Torque Special: รวม 10 อันดับ รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2019 จากทีมงาน Torque Magazine… จากรถยนต์ราคา 7 แสน ไปจนถึงรถยนต์ราคากว่า 17 ล้านบาท!!!
Torque Special: รวม 10 อันดับ รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2019
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
ในปีที่ผ่านมานี่คือรถทั้ง 46 คัน! (ดูรูปได้ท้ายเรื่อง) ที่ทางทีม Torque Magazine ได้ทดสอบ และถ่ายทำไปในปีนี้ และจะเลือก 10 คันที่คุ้มค่าที่สุด จากรถทั้งหมดดังกล่าว…คิดว่าจะมีคันไหนบ้าง? ทายซิ!
จากรถสปอร์ต 2 ที่นั่ง จนถึงรถตู้ 15 ที่นั่ง, 108 ถึง 600 แรงม้า และจาก 7 แสน ไปจนถึงกว่า 17 ล้านบาท!!! นั่นทำให้ “2019” เป็นอีกหนึ่งปีที่น่าจดจำ และประทับใจ ผมอยากกล่าวคำขอบคุณไปยังบริษัทรถยนต์ทั้ง 21 แบรนด์ ที่เอื้อเฟื้อรถรุ่นต่าง ๆ มาให้เราได้ทดสอบ เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงให้กับผู้อ่านได้ทราบ และใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการที่สุด เรายังคงยึดมั่นในจรรยาบรรณของการเป็นสื่อมวลชนที่ดี และจะทำเช่นนั้นต่อไป ขออภัยหากบทความที่ทางทีมงานเขียนมีคำตำหนิติเตียนรถบางคันบ้าง – ไม่มากก็น้อย
โดยเกณฑ์การตัดสินเปรียบเทียบเฉพาะจากรถที่ได้ขับทดสอบในปี 2019 นี้เท่านั้น รุ่นอื่น ๆ ถ้าไม่ได้ขับ ขออนุญาตไม่นำมาเปรียบเทียบด้วย ดังนั้น อาจมีรถที่ดีกว่านี้ หรือแย่กกว่านี้ ซึ่งทีมงานก็ตอบไม่ได้เพราะไม่ได้ขับ รวมถึงรถบางรุ่นอาจไม่ใช่รถรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกจำหน่ายในปีนี้นะครับ
โดยตัดสินจาก “ความคุ้มค่า” ของสิ่งที่ได้มา เมื่อเทียบกับราคาจำหน่าย… ของถูก และดี ไม่มีในโลกฉันท์ใด ของแพง และไม่ดีก็มีในโลกฉันท์นั้น ของที่หายากที่สุดก็คือ ของที่จ่ายแล้วได้สิ่งที่สมน้ำสมเนื้อกับเงินที่จ่ายไปกลับมา นั่นแหละคือ “ความคุ้มค่า”
และนี่คือ รถยอดเยี่ยมแห่ง Torque Magazine คันที่ดี และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปที่สุด จากรถทั้ง 46 คันที่ผมขับทดสอบในปี 2019… ความจริงต้องบอกว่า “เกินคุ้ม” เสียด้วยซ้ำ!!! ยืนขึ้นปรบมือรัว ๆ ให้กับ………..
รวม 10 อันดับ รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2019
อันดับ 10: BMW M4 CS
ราคา: 11,439,000 บาท
จุดเด่น: อยู่บนเส้นแบ่งระหว่าง “ความสะดวกสบาย” และ “สมรรถนะ” ได้อย่างพอเหมาะ กว้างขวาง, ช่วงล่างไม่แข็งจนเกินไป, ควบคุมง่าย, แฮนด์ลิงที่ยอดเยี่ยม, ควรค่าแก่การสะสม
จุดด้อย: ราคาแพงจนเกินงาม, ยาง Cup2 ไม่สามารถขับบนถนนเปียกได้ (มีออฟชั่นเป็นรุ่น Cup4 สำหรับถนนเปียกให้เลือก), ปิดรับออร์เดอร์ไปแล้ว
รถที่ผมชอบที่สุดในปีนี้… M4 CS คือรถที่คุณสามารถขับในแทร็คได้ดีพอ ๆ กับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คือ BMW เซ็ตติ้งทุกอย่างของรถโดยยึดเอาประสิทธิภาพการยึดเกาะของยาง Michelin “Pilot Sport Cup2” เป็นตัวตั้ง ผลลัพธ์คือความกลมกล่อมที่ไม่อาจหาคำใด ๆ มาอธิบายถึงความยอดเยี่ยมนี้ได้เท่าเทียม
แล้วทำไมมันถึงอยู่อันดับ 10? มีสองเหตุผล เรื่องแรกคือ “ราคา” M4 CS ควรครองอันดับ 1 ด้วยซ้ำ แต่ด้วยค่าตัวที่ 11.4 ล้านบาท นี่ไม่ใช่ BMW สำหรับคนทั่วไป แต่ต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้แบบสุดกึ๋น (และแน่นอน มีเงินมากพอ) เท่านั้น เรื่องต่อมาก็คือ ถึงบัญชีของคุณจะสุขภาพดีแค่ไหน แต่ ณ วันนี้คงไม่ทันที่จะออร์เดอร์ M4 CS แล้วล่ะ มันไม่ใช่รถที่จำกัดจำนวน แต่จำกัด “เวลา” ในการสั่งซื้อ และปี 2019 คือปีสุดท้าย…
…หวยงวดที่ผ่านมา ทีม Torque Magazine ก็ยังไม่มีโชค… ลาก่อยยยย M4 CS
SPECIFICATIONS: BMW M4 CS
- Engine: 2,979cc straight six twin-turbocharged, 460ps @ 6,250rpm, 600Nm @ 4,000-5,380rpm
- Transmission: Seven-speed dual-clutch auto, rear-wheel drive
- Performance: 3.9sec 0-100km/h, 280km/h, 197g/km CO2
- NCAP rating: 5 stars
อันดับ 9: Ford Mustang 2.3L EcoBoost
ราคา: 3,699,000 บาท
จุดเด่น: ดูดีมีสไตล์ตามแบบฉบับ Muscle Car อเมริกันพันธุ์แท้ ในราคาที่เอื้อมถึง, อัตราสิ้นเปลือง, มีโอกาสรอดตายได้มากกว่ารุ่น GT เครื่อง V8
จุดด้อย: ได้เรตติ้งความปลอดภัยเพียง 3 ดาว จาก NCAP, เสียงจากเครื่องยนต์ 4 สูบ เปลี่ยนภาพลักษณ์ ”ม้าป่า” ให้เหลือเพียง “เจ้าเหมียวน้อย” 😿
เพราะเราใช้เกณฑ์ “Value to money” ในการตัดสิน รถที่แรงจนน่าทึ่ง และขับได้อย่างน่าประทับใจ บางคันจึงต้องถูกคัดออกไป ไม่ว่าจะเป็น BMW M5 ขนาด 600 แรงม้า, “Real life-PlayStation car” อย่าง Merc GT-C รวมถึง Muscle car ขนานแท้ Mustang GT เครื่อง V8 ที่ดุดันทรงพลัง ซึ่งมีราคาสูง หรือบางคันอาจกินน้ำมันดุเดือดเกินไป…
ตัวเลือกที่คุ้มค่าคือ Mustang รุ่น 2.3 ลิตร EcoBoost เราเทคะแนนเกือบทั้งหมดให้กับภาพลักษณ์ของมัน โดดเด่นสะดุดตา และเท่จนใครก็เหลียวมอง ในราคาเพียง 3.7 ล้านบาท พร้อมการรับประกัน 5 ปี จากฟอร์ดประเทศไทยโดยตรง
ที่สำคัญก็คือ คุณจะได้อุปกรณ์ต่าง ๆ ครบถ้วนเทียบเท่ากับรุ่นท้อป “GT” อีกด้วย! ต่างกันเพียงแค่ล้อ, ระบบเบรก และเครื่องยนต์เท่านั้น ขุมพลัง 4 สูบ 2.3 ลิตร เทอร์โบ ให้ความแรงที่สมเหตุสมผลกับขนาดของเครื่องยนต์ และส่งให้มันเป็น Mustang ที่ควบคุมได้เชื่องมือกว่า
แต่ที่รถคันนี้ได้เพียงอันดับ 9 เพราะมันเป็นรถที่ค่อนข้างอันตรายเมื่อเทียบกับความแรงที่มีเรตติ้งเพียง 3 ดาว ถือว่าแย่มากสำหรับความเป็นรถสมรรถนะสูง เพราะถ้าคุณพลาดท่า นั่นอาจหมายถึงการบาดเจ็บที่รุนแรง หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
…เหมาะสำหรับขับเล่นเบา ๆ ในสนาม หรือขับหล่อ ๆ ไปวัน ๆ เท่านั้น
SPECIFIACTIONS: FORD MUSTANG 2.3L ECOBOOST
- Engine: 2.3L EcoBoost inline-4 turbo, 300 ps @ 5,400 rpm, 440 Nm @ 3,000 rpm
- Transmission: 10-speed SelectShift auto, rear-wheel drive
- Performance: 5.8 sec 0-100 km/h, 200+ km/h top speed, 205 g/km Co2
- NCAP rating: 3 stars
อันดับ 8: MINI JCW 3-Door Hatchback
ราคา: 3,418,000 บาท
จุดเด่น: ยอดเยี่ยมทั้งในแทร็ค และการใช้งานในเมือง, วัสดุในห้องโดยสารมีคุณภาพดี, พับเบาะหลัง แล้วคุณจะได้ที่เก็บสัมภาระเหลือเฟือ
จุดด้อย: เสียงยางดังลั่น, พวงมาลัยยังหนักไปหน่อยสำหรับการขับในเมือง
ขีปนาวุธในแพ็คเกจเล็กจิ๋วของเรา MNI JCW ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนที่ผ่านมา คล่องแคล่วปราดเปรียว, กระตือรือร้น และขับสนุกอย่างยิ่ง คุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับรถ จากพวงมาลัยที่เฉียบคม ช่วงล่างที่เกาะหนึบ บวกด้วย Torque Steer ที่จะทำให้คุณอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ปัจจัยหนึ่งที่ส่งให้มันเข้ามาอยู่ในอันดับ 8 คือคุณภาพวัสดุ และการประกอบที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก ดูดี, หรูหราสมราคา ไม่มีพลาสติกกระจอก ๆ และชิ้นส่วนก๊อกแก๊กเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
ราคา 3.4 ล้านบาท สมเหตุสมผลกับสิ่งที่ได้มา ไม่เพียงแค่สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม แต่คุณยังได้รถที่เล็กกะทัดรัดสำหรับขับในเมืองอีกด้วย MINI JCW มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ครบถ้วน, อัตราสิ้นเปลืองที่ไม่ต่างจากรถทั่วไปนัก บวกด้วยความน่ารักมุ้งมิ้งตามแบบฉบับของ MINI ที่ใคร ๆ ก็ต้องหลงรัก ทั้งยังเรียกหาความบันเทิงจากมันได้ทุกครั้งที่ต้องการอีกด้วย
…ความสามารถรอบด้าน ทำให้มันเป็นรถที่คุ้มค่าทีเดียว
SPECIFICATIONS: MINI JOHN COOPER WORKS 3-Dr HATCH
- Engine: 1998cc. inline-4 Turbocharged, 231hp @ 5,200-6,200 rpm, 320 Nm @ 1,250-4,800 rpm
- Transmission: 8-speed Automatic, Front-wheel drive
- Performance: 6.1 sec 0-100 km/h, 246 km/h, 150 g/km Co2
- NCAP rating: 4 stars
อันดับ 7: Subaru BRZ
ราคา: 1,920,800 บาท
จุดเด่น: พื้นฐานที่ยอดเยี่ยมสำหรับนำไปโมดิฟายต่อไป, มิตรแท้สำหรับแทร็คเดย์, คล่องแคล่วสำหรับการใช้ในเมือง
จุดด้อย: แทบจะไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใด ๆ มาให้เลย, คุณภาพวัสดุ, เกียร์ธรรมดาคือ ตัวเลือกที่ดีกว่าด้วยประการทั้งปวง
คุณอ่านจุดด้อยของมันไปแล้วใช่ไหม? และจุดเด่นที่ BRZ มีนั่นแหละ คือสิ่งที่เราให้อภัยในข้อเสียของมัน…
นี่คือรถสปอร์ตคูเป้ที่มีราคาถูกที่สุดเท่าที่มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแม้จะเป็นรถเดิม ๆ จากโรงงาน แต่ BRZ ก็ยังขับสนุก และมีสมรรถนะที่น่าประทับใจ การบังคับควบคุม และประสิทธิภาพของช่วงล่างนั้นยิ่งกว่า “เหลือเฟือ” เมื่อเทียบกับพลัง 200 แรงม้า ของมัน
ราคา 1.9 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง หากคุณกำลังมองหารถสำหรับทั้งขับใช้งาน และเพื่อเริ่มต้นขับขี่ในสนามแข่ง ในคันเดียวกัน มีอุปกรณ์ปรับแต่งมากมายสำหรับอัพเกรด BRZ ของคุณให้มีสมรรถนะสูงยิ่งขึ้น ในราคาที่ไม่แพงนัก
การปรับแต่งกล่องควบคุมเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มแรงบิดในช่วงรอบกลาง ๆ ที่แหว่งหายไป และล้อกับยางสมรรถนะสูงสำหรับวิ่งในแทร็คสักชุด คือการเริ่มต้นที่ดี ถ้าคุณยังหนุ่มยังแน่น รุ่นเกียร์ธรรมดาเป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ
อ้อ! พับเบาะหลัง แล้วคุณจะสามารถเอาล้อพวกนั้นใส่เข้าไปได้ครบทั้ง 4 วง
สำหรับเอาไว้เปลี่ยนตอนถึงสนามแข่ง… มันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้!
SPECIFIACTIONS: SURABU BRZ
- Engine: 1,998 cc. 16v flat-four, 200 ps @ 7,000 rpm, 205 Nm @ 6,400-6,600 rpm
- Transmission: 6-speed automatic, rear-wheel drive
- Performance: 7.6 sec 0-100 km/h, 225 km/h top speed, 181 g/km Co2
- NCAP rating: 5 stars
อันดับ 6: Peugeot 3008
ราคา: 1,699,000 บาท
จุดเด่น: ราคา, ช่วงล่างนุ่มนวล เกาะถนน, ห้องเก็บสัมภาระ
จุดด้อย: ศูนย์บริการยังมีน้อยมาก, คุณภาพพลาสติก, ระบบควบคุมต่าง ๆ ใช้งานยาก
รถทดสอบคันสุดท้ายของปีนี้ มาพร้อมกับบิ๊กเซอร์ไพร์ส! Peugeot 3008 แทรกเข้ามาอยู่ในอันดับ 6 ด้วยราคาที่น่าคบหาของมัน… เริ่มต้นที่ 1,549,000 บาท ในเกรด Active และ 1,699,000 บาท สำหรับเกรด Allure เหมือนคันที่ได้มาทดสอบ, ชื่อชั้นของคุณภาพรถยุโรปนั้น เป็นอะไรที่ไม่ต้องสาธยายให้มากความ
Peugeot กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้งด้วยการแข่งขันทางด้านราคา พวกเขาส่ง 3008 มาท้าชิงกับรถญี่ปุ่นไซส์เดียวกัน แทนที่จะขึ้นไปแข่งบุญแข่งวาสนากับแก๊งยูโรด้วยกัน ซึ่งก็คงไม่ต้องเดาว่าจะบาดเจ็บขนาดไหนหากเลือกทำศึกกับแบรนด์จากทวีปเดียวกัน
เมื่อพิจารณาจากตัวรถเพียงอย่างเดียว ผมฟันธงเลยว่า 3008 เหนือกว่ารถญี่ปุ่นคู่แข่งของมันทุกคัน และในทุก ๆ ด้าน เพียงแต่แบรนด์ Peugeot ในไทยนั้น ในอดีตเคยสร้างความชอกช้ำ (และเจ็บช้ำ) ให้กับคนไทยมาแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของบริการหลังการขาย และราคาอะไหล่ คงต้องติดตามต่อไปว่า เมื่ออยู่ในมือของผู้เล่นรายใหม่อย่าง MGC-Asia จะแก้ปมนี้ออกได้อย่างไร
…รถน่ะ “ดี” ที่เหลือไปลุ้นกันอีกที สู้ ๆ นะ Peugeot
SPECIFICATIONS: PEUGEOT 3008 1.6 TURBO ALLURE
- Engine: 1,598 cc. inline-4 turbocharged petrol, 167 ps @ 6,000 rpm, 240 Nm @ 1,400-4,000 rpm
- Transmission: 6-speed automatic, Front-wheel drive
- Performance: 8.9 sec 0-100 km/h, 205 km/h top speed, 129 g/km Co2
- NCAP rating: 5 stars
อันดับ 5: Mazda3 Hatchback
ราคา: 1,198,000 บาท
จุดเด่น: เซ็กซี่ยิ่งกว่า Alexandra Daddario, มีชีวิตชีวากว่าโมเดลที่แล้ว, เครื่องเสียงจาก Bose ช่างเลอค่า
จุดด้อย: ทัศนวิสัยรอบด้านยังไม่ดีนัก, เบาะนั่งต่ำเกินไป, คุณภาพการประกอบ
“เดี๋ยวก่อน! นักข่าวสายรถยนต์เขาให้มันเป็น Car of The Year เลยนะ” ช่างพวกเขาเถอะครับ 555+ Mazda3 เป็นหนึ่งในรถที่ดี ไม่ว่าจะด้วยตัวมันเอง หรือเปรียบเทียบกับรถอื่น ๆ ในคลาสของมัน
แฮทช์แบ็คโฉมใหม่ล่าสุดของ Mazda คันนี้ มีดีไซน์ที่เรียบง่าย ทว่าช่างงดงาม และชวนหลงใหล บวกด้วยเครื่องยนต์ที่แม้จะเป็นของเก่า แต่การปรับระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ทำให้มันกระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น ส่งให้ “3” โฉมล่าสุด รับอันดับ 5 ของเราไปครอง
แล้วอะไรที่ทำให้มันไม่ขยับขึ้นไปอยู่อันดับสูงกว่านี้? อย่างแรกเลยก็คือ ความรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องอยู่ในห้องโดยสารที่มีกระจกรอบด้านบีบแคบ กับเสา C ที่ทึบตัน และเบาะนั่งต่ำเตี้ย, เราจะยกโทษให้ถ้ามันเป็นรถสปอร์ตที่เน้นเรื่องสมรรถนะ, ระบบเบรก
ที่แม้ผมได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่นักข่าวอีกท่านที่ทดสอบประสิทธิภาพด้วยเครื่องมือดิจิตอล ว่ามันให้ประสิทธิภาพอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งรายอื่น ๆ (ซึ่งผมก็ว่ามันเบรกอยู่นะ) แต่สัมผัสที่ทื่อ ๆ ลื่น ๆ ของมัน คอยหลอกหลอนจนไม่กล้าเข้าใกล้รถคันอื่น บั่นทอนความมั่นใจขณะขับขี่ไปมาก ส่วนระบบแอคทีฟครูสคอนโทรล ก็ตรวจจับรถคันหน้าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง – ตอนหัวค่ำบนมอเตอร์เวย์ – มันพาเราพุ่งเข้าหาท้ายรถสิบล้อด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. โดยไม่มีทีท่าว่าจะเบรก แม้จะเข้าใกล้มากแล้วก็ตาม… อันดับ 5 ก็พอ
SPECIFICATIONS: MAZDA 3 2.0 SP SPORTS
- Engine: 1,998 cc. inline-4 petrol, 165 ps @ 6,000 rpm, 213 Nm @ 4,000 rpm
- Transmission: 6-speed automatic, Front-wheel drive
- Performance: 8.2 sec 0-100 km/h, 210 km/h top speed, 135 g/km Co2
- NCAP rating: 5 stars
อันดับ 4: Toyota Altis Hybrid
ราคา: 1,099,000 บาท
จุดเด่น: รถไฮบริดหนึ่งเดียวในคลาส, อัตราสิ้นเปลือง, ช่วงล่าง
จุดด้อย: ระบบบังคับเลี้ยว, ควรแรงกว่านี้, เครื่องเสียงไม่รองรับ Android Auto
มีหลาย ๆ อย่าง ที่ Altis ด้อยกว่า Mazda 3 อาทิ คุณภาพวัสดุในห้องโดยสาร, ความสนุกในการขับขี่ และรูปร่างหน้าตา รวมไปถึงการที่มันถูกนำไปใช้เป็นรถ Taxi ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลทางด้านจิตใจของผู้ซื้อบางส่วน แต่ข้อได้เปรียบทั้งในเรื่องของราคาที่ถูกกว่าถึง 1 แสนบาท และอัตราสิ้นเปลืองระดับ 18 กม./ลิตร กับการปล่อยมลพิษเพียง 97 กรัม/กม. ช่วยให้ Altis Hybrid มีความน่าสนใจมากกว่า Mazda 3 รวมถึงรถรุ่นอื่น ๆ ในคลาสเดียวกัน
และเหมือนที่เคยชื่นชมเสมอมา… โครงสร้าง TNGA คือส่วนสำคัญที่ทำให้ Altis เป็นรถที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงล่างที่นุ่มนวล และเกาะถนนเป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ค่อนข้างต่ำได้ ซึ่งนั่นรวมถึงเบาะนั่งที่แม้จะต่ำ ทว่าทัศนวิสัยโดยรอบชัดเจน ทั้งยังนั่งสบายอีกด้วย คุณภาพวัสดุก็ดีกว่าโมเดลก่อนชนิดหนังคนละม้วน ชิ้นส่วนพลาสติกหน้าตาดูดีขึ้น การประกอบก็ทำได้ดีขึ้นเช่นกัน
…เลือกรุ่น Hybrid เท่านั้น อย่าไปสนใจเครื่อง 1.8 เบนซิน
SPECIFICATIONS: TOYOTA ALTIS HYBRID HIGH
- Engine: 1,798 cc. inline-4 petrol hybrid, 122 ps @ 5,200 rpm, 142 Nm @3,600 rpm
- Transmission: CVT, Front-wheel drive
- Performance: n/a 0-100 km/h, n/a top speed, 97 g/km Co2
- NCAP rating: 5 stars
อันดับ 3: Honda Accord Turbo EL
ราคา: 1,475,000 บาท
จุดเด่น: แฮนด์ลิ่งแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Accord, อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสมราคา
จุดด้อย: เฮดรูมของที่นั่งด้านหลัง, กระจกมองข้างขนาดเล็ก, ไม่ค่อยได้ประโยชน์จากกล้องมองด้านข้าง
แอบเสียดายนิด ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ขับ Toyota Camry รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ซึ่งเป็นคู่ปรับโดยตรงของ Accord 1.5 Turbo คันนี้ แต่ดูจากสเปค และรายการอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้ว คงต้องบอกว่า Accord ได้เปรียบกว่าเล็กน้อย และนั่นคือเหตุผลที่เราให้มันเข้ามาอยู่ในอันดับ 3
จุดที่โดดเด่น และน่าประทับใจมาก ๆ ก็คือ มันเป็นรถที่ขับสนุก ทั้งยังให้การบังคับควบคุมที่ดี พวงมาลัยอาจยังไม่ถึงขั้นเฉียบคม แต่เท่าที่มีอยู่ตอนนี้ก็อยู่ในระดับที่น่าปรบมือให้ มันมีน้ำหนักที่พอเหมาะพอเจาะในทุกย่านความเร็ว ส่วนเครื่องยนต์ก็ตอบสนองได้ดี และเกียร์ CVT ก็มีอัตราทดที่ช่วยให้ Accord ใหม่ กระฉับกระเฉงปราดเปรียวขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ มาก
ห้องโดยสารกว้างขวาง และนั่งสบาย เบาะนั่งอาจจะต่ำไปนิดนึง และเฮดรูมของเบาะหลังก็น้อยไปหน่อย แต่ไม่ถึงกับอึดอัดแต่อย่างใด อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็มีให้ในระดับที่คุ้มค่าสมราคา และใช้งานง่าย
แล้วรุ่น Hybrid ล่ะ? ขออนุญาตกล่าวรวมไปถึง Camry Hybrid ด้วยเลยแล้วกัน… ทั้ง Accord และ Camry เวอร์ชั่นรักโลก ก็ถือว่าทำได้ดีทั้งคู่เช่นกัน โดยคันแรก เราทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 13.2 กม./ลิตร
ในขณะที่รุ่น Turbo ทำได้ 11.4 กม./ลิตร ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้ ทำให้เราตัดรุ่น Accord Hybrid ออกจากลิสต์ เพราะมันแพงกว่าถึง 3.2 แสนบาท ส่วน Camry Hybrid นั้น ทำได้ที่ 16 กม./ลิตร แต่ก็ถูกตัดออกจากลิสต์เช่นกัน เนื่องจากมีรุ่น 2.5 G ที่น่าสนใจกว่า
…เอ๊ะ! นี่เราเฉลยอันดับ 2 ไปแล้วใช่มั้ย?!?!
SPECIFICATIONS: HONDA ACCORD TURBO EL
- Engine: 1,498 cc. inline-4 turbo petrol, 190 ps @ 5,500 rpm, 243 Nm @ 1,500-5,500 rpm
- Transmission: CVT, front-wheel drive
- Performance: n/a
- NCAP rating: n/a
อันดับ 2: Toyota Camry 2.5 G
ราคา: 1,599,000 บาท
จุดเด่น: อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเต็มพิกัด, ช่วงล่างนุ่มนวล เกาะหนึบ, คุณภาพวัสดุ
จุดด้อย: ถ้าอัตราสิ้นเปลืองดีกว่านี้อีกนิดล่ะก็….
ผมขับทดสอบคันนี้ไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม และจับใส่ไว้ในลิสต์ Car of The Year เป็นคันแรกของปีนี้ โชคดีที่ Honda ไม่ได้ขาย Accord รุ่น 2.0 Turbo เกียร์ 10 สปีด (อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้) นั่นทำให้ Camry 2.5G เป็นตัวเลือกอันดับ 1 ไปโดยปริยาย
มันอยู่กึ่งกลางระหว่างรุ่น 2.0 ลิตร ตัวเริ่มต้น และรุ่น Hybrid ด้วยราคากึ่งกลางเช่นกันที่ 1.6 ล้านบาท แพงกว่าตัวเริ่มต้น 1.44 แสนบาท และถูกกว่า Hybrid ตัวท้อป (ซึ่งมีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย แต่แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์) ถึง 2.1 แสนบาท
แต่ Camry Hybrid ตัวเริ่มต้น แพงกว่ามันแค่ 5 หมื่นบาท, ออปชั่นเหนือกว่านิดหน่อย และประหยัดน้ำมันกว่า ทำไมถึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีกว่า? เหตุเพราะเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เมื่อทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ กลับให้สมรรถนะที่ดีกว่ารุ่น Hybrid อย่างเห็นได้ชัด
อัตราทดเกียร์ที่เซ็ตมาเข้าขากับเครื่องยนต์ ส่งให้ Camry 2.5G ขับสนุก และสมน้ำสมเนื้อกับบุคลิกของช่วงล่าง ในขณะที่เกียร์ CVT ของ Hybrid บวกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 100 กก. จากมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ทำให้มันอุ้ยอ้ายกว่า และช่วงล่างก็นุ่มนิ่มยวบยาบกว่า
2.5G เผยให้เห็นด้านที่ดีของโครงสร้างตัวถัง TNGA ได้ชัดเจน กระชับ, สื่อสาร และตอบสนอง ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของแชสซีส์นี้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อัตราสิ้นเปลืองที่ 10 กม./ลิตร สำหรับเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร, 209 แรงม้า ถือว่าอยู่ในระดับทั่ว ๆ ไป เมื่อเทียบกับรถส่วนใหญ่ที่เรานำมาขับทดสอบ ซึ่งเรารับประกันว่ามันจะทำได้ดีกว่านี้แน่นอน เพราะวันทดสอบเราขับด้วยความเร็วเฉลี่ยราว 140 กม./ชม. โดยส่วนใหญ่ เนื่องจากวันนั้น #พี่รีบ555+
แน่นอนว่ารุ่น Hybrid ประหยัดกว่า (ที่ 16 กม./ลิตร) แต่ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่กับรถที่จืดชืด ขอคันที่เปลืองกว่านิดหน่อย แต่สนุกสนานมีสีสัน จะดีกว่า
SPECIFICATIONS: TOYOTA CAMRY 2.5G
- Engine: 2,487 cc. inline-4 petrol, 209 ps @ 6,600 rpm, 250 Nm @ 5,500 rpm
- Transmission: 8-speed automatic, Front-wheel drive
- Performance: n/a
- NCAP rating: 5 stars
และนี่คือ #รถยอดเยี่ยมแห่งทีม Torque Magazine คันที่ดี และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปที่สุด จากรถทั้ง 46 คันที่ผมขับทดสอบในปี 2019… ความจริงต้องบอกว่า “เกินคุ้ม” เสียด้วยซ้ำ!!! ยืนขึ้นปรบมือรัว ๆ ให้กับ………..
อันดับ 1: Mercedes-Benz E53 AMG 4Matic+
ราคา: 4,990,000 บาท
จุดเด่น: สมรรถนะ, ความสะดวกสบาย, คุณภาพสูงทุกกระเบียดนิ้ว, ท่อดังลั่นทุ่ง
จุดด้อย: ช่วงล่างด้านหลังแข็งไปหน่อย… แต่ช่างมันเถอะ!
การพบกันระหว่างสมรรถนะอันบ้าคลั่ง และความสะดวกสบายระดับ First-class… ในขณะที่ M4 CS อยู่บนเส้นคั่นระหว่างสองสิ่งนั้น รถสี่ประตูขนาดกลางจาก Merc อยู่ได้ทุกที่ในอาณาเขตดังกล่าว นี่คือซูเปอร์ซาลูนชั้นยอด มาพร้อมกับขุมพลัง 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่, 435 แรงม้า, 520 นิวตันเมตร ในราคาเพียง 5 ล้านบาท!
ข้อได้เปรียบจากการประกอบในประเทศส่งให้ E53 AMG เป็นรถสมรรถนะสูงที่มีราคาจับต้องได้ที่สุด ณ เวลานี้ (อย่างน้อยก็จนกว่า BMW คิดจะประกอบ M car ในไทยบ้าง) และถ้าคุณยังเคลือบแคลงเรื่องคุณภาพการประกอบอยู่ล่ะก็… ปัจจุบัน พวกเขาปรับปรุงจนกลับมาสู่มาตรฐานเดิมอีกครั้ง
และเมื่อเป็นรถในกลุ่ม AMG คุณจะได้สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่า ดูที่งานตกแต่งคาร์บอนเงาวับพวกนั้น, โลหะแวววาว และหนังแท้เนื้อนุ่ม ทุกอย่างในห้องโดยสารเป็นมากกว่าความประทับใจ นอกจากนั้น มันยังกว้างขวาง นั่งสบาย และพรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกคับคั่งอีกด้วย
ในการใช้งานทั่วไป E53 AMG ยังคงให้สัมผัสเหมือน E-class รุ่นมาตรฐานทุกประการ สะดวกสบาย, ผ่อนคลาย และสงบสุข จะต่างกันก็ตรงที่ช่วงล่างกระโดดกระเด้งกว่าเล็กน้อย และเสียงจากปลายท่อที่ดังเข้ามาบ้างในรอบกลาง ๆ ขึ้นไป แม้อยู่ในโหมด Comfort ก็ตาม…
พนันได้เลยว่าคุณอยากได้ยินมันดังขึ้นอีก! ปรับไปที่โหมด Sport แล้วคุณจะได้สิ่งนั้น หรือเข้าสู่ Sport+ เพื่อเปิดวาล์วของท่อไอเสียให้หมดเปลือก และปล่อยทั้ง 435 แรงม้าออกมา E53 จะคำรามลั่น (Merc แอบปล่อยเสียงท่อออกมาทางลำโพงในรถด้วย เพิ่งรู้เหมือนกัน #ร้ายกาจนักนะ 555+) เป็นซาวด์แทร็คประกอบภารกิจผิดกฎหมายของคุณ
ความสุภาพนอบน้อมหายไปจากมันจนหมดสิ้น จะมีก็แต่ความฉุนเฉียว และแรงฉุดอันบ้าคลั่งจากแรงบิดทั้ง 520 นิวตันเมตร และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ดึงหนัก ๆ ตั้งแต่ 1,500 รอบ/นาที ไปจนถึงเรดไลน์ ก่อนเสียง “บลับๆๆๆๆๆๆๆ” จากปลายท่อจะดังขึ้นในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ “เร็วขึ้นอีก! เร็วขึ้นอีก!” จิตใต้สำนึกของคุณจะร้องขอจาก E53 อย่างไม่รู้จักพอ ข่าวดีก็คือ มันให้คุณได้ตามนั้น!!!
ไม่มีรถคันใดในปีนี้ ทำได้อย่างที่ E53 ทำ มันสมบูรณ์แบบสำหรับทุกสถานการณ์, ทุกโอกาส และทุกย่านความเร็ว รถที่มอบความสะดวกสบายเหนือชั้นตามแบบฉบับของ Benz บวกด้วยสมรรถนะที่พร้อมเสมอสำหรับการเล่นบทบู๊ พลังแรง, เกาะหนึบ และควบคุมได้เชื่องมือ
…E53 AMG อธิบายอาการ “ไบโพล่า” ได้ดีที่สุด
SPECIFICATIONS: MERCEDES-BENZ E53 AMG 4MATIC+
- Engine: 2,999 cc inline-6 twin-turbo petrol, 435 ps @ 6,100 rpm, 520 Nm @ 1,500-5,800 rpm
- Transmission: 9-speed automatic, all-wheel drive
- Performance: 4.5 sec 0-100 km/h, 250 km/h (limit) top speed, 210 g/km Co2
- NCAP rating: 5 stars