โตโยต้าทุ่มเงินลงทุน 1.2 ล้านล้านบาทเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ โดยที่เงิน 0.6 ล้านล้านบาทนั้นเป็นการลงทุนด้านแบตเตอรี่ และยังลงทุนอีก 1.2 ล้านล้านบาท สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง ภายในปี 2573”
“เรายังเชื่อมั่นว่าหากเราสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้สำเร็จ ก็แปลว่าเราได้สร้างโลกใบที่ทุกคนที่อาศัยอยู่นั้นสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข เราอยากมีส่วนช่วยสร้างโลกแบบนั้นให้เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม เราอาศัยอยู่บนโลกที่มีความแตกต่างหลากหลาย
อีกทั้งยังอยู่ในยุคสมัยที่คาดเดาอนาคตได้ยาก ดังนั้นการตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนให้ได้อย่างครบถ้วนด้วยตัวเลือกที่มีเพียงหนึ่งเดียวนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โตโยต้าจึงมุ่งเตรียมความพร้อมเพื่อนำเสนอตัวเลือกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลก
ด้วยแนวทางนี้ทำให้โตโยต้าสามารถบรรลุเป้าหมายของเราในการสร้าง ‘รถยนต์ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยคาร์บอน’ และสอดคล้องกับจุดยืนในการสร้างสรรค์ ‘การขับเคลื่อนสำหรับทุกคน’ และ ‘ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’”
มร. ยามาชิตะ กล่าวว่า “ในประเทศไทยนั้น โตโยต้าเป็นผู้ริเริ่มแนะนำเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2552 โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 80% และมีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เราสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปได้ 148,000 ตัน ซึ่งเท่ากับการปลูกต้นไม้ 2 ล้านต้น
อีกทั้งในปีที่แล้ว เรายังได้ทำการแนะนำ เลกซัส UX300e ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และ เลกซัส NX450h+ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด สำหรับแบรนด์โตโยต้า เรามีแผนที่จะทำการแนะนำ bZ4X ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของซีรีส์ bZ ออกสู่ตลาดภายในปีนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เราจะพยายามส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลากหลายรุ่นต่อไปในอนาคต ซึ่งความมุ่งมั่นดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐที่มุ่งเดินหน้าส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้า การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ตลอดจนการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์
นอกจากนี้ เรายังได้มีการประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อพยายามผลักดันการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยครอบคลุม ‘ตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์’ ยกตัวอย่างเช่น ‘โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนโดยปราศจากมลภาวะ’
ซึ่งเราจะสาธิตให้เห็นถึงการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายประเภทในการเดินทางคมนาคม ภายในเมืองพัทยา และเราได้เริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ในการริเริ่มใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพ ใน ‘นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด’ อีกด้วย”
สถิติการขายรถยนต์ในปี 2564
มร. ยามาชิตะ กล่าวว่า “อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าปี 2564 เป็นปีที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเกิดปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต เช่น ปัญหาชิปขาดตลาด ด้วยเหตุนี้ ยอดขายรวมภายในประเทศจึงอยู่ที่ราว 759,119 คัน หรือลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2563”
สถิติการขายรถยนต์ในปี 2564 |
ยอดขายปี 2564 |
การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2563 |
ปริมาณการขายรวม |
759,119 คัน |
– 4.2% |
รถยนต์นั่ง |
251,800 คัน |
-8.4% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
507,319 คัน |
-1.9% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
393,476 คัน |
-3.9% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
341,452 คัน |
-6.4% |
มร. ยามาชิตะ เผยถึงยอดขายของโตโยต้าในปีที่ผ่านมาว่า “สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2564 นั้น ยอดขายรวมของเราอยู่ที่ประมาณ 239,723 คัน หรือลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเรายังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 31.6% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด
ซึ่งหากว่ากันตามตรง ถือว่าต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แต่ถ้าเราดูยอดขายของปีที่แล้วจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ของเราเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา สืบเนื่องมาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ เช่น
การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ถ้าเราลองดูที่ยอดขายของโตโยต้าในระหว่างช่วงไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 4 จะเห็นได้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของเราอยู่ที่ 32.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไกล้เคียงกับในปี 2562 หรือช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะระบาด
โดยในส่วนของยอดขายของไฮลักซ์ รีโว่ นั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 39.1% ซึ่งสูงกว่าของปี 2562 ในขณะที่ เอทีฟ และ ยาริส นั้น ก็สามารถครองอันดับ 1 ในตลาดรถ อีโคคาร์”
“ในส่วนของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ โตโยต้ามียอดขายรวมทั้งปีเป็นอันดับ 1 ถึง 2 ปีซ้อน ด้วยยอดขายที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโคโรลลา ครอส ส่วนฟอร์จูนเนอร์เองก็มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะดัดแปลงต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปี ในขณะเดียวกัน คัมรี
ก็ครองอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์ขนาดกลาง ส่วนไฮเอซก็ครองอันดับ 1 ตลอดกาลเช่นกันสำหรับในตลาดรถตู้ ซึ่งเราขอแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าคนสำคัญและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้สนับสนุนเราเป็นอย่างดีเสมอมา”
สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2564 |
ยอดขายปี 2564 |
การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2563 |
ส่วนแบ่งตลาด |
ปริมาณการขายโตโยต้า |
239,723 คัน |
-1.9% |
31.6% |
รถยนต์นั่ง |
62,403 คัน |
-8.4% |
24.8% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
177,320 คัน |
+0.7% |
35.0% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
151,501 คัน |
+1.2% |
38.5% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
128,639 คัน |
-1.0% |
37.7% |
แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2565
มร. ยามาชิตะ กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2565 ว่า “เป็นไปได้ว่าโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อย่างไรก็ดี เราคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด
นอกจากนี้ ประชาชนเองก็เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ให้ได้อย่างปลอดภัยแล้ว ส่วนปัญหาชิ้นส่วนการผลิตขาดตลาดก็จะค่อยๆ คลี่คลายลงเช่นกัน เราคาดหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับคืนสู่สภาวะปกติและคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2565 จะอยู่ที่ 860,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว”
ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2565 |
ยอดขายประมาณการปี 2565 |
เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2564 |
ปริมาณการขายรวม |
860,000 คัน |
+ 13.3% |
รถยนต์นั่ง |
292,500 คัน |
+ 16.2% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
567,500 คัน |
+ 11.9% |
มร. ยามาชิตะ กล่าวเสริมว่า “สำหรับโตโยต้า เราตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 284,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 18.5% โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 33%”
ประมาณการยอดขายรถยนต์ โตโยต้าในปี 2565 |
ยอดขายประมาณการปี 2565 |
เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2564 |
ส่วนแบ่งตลาด |
ปริมาณการขายโตโยต้า |
284,000 คัน |
+ 18.5% |
33.0% |
รถยนต์นั่ง |
81,000 คัน |
+ 29.8% |
27.7% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
203,000 คัน |
+ 14.5% |
35.8% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
175,932 คัน |
+ 16.1% |
40.6% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
149,000 คัน |
+ 15.8% |
39.8% |
ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2564
“ในด้านการส่งออกรถยนต์ ในปี 2564 โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปราว 292,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 35.5% จากปี 2563 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกในปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 514,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 16.1% จากปี 2563”
ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของ โตโยต้าในปี 2564 |
ปริมาณในปี 2564 |
เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2563 |
ปริมาณการส่งออก |
292,000 คัน |
+ 35.5% |
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ |
514,000 คัน |
+ 16.1% |
เป้าหมายการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2565
“สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ เราคาดว่าความต้องการของตลาดต่างประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเราตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 371,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 27.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเราตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2565 อยู่ที่ ราว 647,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 25.9% จากปีที่ผ่านมา”
เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของโตโยต้าปี 2565 |
ปริมาณในปี 2565 |
เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2564 |
ปริมาณการส่งออก |
371,000 คัน |
+ 27.2% |
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ |
647,000 คัน |
+ 25.9% |
ทิศทางการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในประเทศไทย
มร.ยามาชิตะ กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในประเทศไทยว่า “ปีนี้เป็นปีที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาครบ 60 ปี และเรากำลังเตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่อนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น พร้อมปรับเปลี่ยนตัวเราเองสู่การ ‘เป็นผู้นำพาการขับเคลื่อนยุคใหม่เพื่อเสริมสร้างความสุขของผู้คน และความยั่งยืนของสังคม’
เราขอให้คำมั่นว่าจะมอบความสุขให้กับประชาชนชาวไทยและ ‘เติบโตเคียงคู่ไปกับสังคมไทย’ ผ่านการนำเสนอยานยนต์เพื่อการขับเคลื่อน ตลอดจนบริการและโซลูชั่นส์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนด้วยเช่นกัน โดยเราได้ออกแบบโลโก้ฉลองครบรอบ 60 ปีที่มาพร้อมกับแท็กไลน์ ‘Move Your World’
หรือในภาษาไทยคือ ‘ร่วมขับเคลื่อนอนาคต’ เพื่อสะท้อน ‘พลังและการขับเคลื่อนไปข้างหน้า’ แสดงให้เห็นว่าในอนาคต โตโยต้าจะนำเสนอยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนสร้างสรรค์เทคโนโลยีการเชื่อมต่อเพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ”
“ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งเสริมความสุขที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย เรายังจะร่วมเสริมสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โตโยต้าจะเดินหน้าผลักดันภารกิจของเราในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่
‘ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน’ ผ่านการดำเนินงานหลักในด้านต่างๆ ภายใต้กรอบของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งหมดนี้เราอยากขอแสดงความขอบคุณจากใจจริงอีกครั้งต่อภาครัฐ ลูกค้าผู้มีอุปการคุณ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้สนับสนุนเราอย่างดีตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา” มร. ยามาชิตะ กล่าวในท้ายที่สุด
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนธันวาคม 2564
1.) ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 91,010 คัน ลดลง 12.6%
อันดับที่ 1 โตโยต้า | 27,150 คัน | ลดลง 18.2% | ส่วนแบ่งตลาด 29.8% |
อันดับที่ 2 อีซูซุ | 18,801 คัน | ลดลง 18.0% | ส่วนแบ่งตลาด 20.7% |
อันดับที่ 3 ฮอนด้า | 11,556 คัน | เพิ่มขึ้น 14.7% | ส่วนแบ่งตลาด 12.7% |
2.) ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 31,917 คัน ลดลง 16.3%
อันดับที่ 1 ฮอนด้า | 8,763 คัน | เพิ่มขึ้น 4.6% | ส่วนแบ่งตลาด 27.5% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 7,347 คัน | ลดลง 16.6% | ส่วนแบ่งตลาด 23.0% |
อันดับที่ 3 ซูซูกิ | 2,776 คัน | ลดลง 14.8% | ส่วนแบ่งตลาด 8.7% |
3.) ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 59,093 คัน ลดลง 10.4%
อันดับที่ 1 โตโยต้า | 19,803 คัน | ลดลง 18.8% | ส่วนแบ่งตลาด 33.5% |
อันดับที่ 2 อีซูซุ | 18,801 คัน | ลดลง 18.0% | ส่วนแบ่งตลาด 31.8% |
อันดับที่ 3 ฟอร์ด | 4,117 คัน | ลดลง 10.4% | ส่วนแบ่งตลาด 7.0% |
4.) ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)
ปริมาณการขาย 42,785 คัน ลดลง 16.9%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 16,908 คัน | ลดลง 21.6% | ส่วนแบ่งตลาด 39.5% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 16,733 คัน | ลดลง 16.8% | ส่วนแบ่งตลาด 39.1% |
อันดับที่ 3 ฟอร์ด | 4,117 คัน | ลดลง 10.4% | ส่วนแบ่งตลาด 9.6% |
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 6,280 คัน
โตโยต้า 2,459 คัน – อีซูซุ 1,990 คัน – มิตซูบิชิ 872 คัน – ฟอร์ด 707 คัน – นิสสัน 252 คัน
5.) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 36,505 คัน ลดลง 17%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 14,918 คัน | ลดลง 20.5% | ส่วนแบ่งตลาด 40.9% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 14,274 คัน | ลดลง 18.0% | ส่วนแบ่งตลาด 39.1% |
อันดับที่ 3 ฟอร์ด | 3,410 คัน | ลดลง 8.8% | ส่วนแบ่งตลาด 9.3% |
สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – ธันวาคม 2564
1.) ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 759,119 คัน ลดลง 4.2%
อันดับที่ 1 โตโยต้า | 239,723 คัน | ลดลง 1.9% | ส่วนแบ่งตลาด 31.6% |
อันดับที่ 2 อีซูซุ | 184,160 คัน | เพิ่มขึ้น 1.6% | ส่วนแบ่งตลาด 24.3% |
อันดับที่ 3 ฮอนด้า | 88,692 คัน | ลดลง 4.7% | ส่วนแบ่งตลาด 11.7% |
2.) ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 251,800 คัน ลดลง 8.4%
อันดับที่ 1 ฮอนด้า | 76,886 คัน | ลดลง 0.7% | ส่วนแบ่งตลาด 30.5% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 62,403 คัน | ลดลง 8.4% | ส่วนแบ่งตลาด 24.8% |
อันดับที่ 3 มาสด้า | 19,800 คัน | ลดลง 20.3% | ส่วนแบ่งตลาด 7.9% |
3.) ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 507,319 คัน ลดลง 1.9%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 184,160 คัน | เพิ่มขึ้น 1.6% | ส่วนแบ่งตลาด 36.3% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 177,320 คัน | เพิ่มขึ้น 0.7% | ส่วนแบ่งตลาด 35.0% |
อันดับที่ 3 ฟอร์ด | 32,329 คัน | เพิ่มขึ้น 8.3% | ส่วนแบ่งตลาด 6.4% |
4.) ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)
ปริมาณการขาย 393,476 คัน ลดลง 3.9%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 167,180 คัน | ลดลง 0.8% | ส่วนแบ่งตลาด 42.5% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 151,501 คัน | เพิ่มขึ้น 1.2% | ส่วนแบ่งตลาด 38.5% |
อันดับที่ 3 ฟอร์ด | 32,329 คัน | เพิ่มขึ้น 8.3% | ส่วนแบ่งตลาด 8.2% |
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 52,024 คัน
โตโยต้า 22,862 คัน – อีซูซุ 16,439 คัน – มิตซูบิชิ 6,619 คัน – ฟอร์ด 5,025 คัน – นิสสัน 1,079 คัน
5.) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 341,452 คัน ลดลง 6.4%
อันดับที่ 1 อีซูซุ | 150,741 คัน | ลดลง 6.0% | ส่วนแบ่งตลาด 44.1% |
อันดับที่ 2 โตโยต้า | 128,639 คัน | ลดลง 1.0% | ส่วนแบ่งตลาด 37.7% |
อันดับที่ 3 ฟอร์ด | 27,304 คัน | เพิ่มขึ้น 11.4% | ส่วนแบ่งตลาด 8.0% |
ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่
- https://www.toyota.co.th/
- Facebook: Toyota Motor Thailand
- LINE ID: @ToyotaThailand