รีวิว ลองขับ All New MG3 Hybrid+ ให้กำลังรวม 194 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 1.83 kWh ประหยัดน้ำมันถึง 26.2 กม./ลิตร
รีวิว ลองขับ All New MG3 Hybrid+ รุ่น X ตัวท็อปสุด ราคา 619,900 บาท
All New MG3 Hybrid+ รุ่น X
“แน่นอนว่าการมาของ All New MG3 Hybrid+ คือ การต่อยอดความสำเร็จในประเทศไทย … แต่ที่มากไปกว่านั้น ก็คือ ความล้ำหน้าของเทคโนโลยี ที่ชวนให้รู้สึกว่าเร็วๆ นี้ น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในกลุ่มรถยนต์นั่งอย่างแน่นอน”
ต้องบอกว่าเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดไกลมากๆ ทีเดียว จากเจเนอเรชั่นแรกของ MG3 มาสู่เจเนอเรชั่นที่ 2 ในชื่อ All New MG3 Hybrid+ ภายใต้วัตถุประสงค์หลัก คือ การสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ในตลาด B-Segment ด้วยจุดเด่นด้านพลังงานทางเลือกที่ไม่เหมือนใคร ในการเจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่
ก่อนจะไปถึงเรื่องของเทคโนโลยี ก็ต้องว่ากันที่เรื่องของดีไซน์ก่อน เพราะ All New MG3 Hybrid+ ฉีกภาพเดิมของเจเนอเรชั่นแรกอย่างสิ้นเชิง ด้วยผลงานการออกแบบที่ทำให้ยนตรกรรม 5 ประตูสไตล์ Hatchback ธรรมดาๆ กลายเป็น Hot Hatch ที่ร้อนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ
ตั้งแต่มิติตัวถังที่ประกอบด้วยความยาว 4,113 มิลลิเมตร แถมยังมากับความกว้างในระดับ “มากที่สุด” ในคลาส คือ 1,797 มิลลิเมตร บนความสูงที่ 1,502 มิลลิเมตร และความยาวฐานล้อ 2,570 มิลลิเมตร
ต่อเนื่องในส่วนของงานดีไซน์ ซึ่งมากับการนำเสนอเส้นสายเน้นความปราดเปรียวสไตล์ยนตรกรรม Hatchback อาทิ มุมมองด้านหน้าที่สะดุดตาจากชุดกระจัง พร้อมช่องระบายอากาศ ประกบข้างด้วยไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp (ดวงตานักล่า) มาพร้อม
ชุดไฟ Daytime Running Lights โฉบเฉี่ยวคมชัด ขณะที่ชุดไฟท้าย LED แบบ Butterfly Wings ได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ เพื่อสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว ปิดท้ายด้วยความสปอร์ตจากล้ออัลลอยใหม่ขนาด 16 นิ้ว
ห้องโดยสารเป็นอีกหนึ่งจุดโดดเด่น ที่เกิดขึ้นจากแนวคิด Modular Concept ซึ่งให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ ลงตัวกับการเลือกใช้โทนสีทูโทนขาวสลับดำ และเส้นสายที่เรียบง่ายสะอาดตา แฝงด้วยรายละเอียดความสปอร์ต
ตลอดจนยกระดับอรรถประโยชน์ในการใช้งาน ผ่านงานออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่น เรื่องบริหารจัดการทั้งในส่วนของพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา (Leg room) รวมไปถึงออฟชั่นอำนวยความสะดวก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความน่าตื่นตาตื่นใจที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ได้ดี เช่น
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ที่มาพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์, หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว, หน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย เช่นเดียวกับ Wireless Charger
นอกจากนี้ All New MG3 Hybrid+ ยังมาพร้อมกับความอเนกประสงค์จากห้องเก็บสัมภาระที่สามารถจุได้มากถึง 293 ลิตร ซึ่งสามารถขยายเพิ่มได้มากถึง 1,037 ลิตร หลังจากปรับพับเบาะนั่งด้านหลัง
อย่างที่กล่าวไว้ช้างต้น All New MG3 Hybrid+ มากับจุดเด่นสำคัญ คือ เทคโนโลยี Hybrid ใหม่ล่าสุด ที่ว่ากันว่า “รวมทุกระบบ Hybrid ไว้ในคันเดียว” เพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบ และตอบสนองต่อทุกการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Series Hybrid, Parallel Hybrid หรือแม้แต่ Pure EV ก็ตาม จาก 2 ส่วนประกอบที่สำคัญ คือ
เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิด 128 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ Hybrid Transmission แบบ E-AT
โดยจะมากับโหมดควบคุมการขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ คือ Eco, Standard และ Sport พร้อมระบบ KERS ที่เลือกปรับได้ 3 ระดับ สามารถส่งมอบความเร้าใจในการขับขี่ได้ด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8 วินาทีเท่านั้น
ซึ่งคุณภาพของ All New MG3 Hybrid+ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากในสตูดิโอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ได้ฝ่าฟันการทดสอบมาแล้วหลากหลายรูปแบบ โดยทีมวิศวกรระดับโลก ด้วยสถิติต่างๆ ที่มีการบันทึกไว้ เช่น
การวิ่งทดสอบบนถนนจริง (Road Test) ในทวีปยุโรป กว่า 2 เดือนเต็มช่วงฤดูร้อน เป็นระยะทางมากกว่า 14,000 กิโลเมตร และ 2 เดือนเต็มช่วงฤดูหนาวมากกว่า 10,000 กิโลเมตร รวมไปถึงอีกกว่า 5,000 กิโลเมตร ที่ทีมวิศวกรระดับโลกได้นำไปวิ่งทดสอบ และปรับจูนในสถานการณ์ที่หลากหลาย (Multi-scenario Road Test and Tuning)
ทั้งสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และพื้นผิวบนท้องถนนที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น สนามทดสอบกว่างเต๋อ (SAIC – GM Guangde Proving Ground) ในมณฑล อานฮุย (Anhui) สาธารณรัฐประชาชนจีน
ตามด้วยการทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ (Public Road) บนทางไฮเวย์ หรือการทดสอบวิ่งในสนามที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นอย่าง Hailar Ultra-coldProving Ground ในเมือง ไฮลาเออร์ ประเทศมองโกเลีย กับการทดสอบแบบ Extreme Cold Test ภายใต้อุณหภูมิ -30 °C
ทั้งยังผ่านการทดสอบการวิ่งใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิร้อนจัด หรือ Extreme Hot Test ภายใต้อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึงกว่า 70 °C ที่เมือง ถูหลู่ฟาน มณฑลซินเจียง ซึ่งถือเป็นดินแดนที่ร้อนที่สุดในประเทศจีน
ทั้งยังผ่านการขับทดสอบเพื่อปรับจูนระบบช่วงล่างมากกว่า 300 ครั้ง และมากกว่า 200 ชั่วโมงกับการทดสอบปรับจูนพวงมาลัย ภายใต้เงื่อนไขการจำลองสถานการณ์เหมือนจริง (Simulator) และการขับทดสอบบนท้องถนน (Real Road) เพื่อพัฒนาศักยภาพในการควบคุมให้เหนือกว่ารถ Hybrid ทั่วไป
รวมถึงการจำลองโมเดลเสมือนจริง เพื่อพัฒนาล้อ และยางที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 100 ครั้ง ก่อนมาจบที่เมืองไทยด้วยการวิ่งทดสอบ รวมระยะทางกว่า 10,000 กิโลเมตรทั่วทุกภูมิภาค เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนนทั่วโลก
ภายใต้ความมั่นใจเต็มขั้นจากระบบ Advanced Synchronized Protection System ซึ่งครอบคลุมถึงระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) และระบบความปลอดภัยมาตรฐานในแบบที่เห็นรายชื่อแล้ว รับรองได้ถึงความอุ่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่แน่นอน
ในเรื่องของภาพรวมการขับ All New MG3 Hybrid+ ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่น่าประทับใจ ด้วยคุณสมบัติความเป็น Hybrid+ ที่ปรับเปลี่ยนได้ถึง 8 รูปแบบตามสภาวะการขับขี่อย่างราบรื่น และเหมาะสม ซึ่งส่งผลให้มีอัตราความประหยัดที่เกินคาดแน่นอน สำหรับผู้ที่คาดหวังในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง
ขณะที่ความเร้าใจ ก็เป็นอีกจุดเด่นที่พลาดไม่ได้เช่นกัน กับแรงม้าที่รวม 2 ระบบแล้วมีถึง 194 ตัว พร้อมแรงบิดที่มีมากถึง 250 นิวตันเมตร เพราะฉะนั้นเมื่อกดคันเร่งหนักๆ ทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า จะทำงานร่วมกัน ทำให้ในเรื่องการเร่งแซง บอกเลยว่าหายห่วงแถมยังมีอัตราการตอบสนองได้ใช้อย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อประกอบกับการปรับเซ็ทพวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พิเนี่ยน ควบคุมด้วยไฟฟ้า EPS และช่วงล่างแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทในด้านหน้า และทอร์ชั่นบีมในด้านหลัง ตามมาตรฐานของแบรนด์ MG ก็ยิ่งทำให้รับรู้ได้ถึงอรรถรสความสปอร์ต ปราดเปรียวที่ทำให้ All New MG3 Hybrid+ เป็นอีกหนึ่ง Hot Hatch ที่ขับสนุกไม่เหมือนใคร
พูดถึงระบบช่วงล่าง จุดนี้เป็นอีกจุดที่ต้องชื่นชมทีเดียว เพราะในจังหวะแรกที่สัมผัสท่ามกลางสภาพการจราจรในเมือง ค่อนข้างรับรู้ได้ถึงความนุ่มนวลที่ชัดเจน จนแอบนึกหวั่นใจหากใช้ความเร็วสูง จนกระทั่งมีโอกาสได้ลองจึงพบว่า “ความนุ่มนวล” ดังกล่าวนั้น
แฝงด้วยประสิทธิภาพการทรงตัว และการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ให้ความมั่นใจได้ดีทั้งในย่านความเร็วสูงขณะเดินทาง หรือ เข้าโค้งด้วยความเร็วที่เกินกว่าป้ายข้างทางกำหนดเอาไว้นิดหน่อยก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหา
ทั้งยังมีระบบ KERS ที่เลือกปรับหน่วงได้ 3 ระดับ ซึ่งเป็นอะไรที่เราชอบมาก เพราะนอกจากจะสามารถชาร์จพลังงานกลับเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้แล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นก็คือยังทำหน้าที่เป็น Engine Brake ซึ่งจะช่วยลดภาระให้กับการใช้เบรกเท้า ซึ่งเป็นผลให้เกิดความมั่นใจ และความปลอดภัยในการขับขี่ได้มากขึ้นอีกด้วย
เราลองขับทั้งเน้นความสปอร์ตเร้าใจ และการขับแบบใช้งานปกติทั่วไป และพบว่า All New MG3 Hybrid+ สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเยี่ยมทั้ง 2 รูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับขี่แบบปกติใช้งานทั่วไป เปิดโอกาสให้ได้ลองท้าทายความสามารถตัวเอง ในการขับขี่ให้เนียนที่สุด เพื่อให้เกิดการประหยัดเชื้อเพลิงมากที่สุด
ซึ่งบอกตรงๆ ว่า “สนุก” กว่าการกดคันเร่งหนักๆ ที่ใครๆ ก็ขับได้ และนั่นดูจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกับเหตุผลในการสร้างสรรค์ All New MG3 Hybrid+ ขึ้นมา พร้อมการการันตีอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้มากถึง 26.2 กม./ลิตร เลยทีเดียว … ที่สำคัญ คือ ราคาของ All New MG3 Hybrid+ ก็เร้าใจเอามากๆ ซะด้วย เมื่อเทียบกับความ “คุ้มค่า” ระดับนี้
Specification: All New MG3 Hybrid+ รุ่น X
- Price : 619,900 BHT
- Engine : 1,498 CC / 4 Cylinder / 16 Valve / 102 hp @ 6,000 rpm / 128 Nm @ 4,500 rpm
- Electric Motor : 136 hp / 255 Nm
- Transmission : E-AT / Front Wheel Drive
- Performance : 0 – 100 Km/h @ 8 Sec / Top Speed @ N/A
- Weight : N/A