รีวิว ทดสอบ All New MG5 ขุมพลังที่อัพเกรดขึ้นใหม่ บนพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ให้พละกำลัง 114 แรงม้า รุ่นท็อปราคา 689,000 บาท
รีวิว ทดสอบ All New MG5 ดีไซน์สปอร์ตคูเป้ 114 แรงม้า ราคา 689,000 บาท
All New MG5
“New MG5 มากับความ “เจ๋ง” มากๆ ตั้งแต่แรกเห็น โดยเฉพาะในเรื่องของงานดีไซน์อันเร้าใจ … ซึ่งอาจจะมี “จุดด้อย” นิดๆ หากนำไปเทียบกับเทียบกับเรื่อง “สมรรถนะ” … เพราะงั้น “เปลี่ยน” สไตล์การขับ หรือ “รอ” รุ่นเทอร์โบ อาจจะเป็นทางเลือกที่เข้าท่า
คงไม่มีใครเถียงว่าการกลับมาของ New MG5 ในครั้งนี้ ช่าง “ต่างกัน” เหลือกันกับเจเนอเรชั่นแรก หากยังจำกันได้ โดยเฉพาะในเรื่องของรูปลักษณ์ที่บอกได้เลยว่าใครเห็นเป็นต้องหลงใหลในความโฉบเฉี่ยว และเฉียบคมของเส้นสายที่นำเสนอบนเรือนร่างของตัวถัง Sedan
ราวกับว่าเป็นการแฝงนัยยะบางอย่าง เช่น ความก้าวหน้าเรื่องแนวคิด Brit Dynamic ที่ต่อยอดมาถึงเรื่องสไตล์การออกแบบ จนเราอยากให้เป็นบรรทัดฐานให้กับทุกรุ่นของ MG เลยทีเดียว
นอกจากเรื่องงานดีไซน์แล้ว การเลือกใช้โทนสียังถือเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจสำคัญในการสร้างความสะดุดตา เพื่อขับเน้นรายละเอียดยิบย่อยรอบคันบนตัวรถให้โดดเด่นขึ้นไปอีกขั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทนสีเหลือง Nuclear Yellow ที่ใครเห็นเป็นต้องเหลียวหลัง ซึ่งนั่นก็ถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เราหยิบยืมมาลองสัมผัสเช่นกัน ก่อนจะ “อกหัก” เพราะได้สีขาว Arctic White มาแทน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อมองจากโดยรวมแล้ว ก็ยังพูดได้ว่า “ไม่ผิดหวัง” แม้ความ “เปรี้ยวซ่าส์” จากโทนสีเหลือง Nuclear Yellow จะถูกเปลี่ยนไปเป็นความเรียบหรูของสีขาว Arctic White ก็ตาม เนื่องจากท้ายที่สุดหากมองลึกๆ แล้ว
“ความสปอร์ต” คือ สิ่งที่ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนไม่ต่างกัน รวมไปถึง “ออปชัน” มาตรฐานภายนอกที่ถูกคัดสรรมาให้แล้วอย่างลงตัว สำหรับรุ่นย่อย “X” ที่อยู่ในลำดับท็อปสุดของสาย
โดยที่เห็นกันอย่างเด่นชัดก็ว่ากันตั้งแต่ ชุดกระจังหน้าแบบ 3 มิติ Digital Burning Grille ที่ประกบด้วยไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน Daytime Running Lights กับด้านล่างที่ดุดันจากช่องดักอากาศขนาดใหญ่บนกันชน ต่อเนื่องยังด้านข้างที่ให้อารมณ์สปอร์ตผ่านเส้นสายแนวหลังคาสไตล์ Coupe
นำสายตาสู่มุมมองด้านหลังอันสะดุดตาด้วยชุดไฟท้ายแบบ LED ในดีไซน์ Leopard Claw รับกับไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED และปลายท่อไอเสียแบบโครเมียม 2 ตำแหน่ง ก่อนจะปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว แบบ 5 ก้าน และหลังคาซันรูฟ (Sunroof) บานใหญ่บนหลังคา
ใช่ว่าจะมีแต่ภายนอกเท่านั้นที่สร้างความน่าประทับใจ หากแต่ภายในห้องโดยสารก็ยังเป็นอีกจุดเด่น ซึ่งประกอบด้วยสไตล์ระดับไฮไลท์ ทั้งจากชุดคอนโซลกลาง Driver-Focus Cockpit พร้อมแผงคอนโซลแบบ 3D Diamond Design รับกับเบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้มหนัง
และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรง D-Shape ที่ดูด้วย “ตา” อาจไม่เข้าใจ แนะนำว่าให้ลองประทับร่างลงไป และปรับตำแหน่งให้เหมาะสม คุณจะพบว่ามันช่างเหมาะเจาะกับสรีระ และชวนให้ลองใช้สมรรถนะของ New MG5 ในทุกเมื่อที่มีโอกาส
ส่วนออปชันมาตรฐานที่จัดมาให้ก็ถือว่า “พอเพียง” สำหรับตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ เช่น หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว, หน้าจอความบันเทิงแบบ Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว ที่รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ไปจนถึง
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และระบบกรองอากาศระดับ PM 2.5 และขาดไม่ได้เลยก็คือ ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ที่พัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้การใช้ชีวิต “ง่ายขึ้น”
เพราะประกอบด้วย 3 หมวดหมู่หลักๆ คือ ฟังก์ชันระบบสั่งการอัจฉริยะ (Smart Command) ที่จะทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Digital Key ที่ไม่เพียงแค่สั่งการเปิด-ปิด และสตาร์ทรถเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งกุญแจ Digital Key ให้กับผู้อื่น เพื่อเปิดใช้งานรถยนต์ผ่านแอพพลิเคชั่น i-SMART ได้ด้วย
ต่อมา คือ ฟังก์ชันระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Smart Connect) สำหรับสร้างความเพลิดเพลินในโลกออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบันเทิง หรือแม้กระทั่งเรื่องของการจราจร และสุดท้ายกับฟังก์ชันระบบตรวจเช็คอัจฉริยะ (Smart Check) ที่เจ้ารถของสามารถตรวจสอบสถานะต่างๆ ได้จากบนสมาร์ทโฟน เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจ และปลอดภัยมากขึ้น
เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยที่ยังคงไว้วางใจได้ด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) และโปรแกรม Synchronized Protection System ที่ช่วยผสานการทำงานทุกระบบให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น บอกเลยว่ารายนามยาวเหยียด แทบจะไม่ด้อยกว่าแบรนด์ยุโรปเลยทีเดียว
สิ่งน่าสนใจของ New MG5 คือ ขุมพลังที่อัพเกรดขึ้นใหม่ บนพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมระบบ VTi-TECH ไร้ระบบอัดอากาศ ซึ่งให้เรี่ยวแรงมากกว่าเจเนอเรชันที่แล้วเป็น 114 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ขยับขึ้นไปเป็น 150 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT 8 สปีด
ตามด้วยชุดพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนี่ยน ควบคุมด้วยไฟฟ้า EPS และช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ขั่นบีม ที่ยังคงมากับการปรับเซ็ทในสไตล์ Euro Tuning Suspension พร้อมด้วยความมั่นใจจากดิสก์เบรก 4 ล้อ และเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
และทั้งหมดประกอบกันเป็นอรรถรสการขับขี่ที่ ถือได้ว่ายอดเยี่ยม และเหนือชั้นกว่าเจเนอเรชั่นแรกหลายระดับ ซึ่งหากใครความจำดี คงพอนึกออกถึงอารมณ์หนักๆ เกินตัวในหลายองค์ประกอบที่เกี่ยวกับการขับขี่
แต่บอกเลยว่าไม่ใช่กับ New MG5 ที่ผ่านการพัฒนามาเต็มระบบ และพบว่ามันเป็นอะไรที่ “กลมกล่อม” จนขับสนุกมากขึ้น ทั้งในย่านความเร็วต่ำ และความเร็วสูง
ไล่มาตั้งแต่การตอบสนองของพวงมาลัยที่ควบคุมได้ง่าย จากการแปรผันให้เหมาะสมกับระดับความเร็ว จนทำให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นเรื่องสบายๆ ในขณะที่เมื่อจุ่มคันเร่งลงไปเกินกว่า 2,000 รอบต่อนาที จะพบว่ามีความกระฉับกระเฉงที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้คุณได้รับรู้ถึงความสนุกในการขับขี่
เริ่มจากน้ำหนักพวงมาลัยที่แปรผันมาได้อย่างพอดิบพอดี ก่อนจะส่งไปที่ไปช่วงล่างที่ลงตัวมากขึ้น และทำเอาเราประทับใจได้มากกว่ายุคสมัยเจเนอเรชั่นแรกที่เน้นความแน่นหนักเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่เจเนอเรชั่นใหม่มีความประนีประนอม พร้อมปรับตัวให้เข้ากับทุกสภาพถนนมากขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าในความเร็วต่ำ หรือสภาพถนนที่ย่ำแย่ คุณจะได้พบเจอมิตรที่ดีอย่างความนุ่มนวลให้สัมผัส แถมยังพร้อมจะเปลี่ยนหน้าที่เป็นการสร้างเสถียรภาพอันมั่นคงเมื่อใช้ความเร็วสูงด้วยเช่นกัน
เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับ “อาหาร” ที่ MG5 เจเนอเรชั่นแรก จะมีความ “ชื่อตรง” กับวัตุประสงค์เป็นหลัก จนทำให้เหลือรสสัมผัสเพียงไม่กี่อย่างให้ลิ้มลอง ต่างกับใน New MG5 ซึ่งมากับแนวทางใหม่แห่งการพัฒนา เพื่อสร้างความหลากหลาย “มิติ” ทางรสชาติ อันเป็นสิ่งที่ทำให้เรา “เคี้ยว” ได้สนุกปากกว่า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนจะคิดเตลิดไปไกล เราต้องบอกว่า “ความสนุก” ของ New MG5 คือ ความสนุกในรูปแบบของการชมภาพยนตร์ซีรี่ส์ที่จะค่อยๆ ไต่ระดับความมันส์ ที่บางตอนก็ราบเรียบ บางตอนก็หวือหวา เพราะด้วยเรี่ยวแรงราว 114 แรงม้า พร้อมแรงบิด 150 นิวตันเมตร
มันคงเป็นไปได้ยากที่จะให้แสดงบุคลิกเกรี้ยวกราด เหมือนภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เปิดเกมส์โหดกันเลือดสาดตั้งแต่ 15 นาทีแรก ฉะนั้นใครที่แอบหวังเรื่องความ “ซิ่ง” สไตล์วัยรุ่นคงต้องทำเรื่องพักเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีรุ่นเทอร์โบออกมาตอบโจทย์
ส่วนใครที่อดใจไม่ไหว อยากได้มาครอบครอง เราขอแนะนำให้ปรับเปลี่ยนบุคลิกสไตล์การขับขี่ดูใหม่ ด้วยการลองใจเย็นลงอีกนิด และหยิบยืมวิธีขับสไตล์ Eco Car มาใช้ ค่อยๆ กดคันเร่งไต่ระดับความเร็ว หรืออาจจะ “ลากรอบ” เพิ่มไปซักนิด
เจ้า New MG5 ก็จะมอบความสนุกสนานให้ได้ไม่ยาก ในรูปแบบของเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศ ฉะนั้นสรุปง่ายๆ ครับว่า ถ้าอยากมันส์ล่ะก็ ใช้โหมด Sport หรือไม่ก็ลากรอบเล่น คือ ตัวเลือกที่ดีทีเดียว
มาถึงบรรทัดนี้แล้วเราคงสรุปได้ง่ายว่า New MG5 คือ รถที่เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบความโดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบรูปลักษณ์ และออปชันสุดล้ำ ชนิดที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดอย่างเด่นชัด
ส่วนสมรรถนะ เรามองว่าเป็นเรื่องรองลงมา เนื่องจากมันเหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไป เพราะไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องความหวือหวา กระชากกระชั้น ในการขับขี่มากเท่าไหร่
ด้วยอารมณ์ที่ใกล้เคียงกับรถกลุ่ม Mid-Size Sedan ที่เน้นความต่อเนื่อง นุ่มนวล ขับสบายเป็นหลัก … แต่ทางที่ดีนะครับ เราแนะนำว่าไป “ลองขับ” ดูดีกว่า เผื่อบุคลิกของ New MG5 จะตรงกับสิ่งที่คุณตามหา เพราะอย่างเค้าว่ามาตรฐานความชอบคนเรา มันเอาอะไรมา “วัด” ไม่ได้
Specification : All New MG5
- Price : 689,000 BHT
- Engine : 1,498 CC / 4 Cylinder / 16 Valve 114 hp @ 6,000 rpm / 150 Nm @ 4,500 rpm
- Transmission : 8 CVT / Front Wheel Drive
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight : N/A