รีวิว ทดลองขับ SUBARU OUTBACK 2.5I-T EYESIGHT ขุมพลัง Boxer 2.5 ลิตร 4 สูบ อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 7.3 ลิตร / 100 กม. 188 แรงม้า ราคา 2.699 ล้านบาท
รีวิว ทดลองขับ SUBARU OUTBACK 2.5I-T EYESIGHT ราคา 2,699,000 บาท
SUBARU OUTBACK 2.5I-T EYESIGHT
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ Subaru ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง… เช่นเดียวกับใน Outback คุณสามารถสัมผัสถึงแรงยึดเกาะของล้อทั้งสี่ได้ทันทีที่ส่งมันเข้าไปในโค้ง ความสนุกถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นจากระบบบังคับเลี้ยวที่ตรงไปตรงมายิ่งขึ้นในรุ่นล่าสุดคันนี้ สื่อสารความเป็นไปของล้อหน้าผ่านพวงมาลัยอวบอ้วนเต็มไม้เต็มมือได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ถึงขั้นเฉียบขาด
แต่ก็ให้สัมผัสใกล้เคียงกับรถซีดานเลยทีเดียว ที่น่าประหลาดใจก็คือช่วงล่างที่เซ็ตมานุ่มนวลกลับสามารถจัดการกับการเอียงตัวของรถได้น่าพอใจ ให้ความมั่นใจขณะเข้าโค้งแคบๆ และยังดูดซับแรงสั่นสะเทือนเมื่อวิ่งผ่านพื้นผิวขรุขระได้ดีอีกด้วย
ประสิทธิภาพการเกาะถนนของ Outback ทำให้เราโหยหาเครื่องยนต์ที่ทรงพลังกว่านี้ จริงอยู่ที่ 188 แรงม้า และ 245 นิวตันเมตร จากขุมพลังไม่มีระบบอัดอากาศ ‘Boxer’ อันเป็นเอกลักษณ์ของ Subaru ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในระดับน่าพอใจที่ 9.6 วินาที และแรงบิดของมันก็สามารถส่งตัวถังหนักเกือบ 1.7 ตัน ทะยานออกจากโค้งได้รวดเร็ว
ทว่าการตอบสนองเริ่มเฉื่อยลงสวนทางกับรอบเครื่องที่ปั่นสูงขึ้น แม้จะเปลี่ยนมาสู่โหมด Sport และเปลี่ยนเกียร์เองด้วยแป้นหลังพวงมาลัยเพื่อใช้ประโยชน์จากการล็อคอัตราทดเกียร์เป็น 8 จังหวะ แล้วก็ตาม
นั่นเป็นเรื่องน่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับคนที่ชื่นชอบสมรรถนะแบบฉบับ Subaru แต่ถ้าคุณโฟกัสเรื่องความสุนทรีย์ในการเดินทางมากกว่าความสนุกในการขับขี่ล่ะก็ Outback คือพาหนะที่ควรเก็บไว้พิจารณาในลิสต์ของคุณ… การเก็บเสียงทำได้ยอดเยี่ยมทั้งขณะขับขี่ในเมืองและเมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นบนทางด่วนหรือมอเตอร์เวย์ อัตราเร่งเหลือเฟือที่รอบเครื่องยนต์ต่ำถึงกลาง
แต่ถ้าใช้รอบสูงกว่านั้น (เช่น ตอนเร่งแซง) จะมีเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาให้ได้ยินค่อนข้างมากไปนิด จัดวางตำแหน่งการขับขี่ได้ดีและทัศนวิสัยโดยรอบกว้างขวาง ระบบ EyeSight ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของ Subaru ได้รับการปรับปรุงเป็นเวอร์ชั่น 4.0 ทำงานได้แม่นยำและฉับไวยิ่งขึ้น
แต่ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน วางตำแหน่งรถใกล้เส้นจราจรฝั่งขวาไปหน่อย ที่เพิ่งมีติดตั้งใน Outback เป็นครั้งแรกคือระบบตรวจจับผู้ขับขี่ ซึ่งตามทฤษฎีนั้นยอดเยี่ยม แต่ในการใช้งานจริงกลับพบว่ามันตรวจจับใบหน้าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และบางครั้งก็แจ้งเตือน (ด้วยเสียง) อย่างไร้เหตุผล ทำให้รบกวนสมาธิขณะขับขี่ไปบ้าง
Outback ไร้คู่แข่งในไทย เพราะไม่มีแบรนด์จากญี่ปุ่นหรือเอเชียใดๆ จำหน่ายรถ Estate แบบ Cross Country ที่นี่ รถที่ใกล้เคียงที่สุดทั้งรูปทรง, ขนาด และราคา จึงมีเพียง Volvo V60 (เพราะ Volvo ไม่จำหน่ายรุ่น V60 Cross Country) ที่เราเคยนำมาเทสต์ไดร์ฟเมื่อสองปีที่แล้ว
ทว่า Outback มีช่วงล่างที่นุ่มนวลกว่า, ห้องโดยสารให้ความรู้สึกโปร่งโล่งกว่า, ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติทำงานได้ดีกว่า และแฮนด์ลิงก็เหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ V60 ได้เปรียบที่พละกำลัง, ระบบ Plug-in Hybrid จึงประหยัดเชื้อเพลิงกว่า และมีคุณภาพสูงตามแบบฉบับรถยุโรป
เลือกยากเหมือนกันนะครับ…
SPECIFICATIONS : SUBARU OUTBACK 2.5I-T EYESIGHT
- Price: ฿2,699,000
- Engine: 2498cc flat-4 16v, 188ps @ 5800rpm, 245Nm @ 3400-4600rpm
- Transmission: CVT automatic, all-wheel drive
- Performance: 9.6sec 0-100km/h, 206km/h top speed, 13.7km/l, 168g/km Co2
- Weight: 1682kg
รูปโฉมได้รับการออกแบบใหม่หมด แต่ยังดูไม่แตกต่างจากโมเดลก่อนๆ มากนัก สไตล์แบบ Cross Country ไม่ค่อยมีให้เห็นในไทยเท่าไหร่ Outback จึงโดดเด่นสะดุดตาเมื่ออยู่บนถนน ราวหลังคาขนาดใหญ่มาพร้อมกับแกนที่ปรับให้เป็นคานแนวขวางได้อย่างง่ายดาย จึงไม่จำเป็นต้องซื้อแร็ควางของมาติดตั้งทีหลังให้สิ้นเปลือง ฝาท้ายมีระบบจดจำตำแหน่งการเปิด และสามารถสั่งเปิดได้ด้วยการโบกมือหรือศอกไปใกล้ๆ โลโก้
กระจังหน้าขนาดใหญ่ แต่ความจริงแล้วมีช่องรับอากาศอยู่ที่ส่วนล่างราว 1 ใน 3 ของพื้นที่เท่านั้น เราเห็นเวอร์ชั่นจำหน่ายในอเมริกาใช้กระจังหน้าสีดำเงา ดูสวยงามดุดันมากทีเดียว
ไฟหน้า LED มาพร้อมกับระบบเลี้ยวตามพวงมาลัย และ เปิด/ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ สปอตไลต์เป็น LED เช่นกัน
กระจกมองข้างสามารถปรับลงมุมต่ำเพื่อส่องพื้นได้เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง กล้องที่กระจกเป็นส่วนหนึ่งของระบบกล้องรอบทิศทาง การใช้แถบคิ้วโครเมี่ยมลากยาวต่อเนื่องมาถึงตัวกรอบกระจกมองข้างเป็นดีไซน์ที่สร้างสรรค์และงดงามมากทีเดียว
ครูสคอนโทรลมาพร้อมกับระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘EyeSight’ ที่ใช้กล้องคู่ในการจับภาพมาประมวลผลร่วมกับเซนเซอร์ที่กันชนหน้าและหลัง ระบบที่อยู่ใน Outback เป็นเวอร์ชั่น 4.0 ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น จุดเด่นอยู่ที่มันสามารถหักหลบได้เอง หากระบบช่วยเบรกอัตโนมัติตรวจจับได้ว่ามีระยะเบรกเหลือไม่เพียงพอ AI จะเลือกพื้นที่ที่มากที่สุด แล้วหมุนพวงมาลัยบังคับรถไปตรงนั้น แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รถยังคงต้องอยู่ในเลนเท่านั้น ระบบจะไม่บังคับรถจนข้ามไปอีกเลนหนึ่ง
เพื่อเน้นย้ำภาพลักษณ์แบบรถวิบาก จึงใช้ชิ้นส่วนตกแต่งสีดำรอบคัน จุดที่โดดเด่นมากๆ คือแผงด้านข้างที่ใช้ส่วนเว้าส่วนโค้งและเหลี่ยมสันในการสื่อให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ช่วงล่างที่ยกสูงขึ้นจาก ‘Legacy’ ที่มันนำพื้นฐานมาใช้ ส่งให้มีระยะห่างใต้ท้องถึง 213 มม.
ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ดูร่วมสมัยยิ่งขึ้น ใช้เลนส์แบบรมดำเพิ่มความดุดัน
ล้อขนาด 18 นิ้ว จับคู่กับยาง 225/60 ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด มีน้ำหนักเบาและตอบสนองได้ดีกว่าเดิม โดยด้านหน้าใช้สปริงที่ปรับอัตรา Rebound ใหม่ พร้อมปีกนกอลูมิเนียมและเหล็กกันโคลงแบบกลวงขนาด 23 มม. ขณะที่ด้านหลังใช้ขนาด 19 มม.
ขุมพลัง ‘Boxer’ 4 สูบนอน ความจุ 2.5 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศ ให้กำลังสูงสุด 188 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที และทำแรงบิดได้ 245 นิวตันเมตร มาเต็มพิกัดตั้งแต่ 3,400-4,600 รอบ/นาที Subaru เคลมว่า แม้จะเป็นเครื่องยนต์รุ่นที่ใช้มายาวนาน แต่องค์ประกอบราว 90 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการปรับปรุงใหม่หมด
ห้องโดยสารมุ่งเน้นไปที่การตัดเสียงรบกวนภายนอกให้ได้มากที่สุด ด้วยการใช้คิ้วยางขอบประตูแบบใหม่ที่มีตัวกั้นเสียงบริเวณช่วงกลางของประตู พร้อมลิ้นแบบคู่บริเวณที่อยู่ติดกับส่วนหลังคารถ ร่วมด้วยกระจกหน้าและกระจกประตูคู่หน้าที่ติดตั้งฉนวนฟิล์มลดเสียงไว้ด้านใน นอกจากนั้น กระจกรอบคันยังมีความหนามากกว่าโมเดลที่แล้วอีกด้วย
ระบบบังคับเลี้ยวเฉียบคมและสื่อสารมาสู่มือของคุณได้อย่างชัดเจน แปรผันน้ำหนักจากเบาสู่หนักได้เหมาะสมตามย่านความเร็ว พวงมาลัยมีขนาดใหญ่ไปนิดแต่จับถนัดมือและจัดวางในองศาที่ลงตัวมากๆ จึงหมุนไปมาได้สะดวก และไม่เมื่อยแขนเมื่อขับติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
ครูสคอนโทรลมาพร้อมกับระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘EyeSight’ ที่ใช้กล้องคู่ในการจับภาพมาประมวลผลร่วมกับเซนเซอร์ที่กันชนหน้าและหลัง ระบบที่อยู่ใน Outback เป็นเวอร์ชั่น 4.0 ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น จุดเด่นอยู่ที่มันสามารถหักหลบได้เอง หากระบบช่วยเบรกอัตโนมัติตรวจจับได้ว่ามีระยะเบรกเหลือไม่เพียงพอ AI จะเลือกพื้นที่ที่มากที่สุด แล้วหมุนพวงมาลัยบังคับรถไปตรงนั้น แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รถยังคงต้องอยู่ในเลนเท่านั้น ระบบจะไม่บังคับรถจนข้ามไปอีกเลนหนึ่ง
มาตรวัดยังคงเป็นแบบเข็ม จอแสดงผลขนาดเล็กตรงกลางสามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ ได้จากก้านควบคุมที่ติดตั้งไว้บนพวงมาลัย แต่ตัวอักษรค่อนข้างเล็ก และแต่ละหน้าก็ใส่ข้อมูลไว้มากมายจนต้องละสายตาจากถนนมาจ้องมัน… Subaru สอบตกในเรื่องมาตรวัดสำหรับผู้ขับ
จอแสดงผลแนวตั้งขนาดใหญ่ถึง 11.6 นิ้ว สไตล์ Tablet รวบรวมทุกอย่างเอาไว้ในนี้ ตอบสนองได้รวดเร็วไม่ต่างจากสมาร์ทโฟน ไอคอนต่างๆ ก็มีขนาดใหญ่, กดง่าย และอ่านง่าย คุณสามารถดูแผนที่ได้ใหญ่สะใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนที่นี่! มีปุ่มกดแบบปกติแยกออกมาสำหรับการควบคุมบางรายการ ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ทั้งยังมาพร้อมกับระบบเสียงจาก Harman Kardon กระหึ่มด้วยลำโพง 11 ตัว พร้อมซับวูเฟอร์ เหนือจอขึ้นไปคือกล้องอินฟาเรดของระบบสังเกตผู้ขับ (DMS – DriverFocus Distraction Mitigation System) ที่ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อระบุสัญญาณของความเหนื่อยล้าหรือเสียสมาธิ เช่น ละสายตาออกจากถนน หรือเอียงตัวไปพิงข้างใดข้างหนึ่งนานๆ เป็นต้น แล้วส่งเสียงแจ้งเตือนร่วมกับข้อความเตือนบนมาตรวัด นอกจากนั้น DMS ยังจดจำตำแหน่งเบาะนั่ง (ตามที่แต่ละคนตั้ง Memory เบาะเอาไว้) ของผู้ขับได้มากถึง 5 คน และใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อปรับตำแหน่งเบาะได้อัตโนมัติตาม Memory ของผู้ขับคนนั้นๆ
เกียร์อัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผัน เซ็ตให้สามารถเรียกแรงบิด (ที่มีให้ใช้ในรอบค่อนข้างสูง) ขึ้นมาใช้ได้ทันอกทันใจ การเปลี่ยนเกียร์ ขึ้น-ลง ในโหมด Manual ช่วยให้คุณสามารถล็อกอัตราทดได้ 8 จังหวะ แต่การทำงานยังไม่ถึงกับฉับไวนัก มีโหมดการขับเคลื่อนให้เลือกเพียง 2 โหมด ซึ่งไม่ได้ให้ความแตกต่างกันมากนัก นอกจากนั้น ยังมาพร้อมกับ X-Mode ให้เลือกใช้งานอีก 2 โหมดย่อย ซึ่งต้องเลือกโหมดนี้จากจอแสดงผลส่วนกลาง
ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาให้ครบครัน ทั้งกล้อง 360 องศา พร้อมระบบเบรกอัตโนมัติเมื่อถอยเข้าใกล้รถอื่นหรือกำแพงจนอาจเกิดการชนได้ มีช่อง USB มาให้ถึง 4 ช่อง ไม่ต้องแย่งกันชาร์จโทรศัพท์อีกต่อไป
Outback ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง ร่วมด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันเลื่องชื่อของ Subaru และแฮนด์ลิ่งที่ยอดเยี่ยม… จนเราอยากได้เครื่องยนต์ทรงพลังกว่านี้
TorqueThailand.com
