รีวิว ทดสอบรถ: All-New NISSAN KICKS e-POWER ทดลองขับแบบเต็มรูปแบบ ด้วยระยะทางกว่า 450 กม. โดยใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี
รีวิว ทดสอบรถ: All-New NISSAN KICKS e-POWER คอมแพ็ค เอสยูวี
All-New NISSAN KICKS e-POWER นวัตกรรมแห่งการขับเคลื่อนไม่สะอาดที่สุดแต่…ดีพอ
หลังจากเปิดตัวไปนานพอตัว บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดทดลองขับแบบเต็มรูปแบบกับ All-New NISSAN KICKS e-POWER (นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ใหม่) ตามการใช้งานจริงด้วยระยะทางกว่า 450 กม. โดยใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี บนเส้นทางการขับขี่หลากหลายรูปแบบ ตามคอนเซ็ปต์ “พลังแห่งความเร้าใจ” (Powered to Thrill) เพื่อให้เราได้ทดสอบทุกสมรรถนะของเทคโนโลยี e-Power และได้รู้จักระบบ One-Pedal ให้มากขึ้นกับการขับขี่จริง
โดยเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ นี้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะทำการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์ โดยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่กำลังสูงจะถูกส่งไปยังระบบขับเคลื่อนขนาดกะทัดรัดของอี-พาวเวอร์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อินเวอร์เตอร์ (Inverter) มอเตอร์ไฟฟ้า (electric motor) และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion battery) แตกต่างจากระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดทั่วๆ ไป ที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะมีกำลังไม่สูงมากและจะทำงานคู่กับเครื่องยนต์สันดาปภายในเพื่อการขับเคลื่อนในขณะพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือน้อย (หรือรวมถึงการขับขี่ด้วยความเร็วสูง)
อย่างไรก็ตามในระบบอี-พาวเวอร์นั้น เครื่องยนต์สันดาปภายในไม่ได้ถูกเชื่อมต่อกับล้อขับเคลื่อน ทำหน้าที่เพียงให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าสู่แบตเตอรี่และอินเวอร์เตอร์ โดยความแตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้า 100% เต็มรูปแบบ คือ ระบบอี-พาวเวอร์ได้รับพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน
หรือพูดง่ายๆ e-Power จะใช้เครื่องยนต์มาปั่นไฟสู่แบตเตอรี่ ทำให้คุณไปที่ไหนก็ได้ ตราบใดที่คุณยังมีน้ำมันอยู่ในถัง แต่คุณจะได้สมรรถนะที่ตอบสนองแบบรถไฟฟ้าในระยะทางที่ไกลมากขึ้นเหมือนรถยนต์ทั่วไป แต่ค่าบำรุงรักษาถูกกว่า Eco Car อีกด้วย ซึ่งเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อรักษาระดับของแบตเตอรี่ที่ 40-90 % เอาไว้ ถ้าแบตเตอรี่ต่ำถึง 40% เครื่องยนต์ก็จะทำงาน และจะหยุดชาร์จที่ 90% เพื่อเป็นการยืดอายุแบตเตอรี่อีกทาง โดยระบบแบบนี้ว่า Extended-range electric vehicles (EREV) หรือระบบเพิ่มระยะทางในรถยนต์ไฟฟ้า โดยแบตเตอรี่ไม่ต้องอาศัยการชาร์จจากแหล่งพลังงานภายนอกให้เสียเวลา
นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ใหม่ เป็นรถครอสโอเวอร์ พร้อมเอกลักษณ์การออกแบบ หรือ Design DNA ที่เป็นเฉพาะของนิสสันเช่นเดียวกับในรถยนต์นิสสันทุกรุ่น โดยคอมแพ็คเอสยูวีคันนี้ โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ V-motion ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED ทรงบูมเมอแรง การออกแบบแนวเส้นหลังคาแบบลอยตัว (floating roof line) โดยตัวรถมีมิติตัวถัง มีความยาว 4,290 มม. กว้าง 1,760 มม. และสูง 1,615 มม. ระยะฐานล้อ 2,615 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.1 ม. ถังน้ำมันมีความจุ 41 ลิตร
ภายในห้องโดยสาร มีการออกแบบแผงคอนโซลหน้าให้ดูเรียบ เท่ มีการเลือกใช้วัสดุหนังสังเคราะห์แบบนุ่มเดินตะเข็บด้าย, พวงมาลัยหุ้มหนังทรง D-Shape, หัวเกียร์หุ้มหนัง, มีการจัดวางปุ่ม Push Start ใหม่, มีการตกแต่งด้วยเฉดสี Piano Black/Silver, เบาะนั่งแบบ Zero Gravity เล่นสีทูโทนรับกับสีภายนอกของตัวถัง นอกจากนี้ ยังมีมาตรวัดดิจิทอล จอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว และดูทันสมัยด้วยจอวิทยุ แบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ซึ่งเป็นจอที่ใหญ่สุดในรถกลุ่มเดียวกัน
รองรับการเชื่อมต่อ Nissan Connect เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอเครื่องเสียง ผ่าน Apple CarPlay ช่วยให้คุณอัพเดทโลกออนไลน์ และสร้างความบันเทิงได้ตลอดการเดินทาง ไม่พลาดทุกการสื่อสาร และยังอำนวยความสะดวกสบายด้วยระบบนำทาง Navigation System ผ่าน Google Map ที่มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง (Voice Recognition) ที่ใช้งานง่าย และมีความแม่นยำสูง สำหรับพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เบาะตอนหลังสามารถพับได้ในสัดส่วน 60:40 และ 100 % ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระด้านหลังได้มากถึง 423 ลิตร
ขุมพลังของ All-New NISSAN KICKS e-POWER วางเครื่องยนต์รหัส HR12DE เป็นเครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC ขนาดความจุ 1.2 ลิตร สำหรับสร้างกระแสไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที. แรงบิด 103 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600-5,200 รอบต่อนาที. ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับขับเคลื่อน เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 ชนิด AC3 Synchronous Motor กำลังสูงสุด 129 แรงม้า ที่ 4,500-8,992 รอบต่อนาที. แรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร ที่ 500-3,008 รอบต่อนาที. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีใหม่ One-Pedal มาพร้อมระบบ e-Power ช่วยให้การขับขี่เป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยการใช้แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียวในการเร่ง หรือชะลอความเร็ว พร้อมยังมี 4 โหมดการขับขี่ ได้แก่ Normal Mode ให้อัตราเร่งแบบรถไฟฟ้า แต่ตอบสนองในการเบรคเหมือนรถยนต์ทั่วไป, S Mode เน้นสมรรถนะในการขับเคลื่อน และตอบสนองอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม, Eco Mode ปรับการทำงานของระบบ e-Power ให้ใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง, EV Mode เป็นโหมดขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบทเตอรี และ N Mode เป็นโหมดเกียร์ว่างขณะดับเครื่องยนต์
ในเรื่องความปลอดภัยถือว่ามาอย่างเต็มสูบ ด้วยระบบ Nissan Intelligent Mobility ได้แก่ ICC ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, IRC ระบบช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ, IEB ระบบช่วยเบรคฉุกเฉิน, IFCW ระบบสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า, IRVM ระบบกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน พร้อมกล้องมองภาพจากภายนอก แบบเดียวกับที่ใช้ใน Nissan Terra (นิสสัน แตร์รา), BSW ระบบเตือนจุดอับสายตา, RCTA ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย,
VDC ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ, HAS ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, AVM ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง, MOD ระบบตรวจจับวัตถุและบุคคลรอบตัวรถ, ITC ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง, ถุงลมนิรภัย 6 จุด (ด้านหน้า/ด้านข้าง/ม่านถุงลม), ABS ระบบเบรคป้องกันล้อลอค, EBD ระบบเสริมแรงเบรค, BA ระบบเบรคมือไฟฟ้า, ไฟเบรคดวงที่ 3, และเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับ ซึ่งช่วยให้คนขับขับขี่ได้ง่ายยิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดอุบัติเหตุได้ไม่มากก็น้อยอีกทางหนึ่ง
จากการทดลองขับสิ่งที่สัมผัสได้ทันทีคือ ความกว้างขวางของภายในห้องโดยสาร ที่นั่งด้านหน้าและด้านหลัง นั่งสบาย ยังมีพื้นที่เหลือในส่วนศรีษะและขา วัสดุที่ใช้แม้จะเป็นหนังเสียส่วนใหญ่ แต่ยังให้ความรู้สึกถึงคุณภาพผิววัสดุที่ยังไม่ดีมากนัก เมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งเจ้าอื่น ระบบควบคุมพวงมาลัยหรือ Handling ก็ตอบสนองได้ดี มีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเลน หรือทางโค้งที่คดเคี้ยวไปมา ก็ถือมีความแม่นยำขึ้นอีกระดับ แถมนิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ใหม่ ยังมีรัศมีวงเลี้ยวที่แคบสุดในเซ็กเมนต์ที่ 5.1 เมตร พร้อมพวงมาลัยเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า ทำให้สามารถตอบสนองได้อย่างฉับไว ในทุกสภาพเส้นทาง
สำหรับผู้โดยสาร ช่วงล่างมีความนุ่มนวลพอประมาณแต่ไม่แข็งกระด้างจนน่ารำคาญ แต่ก็ใช้ความมั่นใจเมื่อต้องใช้ความเร็วสูง การเก็บเสียงถือว่าดี แต่พอเครื่องยนต์ตัดเพื่อปั่นไฟเข้าสู่แบตเตอรี่เสียงค่อนข้างดังไปเสียหน่อย จากการใช้งานจริงตามเส้นทางจราจรที่หลากหลาย ทั้งการจราจรในกรุงเทพฯ ผ่านทางหลวงสายหลักที่มี 4 ช่องทางจราจร หรือทางหลวงชนบทข้ามขุนเขาจากราชบุรี สู่กาญจนบุรี ระยะกว่า 450 กม. All-New NISSAN KICKS e-POWER ได้พิสูจน์ความโดดเด่นให้เราเห็นคือ อัตราเร่งที่น่าประทับใจที่ไม่ต้องกดคันเร่งมากมายรถก็พร้อมตอบสนองได้อย่างทันใจ ทำให้การเร่งแซงไม่ต้องกังวล
อัตราบริโภคถือว่าอยู่ในระดับ 17 -18 กิโลเมตรต่อลิตรกับการใช้งานจริง กับขนาดของตัวรถที่ใช้งานได้จริงก็ถือว่าเป็นการบุกเบิกรถไฟฟ้าที่น่าประทับใจ ที่สำคัญคุณไม่ต้องไปกังวลกับระยะทางเวลาเดินทางเหมือนรถไฟฟ้าทั่วไป ค่าตัวของ All-New NISSAN KICKS e-POWER เริ่มต้นด้วยรุ่น e-Power S ราคา 889,000 บาท รุ่น e-Power E ราคา 949,000 บาท รุ่น e-Power V ราคา 999,000 บาท และรุ่นทอพ e-Power VL ราคา 1,049,000 บาท
เทียบกับความทันสมัย ระบบความปลอดภัย ประหยัดน้ำมัน และรักษาสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการประกันแบตเตอรี่ ลิเทียมไอออน เป็นระยะเวลาสูงสุด 10 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาและระยะทางที่ใช้งาน ขณะที่ระบบไฟฟ้า อี-พาวเวอร์ และ อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ได้การรับประกันที่ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
ซึ่งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้านี้ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ของเหลว หรือไส้กรองใดๆ ตลอดอายุการใช้งาน ประมาณค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 19,560 บาท ซึ่งต่ำกว่ารถเซ็กเมนต์เดียวกัน ประเภทไฮบริดถึง 20% ซึ่งตลาดรถไฟฟ้ามีแนวโน้มที่กำลังจะเติบโตในอนาคต แต่ยังมีจุดบกพร่องในหลายๆ จุด All-New NISSAN KICKS e-POWER น่าจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างปัจจุบันกับอนาคตของรถไฟฟ้าที่น่าสนใจในตอนนี้