รีวิว ลองขับ Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD ที่มาพร้อมสไตล์ที่ดุดันตามสายพันธุ์ GR

รีวิว ลองขับ Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD เครื่องยนต์ดีเซล GD Super Power 2.8 ลิตร 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ราคา 1,899,000 บาท

รีวิว ลองขับ Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD ยนตรกรรมอเนกประสงค์ PPV

Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD

“Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อนำเสนอความเป็นที่สุดจากคุณสมบัติรอบด้านเท่านั้น เพราะหัวใจสำคัญแท้จริงคือ การแสดงจุดยืนผู้เป็นเจ้าของอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะเมื่อคำว่า “ธรรมดา” ไม่ได้อยู่ในความคิดของคุณ”

คงปฏิเสธไม่ได้ในการประสบความสำเร็จ ของยนตรกรรมอเนกประสงค์ PPV ที่ชื่อ Toyota Fortuner ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยให้การตอบรับอย่างล้นหลาม นับตั้งแต่การถือกำเนิดของเจเนอเรชันแรก จนกระทั่งส่งต่อขั้นกว่าแห่งการพัฒนามาสู่เจเนอเรชันล่าสุด ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติรอบด้าน เพื่อการตอบโจทย์ที่ครบครันมากขึ้น … เว้นแต่ “ความธรรมดา” ไม่ได้อยู่ในสายตา

เพราะในสารบบของ Toyota Fortuner ยังมีจุดสูงสุดของ “ห่วงโซ่อาหาร” อีกรุ่นที่มีความ Unique มากๆ ชนิดที่ใครเห็นก็สามารถบอกได้ทันที ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นไม่ได้ต้องการตั้งอยู่บน “ความธรรมดา” โดยสิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงก็คือ Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD ความเหนือชั้นหนึ่งเดียวในรุ่น ด้วยจุดกำเนิดแรงบันดาลใจจาก DNA แห่ง Toyota Gazoo Racing

ปูพรมความพิเศษบนเรือนร่างของ Toyota Fortuner รุ่นมาตรฐานตั้งแต่ภายนอก ซึ่งประกอบด้วย ความดุดันของกระจังหน้า และชุดตกแต่งกันชนหน้า โทนสีดำเงา พร้อมการประทับตราสัญลักษณ์ GR ไล่ต่อเนื่องมาที่มุมมองด้านข้างอันสะดุดตา จากล้ออัลลอยสีพิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport เท่านั้น

แถมยังมากับขนาดที่สวยงามลงตัวถึง 20 นิ้ว ตัดกับชุดคาลิปเปอร์เบรคด้านใน ซึ่งมากับโทนสีแดง และสัญลักษณ์ GR ก่อนไปปิดท้ายด้วยมุมมองด้านหลัง ที่เติมความเร้าใจโดยสปอยเลอร์หลังคาดีไซน์พิเศษสำหรับรุ่น GR Sport

ภายในห้องโดยสารยังคงมากับภาพรวมที่คุ้นตา แต่เพิ่มมาด้วยรายละเอียดของความเป็น GR Sport เพื่อปลุกอารมณ์ความเร้าใจ เช่น การเลือกใช้โทนสีดำ ตัดสลับสีแดง ขณะที่เบาะนั่งก็มีความพิเศษกว่า ด้วยวัสดุหนัง Suede แบบเจาะรู โทนสีดำ

เก็บงานตะเข็บด้ายโทนสีแดง และประทับสัญลักษณ์ GR รับกันอย่างลงตัวกับพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ Soft Touch ตกแต่ง Center mark พร้อมการเดินตะเข็บด้ายสีแดง และสัญลักษณ์ GR เช่นกัน

เท่านั้นยังไม่พอ เพราะยังมีกุญแจรีโมท Smart Key ที่มาพร้อมกับปุ่มสตาร์ท และมาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ลงไปถึงพรมพื้นห้องโดยสาร ก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นงานดีไซน์พิเศษที่มีมาให้มาเฉพาะรุ่น GR Sport

ตลอดจนแป้นคันเร่ง และเบรก ก็มากับอารมณ์สปอร์ตจากวัสดุอลูมิเนียม … เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่ภายนอกเท่านั้นที่สร้างแรงดึงดูดทางสายตา หากแต่รวมถึงภายในที่สร้างความภาคภูมิใจชั้นดีให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอีกไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

เหนืออื่นใด ก็คือไม่ใช่แค่การหยิบเอาแรงบันดาลใจจาก Toyota Gazoo Racing มาแต่งตัวใหม่ให้ Toyota Fortuner เท่านั้น เพราะ “สมรรถนะ” ได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจทันทีเมื่อได้ลองขับ โดยนอกจากพละกำลัง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร ของเครื่องยนต์ดีเซล GD Super Power ขนาด 2.8 ลิตร เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์

ก็ต้องยกให้การปรับแต่งพื้นฐานช่วงล่างขึ้นใหม่ โดยด้านหน้าจะเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบโฟร์ลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง ขณะที่ตัวโช๊คอัพทั้งด้านหน้า และด้านหลังได้ถูกอัพเกรดเป็นแบบ Monotube สำหรับรุ่น GR Sport เท่านั้น …

โดยผลสรุปสั้นๆ ของการเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ก็คือ “ความเฟิร์ม” ที่เพิ่มขึ้นราว 10% จากรุ่นมาตรฐาน

แม้ตัวเลขอาจดูน้อย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าได้สัมผัสจะทราบถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากเทียบกับรุ่นมาตรฐานหลายคนอาจจะพบว่ามีความนุ่มนวลที่ผสานกันอย่างลงตัวกับความสปอร์ตในระดับอัตราส่วน 50:50 … แต่กับเวอร์ชั่น GR Sport คุณจะพบว่าตัวเลขอัตราส่วนของอารมณ์ความสปอร์ต มีการถูกขยับให้เหนือกว่า และสิ่งที่ตามมาก็คือความกระชับในการขับขี่ และควบคุม

แบบที่ต่อให้อยู่ท่ามกลางการจราจรแน่นหนาของการใช้ชีวิตในเมือง Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD ก็สามารถมอบความคล่องตัวมาให้ใช้ได้แบบเหนือการคาดหมาย ด้วยความมั่นใจชั้นดี ที่ประกอบด้วยแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร แบบ Flat Torque ซึ่งมีกำลังให้ใช้ตั้งแต่ 1,600 รอบต่อนาที ยาวต่อเนื่องไปจนถึง 2,800 รอบต่อนาที

ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift ตามมาด้วยน้ำหนักพวงมาลัยที่ตอบสนองทันใจ เหมาะสมกับช่วงล่างที่กระชับ และทัศนวิสัยของรถที่มีความสูงเป็นส่วนสำคัญ

มากไปกว่านั้นก็คือ ขีดความสามารถในการเดินทาง ด้วยเพราะ Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD มากับอาวุธที่ครบเครื่อง ซึ่งเราหมายถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เลือกปรับเปลี่ยนได้ถึง 3 รูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อความเร็วสูง (2H), ขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วสูง (4H) หรืออยากจะผ่านอุปสรรคอะไรที่ยากๆ ก็ยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) ให้ใช้

แต่อย่าตีความยากของอุปสรรคไปถึงเส้นทางระดับสาย Off-Road เค้าวิ่งกันนะ เอาแค่เป็นเส้นทางธรรมชาติเบาๆ ตามอุทยาน หรือลานหญ้า ลานทรายก็พอ เพราะนอกจากข้อจำกัดของตัวรถที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ลุยโหด”

ขนาดนั้นแล้ว … “ราคา” ก็ถือเป็นอีกเงื่อนไขเช่นกัน เพราะขนาดเราเองยังรู้สึกเสียดาย ถ้าจะไปลุย Off-Road โดยรถค่าตัวเกือบ 2 ล้านบาทไทย เพราะงั้นในโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) เราจึงขอยกไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น

ส่วนการใช้งานแบบปกติทั่วไป การขับเคลื่อน 2 ล้อความเร็วสูง (2H) เราตัดสินให้ว่าเพียงพอ เพราะนอกจากจะได้ความคล่องตัวในการขับขี่แล้ว อัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิง ยังเป็นอีกสิ่งที่สร้างรอยยิ้มได้ดีตอนควักกระเป่าจ่ายเงินอีกด้วย …

แต่ถ้าถามว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วสูง (4H) ควรใช้ตอนไหน … ? คำตอบง่ายๆ ก็คือ บนเส้นทางที่มีพื้นผิวลื่น หรือพื้นผิวที่ไม่แข็งแรงมาก เช่น ทางลูกรัง หรือเส้นทางที่เปียกชื้นจากฝนตก ตลอดจนเส้นทางที่มีความโค้ง และคดเคี้ยว เพราะจะช่วยสร้างแรงยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น

แล้วก็ด้วยสภาพอากาศที่ปลอดโปร่งเช่นวันนี้ เพราะงั้นการใช้ชีวิตสบายๆ ด้วยการขับขี่จากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อความเร็วสูง (2H) แบบปกติ ถือเป็นเรื่องดีงามกว่าสิ่งอื่นใด และถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของการขับ Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD แต่เราก็ยังตื่นเต้น และสนุกกับการขับขี่ทุกครั้งเมื่อได้กลับมาพบเจอกัน

ขอขยายความเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยแล้วกันว่า “ความสนุก” ที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงความสนุกเหมือนคุณขับรถสปอร์ต แต่เป็นความสนุกที่อยู่บนพื้นฐานของรถอเนกประสงค์ PPV พิกัดใหญ่ ที่อธิบายไปอาจจะไม่เห็นภาพ ฉะนั้นเราขอรวบรัดตัดความแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า “เฉียบคม” ในแบบที่ “เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน”

แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของสมรรถนะเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงออปชั่นระบบความปลอดภัยที่มากกว่าระดับพื้นฐานอย่าง Toyota Safety SENSE รวมไปถึงออปชั่นเพื่อการอำนวยความสะดวกสบายก็มีมาให้อีกเพียบ ซึ่งจะมากขนาดไหนเราแนะนำให้เปิดในเว็บไซต์ หรือแคตตาล็อกดูจะเข้าใจง่ายกว่า …

แต่สำหรับเราบอกตรงๆ ว่าถูกใจมากๆ ก็หน้าจอเครื่องเสียงแบบ Touchscreen ขนาด 9 นิ้ว ที่นอกจากรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แล้ว

ก็ยังมีความล้ำสมัยของ ระบบ T-Connect Telematics มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งมีฟังก์ชั่นให้เลือกใช้ได้หลากหลาย โดยไฮไลท์เด็ดๆ เลยก็เช่น โปรแกรม Find My Car เช็คตำแหน่งตัวรถผ่านแอพพลิเคชั่น, โปรแกรม Service Reminder ช่วยแจ้งเตือนการบำรุงรักษาเมื่อครบตามระยะ,

โปรแกรม Service Appointment บริการนัดหมายเข้าศูนย์ผ่านระบบออนไลน์ หรือแม้กระทั้งโปรแกรม Parking Alert ระบบแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ท หรือเคลื่อนที่ แถมด้วยโปรแกรม Stolen Vehicle Tracking ที่สามารถตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์ได้หากถูกโจรกรรม

ตลอดจนโปรแกรม SOS ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และโปรแกรม Roadside Service ช่วยประสานงานไปยังผู้แทนจำหน่ายใกล้เคียง เพื่อขอรับความช่วยเหลือบนท้องถนน บอกเลยว่าอุ่นใจสุดๆ เพราะตัวแทนจำหน่ายที่มี “เกลื่อน”

และทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้นอยู่ภายใต้ค่าตัวราวๆ 1.9 ล้านบาท ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่า “สูง” ไปซักนิด แต่เชื่อเถอะว่าคุณจะเปลี่ยนความคิดทันที เมื่อได้ศึกษารายละเอียด และทดลองขับ

เพราะสิ่งที่เราจะบอกก็คือ แค่ “ดีไซน์”, “สมรรถนะ” หรือ “ออปชั่น” เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สามารถสร้าง “ความ Unique” ที่แท้จริงได้ หากแต่ต้องเป็นการผสานทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวที่สุด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ใน Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD

Specification: Toyota Fortuner 2.8 GR Sport 4WD

• Price:  1,899,000 BHT
• Engine  Diesel / VN Turbo / Intercooler 2,755 CC / 4 Cylinder / 16 Valve / 204 hp @ 3,400 rpm / 500 Nm @ 1,600-2,800 rpm 
• Transmission:  6A/T / Part-Time (All Wheel Drive)
• Performance:  0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
• Weight:  N/A