Breaking News

Ford Ranger Raptor ผู้สร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ แห่งปิคอัพสายพันธ์ุออฟโรด

Ford Ranger Raptor กับกระแสการเปิดตัวเจ้ารถกระบะสายพันธุ์ดุ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เรารอคอยกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยค่าตัว 1,699,000 บาท ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนที่น่าทึ่ง รวมไปถึงระบบช่วงล่างที่เซทมาเป็นอย่างดี และไม่รอช้าทาง Ford เชิญสื่อมวลชนไปร่วมทดสอบรถ Ford Ranger Raptor กันที่เขาใหญ่ โดยเนรมิตทุ่งหญ้าให้เป็นลานทดสอบความแกร่ง

Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-1.jpg
สื่อมวลชนไปร่วมทดสอบรถ Ford Ranger Raptor กันที่เขาใหญ่

Ford Ranger Raptor

เรียกได้ว่าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ แห่งปิคอัพสายพันธ์ุออฟโรด ด้วยความลงตัวในทุก ๆ ด้าน จากผลงานที่ได้รับการถ่ายทอด DNA มาจาก Ford Performance

Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-2.jpg
Ford Ranger Raptor
Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-3.jpg
Ford Ranger Raptor

Ford Ranger Raptor

ทำให้ทั้งโลกต้องจับตามอง ตั้งแต่มิติตัวถังที่ใหญ่ขึ้น เช่น ความยาว 5,398 มม., ความกว้าง 2,180 มม., ความสูง 1,873 มม. ตามด้วยระยะความกว้างของแทรคล้อคู่หน้า และหลังที่ขยับไปเป็น 1,710 มม. รวมถึงความสูงใต้ท้องรถที่เพิ่มขึ้นเป็น 283 มม. ซึ่งทำให้ขีดความสามารถด้านออฟโรดได้รับการยกระดับมากขึ้น ด้วยมุมไต่ที่ 32.5 องศา ตลอดจนมุมคร่อม และมุมจากที่ 24 องศา ที่เรียกว่าเหนือชั้นกว่ารถรุ่นใดที่เคยมีมา

โดยรูปลักษณ์จากมุมมองด้านหน้าที่มากับกระจังหน้าใหม่ ที่มากับตัวอักษณ Ford ตัวพิมพ์ใหญ่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยแรงบันดาลใจจาก Ford F-150 Raptor พร้อมด้วยการเสริมทัศนวิสัยด้วยไฟตัดหมอกแบบ LED และช่องรีดอากาศ ที่ช่วยลดการต้านลม

ในขณะที่ด้านข้างบริเวณแก้มรถได้รับการออกแบบใหม่ และผลิตด้วยวัสดุคอมโพสิต ที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อการบุบ และรอยขีดข่วนจากการใช้งานแบบออฟโรด

นอกจากนี้บันไดข้างยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อป้องกันเศษหิน และเจาะรูระบาย โดยผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยเพื่อเพิ่มความทนทาน ด้วยบททดสอบการกดน้ำหนักถึง 100 กก. ถึง 84,000 ครั้ง ตามมาด้วยด้านหลังกับบริเวณกันชนท้าย ที่ได้ผ่านการปรับปรุงใหม่ ด้วยการติดตั้งชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด สำหรับรองรับการลากจูงที่ทำได้ถึง 3.8 ตัน ทั้งยังมอบพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวางด้วยขนาดกระบะท้าย 1,560 x 1,743 มม.

ภายในห้องโดยสาร

Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-4.jpg
ภายในห้องโดยสาร
Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-5.jpg
ภายในห้องโดยสาร
Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-6.jpg
ภายในห้องโดยสาร
Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-7.jpg
ภายในห้องโดยสาร

ที่มาพร้อมเบาะที่นั่งได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ พร้อมกับการเลือกใช้หนังกลับเป็นวัสดุของเบาะ เพื่อสร้างการยึดเกาะ รวมถึงการออกแบบให้มีความกระชับรับกับสรีระได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย รวมไปถึงการออกแบบแผงหน้าปัด ที่ให้ความรู้สึกดุดัน พร้อมด้วยการแสดงผลของระบบต่าง ๆ ในขณะที่พวงมาลัยก็มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จากแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ขนาดใหญ่ ตามด้วยการติดตั้งแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Center Marker ด้านบนของพวงมาลัย ที่ช่วยให้ทราบถึงตำแหน่งองศาของพวงมาลัยขณะขับขี่แบบออฟโรดด้วยความเร็วสูง ตามมาด้วยกุญแจรีโมทอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ

Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-8.jpg
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0L Bi-Turbo

สิ่งที่ส่งให้ Ford Ranger Raptor กลายเป็นที่สุดแห่งกระบะออฟโรด ก็คือ เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ในพิกัด 2.0 ลิตร พ่วงตัวช่วย Bi-Turbo ประสิทธิภาพสูง ทั้งตัวเทอร์โบแรงดันสูง (HP) และเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) และผลลัพธ์ก็คือพละกำลังที่สูงถึง 213 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ด้านระบบส่งกำลังนั้นมากับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดที่ยกมาจาก Raptor F-150 อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษที่เรียกว่า ‘Live in Drive’ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift สำหรับควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ ได้ทุกเมื่อแม้ในตำแหน่งเกียร์ D

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ

คือ ระบบช่วงล่างซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับการขับขี่สุดโหด ด้วยโช๊คอัพแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่ Fox Racing Shox ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยการใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มม. ทั้งคู่หน้าและคู่หลัง รวมถึงออกแบบให้มีระยะการให้ตัวของล้อสูง เพื่อความสามารถในการดูดซับแรงกระแทก ในขณะเดียวกันระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass Technology) ก็สามารถช่วยให้ขับขี่บนถนนทางเรียบเป็นไปอย่างราบรื่นได้ด้วยเช่นกัน

สำหรับในส่วนอื่น ๆ ของระบบช่วงล่าง

นั้นประกอบด้วบ ปีกนกที่ทำจากอลูมิเนียม ซึ่งด้านบนทำด้วยวิธีการฟอร์จ และปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ เพื่อให้ระบบช่วงล่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และแข็งแรงทนทานต่อการขับขี่แบบออฟโรด นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งยาง All-Terrain BF Goodrich 285/70 R17 ที่พัฒนาเป็นพิเศษมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยยางหน้าจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 838 มม. และกว้าง 285 มม. พร้อมด้วยแก้มยางที่มีความแข็งแรงสูง, ดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ และติดตั้งแผงกันกระแทกด้านล่าง ที่ผลิตจากเหล็กกล้า High-Strength Steel หนา 2.3 มิลลิเมตร ตามมาด้วยชุดกันกระแทกด้านล่างที่ป้องกันเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง (Transfer Case)

จุดเริ่มต้นการเดินทาง

โดยเราเริ่มเดินทางออกจากโรงแรมใจกลางเมืองกรุงเทพลัดเลาะจราจรช่วงสายที่รถค่อนข้างมาก แม้ตัวรถจะมีขนาดใหญ่แต่ก็ยังคงให้การตอบสนองที่ดี ทั้งในการควบคุมและอัตราเร่ง ขบวนได้รับความสนใจจากผู้คนพอสมควร โดยเราวิ่งกันในรูปแบบฟรีรัน มุ่งหน้าขึ้นทางด่วนตัดออกทางด่วนรามอินทรา มุ่งสู่วงแหวนบางปะอิน และตัดออกไปเส้นนครนายก ตัดข้ามหลังเขาใหญ่

โดยวันนั้นมีเพื่อนร่วมทางคับคั่งมาก ตลอดเส้นทางทำให้เราใช้ความเร็วไม่สูงมากนัก จนมาถึงด่านเขาใหญ่ ซึ่งเราข้ามจากฝั่งทางนครนายก ซึ่งเราได้เห็นประสิทธิภาพของช่วงล่างที่ช่วยให้การเกาะถนนในโค้งเขาใหญ่เป็นไปได้อย่างดี ช่วงล่างทำหน้าที่ของมันในทุก ๆ โค้ง เราแทบไม่ได้ยินเสียงยางลั่น แม้จะใช้ความเร็วพอสมควรก็ตาม เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่รุ่นใหม่ สามารถทำงานผสานกับชุดเกียร์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยคุณไม่ต้องไปเปลี่ยนเกียร์ให้วุ่นวายแม้จะมี Paddle Shift อยู่ที่คอพวงมาลัยก็ตาม ระบบเบรกที่ให้มาใน Raptor ก็เพียงพอในการสยบม้าที่มี

หลังจากเราขับผ่านเขาใหญ่มาได้ เราก็มุ่งหน้าสู่สนามทดสอบที่เนรมิตสนามโกคาร์ทและพื้นที่บริเวณสนามมาเป็นแทร็คย่อม ๆ ให้เราได้ทดสอบรถกัน ซึ่งในสนามนี้จะเป็นการทดสอบระบบการขับเคลื่อนใน Ford Ranger Raptor ด้วยระบบ Terrain Management System (TMS) ที่มีให้เลือกทั้งหมด 6 รูปแบบ ในการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดจากปุ่มบนพวงมาลัย ประกอบด้วย โหมดการขับขี่ทางเรียบ เช่น โหมดปกติ ที่เน้นความสบาย นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน หรือ โหมดสปอร์ต สำหรับตอบโจทย์ผู้ที่มีใจรักการขับขี่ทางเรียบ ที่เน้นการเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็ว และฉับไว พร้อมทั้งช่วยค้างรอบเครื่องสูงไว้เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดี เมื่อผู้ขับขี่ต้องการ นอกจากนี้เราสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนได้เลย โดยการบิดปุ่มควบคุมไปยังตำแหน่งที่ต้องการว่าให้เป็นแบบ 2WD หรือ 4 Hi ยกเว้นถ้าจะไปตำแหน่ง 4 LO รถต้องหยุดสนิท แล้วตำแหน่งเกียร์ต้องไปอยู่ที่ N ทุกครั้งระบบถึงจะเข้าได้

เราออกจากจุดเริ่มต้นด้วยโหมดสปอร์ต ทำให้การออกตัวของรถดูกระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดิม โดยเราวิ่งบนทางดำสั้น ก่อนที่ผู้ฝึกสอนให้เราหักลงข้างทางที่เป็นป่าทางลูกรังแคบ ๆ ในใจก็ตกใจเล็ก ๆ เมื่อลงไปตัวรถผ่านได้ฉลุย แม้ไหล่ทางจากต่างกันและดูขรุขระ วิ่งไปสักพักก็มาสู่จุดหยุดนิ่งเพื่อเปลี่ยนโหมดมาใช้ โหมด ROCK ในการลงไปในทางชันระดับ 45 องศา แล้วไต่ขึ้นมาจากบ่อในองศาที่ชันเอาเรื่อง ตัวรถใช้รอบคงที่ประมาณ 1,500 รอบ/นาที และอยู่ในระบบขับเคลื่อนแบบ 4 LO ซึ่งก็ทำได้อย่างไรกังวลไม่ต้องลุ้น

Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-9.jpg
การทดสอบระบบการขับเคลื่อนใน Ford Ranger Raptor
Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-10.jpg
การทดสอบระบบการขับเคลื่อนใน Ford Ranger Raptor
Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-11.jpg
การทดสอบระบบการขับเคลื่อนใน Ford Ranger Raptor
Ford Ranger Raptor-test drive-เขาใหญ่-12.jpg
การทดสอบระบบการขับเคลื่อนใน Ford Ranger Raptor

หลังจากนั้นก็ปรับระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 Hi เพื่อเจอสถานีต่อมาเป็น โหมดโคลน/ทราย ที่ระบบจะปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึก และสามารถเปลี่ยนรูปร่าง เช่น พื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง ลุยบ่อโคลน กับเนินสลับ ซึ่งก็ไม่สามารถหยุดเจ้า Raptor ได้ ต่อด้วยการดูระบบ HDC ที่จะช่วยเบรกในการลงเขา และมาถึงอีกสถานีคือ สนามหญ้า เราปรับเข้าสู่โหมด โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ เพื่อการขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่น และเป็นหลุมบ่อ จากการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล พร้อมการออกตัวด้วยเกียร์ที่ 2 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัย และลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ ซึ่งถึงแม้สนามหญ้าจะเปียกนิด ๆ จากฝนที่ตกลงมา แต่เราสามารถกดคันเร่งออกไปได้แบบจมเท้า ตัวรถเสถียรภาพนิ่งไม่มีอากาศดึงท้ายให้ตกใจเลย โดยความเร็วที่ใช้อยู่ที่ 80 กม./ชม. กันทีเดียว

และมาถึง โหมดบาฮา เอาใจสายแรลลี่ ด้วยการตอบสนองของเครื่องยนต์อย่างเหมาะสม และสั่งตัดระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มสมรรถนะ รวมถึงเกียร์ที่จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด ด้วยการค้างรอบเครื่องนานขึ้น และเปลี่ยนเกียร์ลงได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม ซึ่งในสถานีนี้เราต้องเอารถมากระโดดเนิน ด้วยความเร็วที่ใช้ในการกระโดดเนินเพื่อท้าทายระบบบาฮา และช่วงล่าง FOX คือ 80 กม./ชม. ขึ้น ซึ่งก็ประหม่านิดหน่อยว่าโดดไปแล้วรถจะมีอาการเช่นไร เมื่อรถเริ่มทะยานขึ้นไปก่อนจุดโดดเหลือบไปมองเข็มความเร็ว เกิน 80 กม./ชม. ไปแล้ว แต่เท้าก็ยังคงกดคันเร่งจมอยู่ รถเหินขึ้นไปกว่า 3-4 เมตร เพียงเสี้ยววินาทีก่อนตัวรถจะตกกระแทกพื้นอย่างแรง แต่ไม่มีอาการส่ายไปมาหรือเสียทรงให้เห็น สามารถไปกดคันเร่งไปต่อได้เลย

อันนี้ทำให้ยอมใจในระบบ TMS และช่วงล่างของ FOX ว่าแน่จริง ซึ่งในการโดดครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของช่วงล่างของ Ford Ranger Raptor ที่เหนือกว่า Ford Ranger ในรุ่นปกติ ที่ทางบริษัทฟอร์ดให้สื่อมวลชนมาท้าทาย ซึ่งในชีวิตปกติคงจะยากมากที่จะมีโอกาสทำแบบนั้น หรือถ้ามีก็จะทำให้ผู้ขับขี่รู้ว่ามันทำได้ ถ้าจำเป็นต้องทำ

ซึ่งวันถัดมาเราเดินทางออกจากที่พักมุ่งสู่ทุ่งกังหันลมห้วยบง ซึ่งจะมีความโดดเด่นคือเป็นพื้นที่ทำไร่ของชาวบ้านที่ทางราชการมาเช่าพื้นที่เป็นจุด ๆ สำหรับตั้งกังหันไฟฟ้าพลังงานลมนับ 100 ต้น ซึ่งแต่ละต้นสูงเท่าตึก 10 ชั้น  สวยงามแปลกตาทีเดียว แต่ที่สำคัญฟอร์ดไทยแลนด์ไม่ได้พาเรามาชมทุ่งกังหันลม แต่พาเรามาทดสอบโหมดบาฮา บนเส้นทางฝุ่น ที่ผู้ฝึกสอนบอกว่านี่คือระดับเดียวกับที่ใช้แข่งในแรลลี่ของมืออาชีพ บนทางฝุ่นลูกรังกรวดลอย มีเนินมีร่อง โค้งหักศอก ขึ้นลงเนิน ได้ลองเท่าที่ขีดความสามารถของผู้ขับพึ่งจะเอารถอยู่ ที่สามารถทำความเร็วระดับ 110-120 กม./ชม. ถือเป็นความใจกล้าของทีมฟอร์ด ที่มั่นใจใน Ford Ranger Raptor ว่าเอาอยู่ซึ่งก็เป็นตามนั้น ระบบบาฮาโหมดช่วยให้การขับขี่ง่ายขึ้น ในส่วนของโช็ค FOX ก็เช่นกันที่ทำให้ผู้ขับขี่ยิ่งเชื่อมั่นในการที่จะกดคันเร่งลงไปอีก ระบบเบรกที่ให้มาก็เช่นกันที่สยบแรงม้าได้อย่างสงบนิ่งไม่ต้องลุ้นให้เสียว

นี่คือสิ่งที่ Ford Ranger Raptor นั่นทำไมถึงแพงกว่ารถกระบะทั่ว ๆ ไป ในท้องตลาดหรือแม้เทียบกับร่างเงาอย่าง Ford Ranger  ที่แม้จะเหมือนกันในเรื่องของขุมพลังแต่สิ่งที่ต่างก็คือระบบ TMS ที่ช่วยให้คุณเลือกใช้ให้เหมาะกับการขับขี่ที่คุณต้องเจอกว่า 6 ทางเลือก และยังจุดใหญ่และเล็ก ๆ ที่ทำให้รถทั้งสองรุ่นแตกต่าง ๆ กันอย่างสิ้นเชิงแม้จะมีเรือนร่างมาจากโฉมเดียวกันก็ตาม ซึ่ง Ford Ranger Raptor อาจจะเป็นรถกระบะที่สมบูรณ์แบบที่สุดในท้องตลาดที่ใครก็ตามกล้าควักเงินจ่ายเกือบ 1.7 ล้านจะได้พบกับประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอในกระบะรุ่นใดมาอย่างแน่นอน

Check Also

Volvo car dealer in Pitsanulok 2025

วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ประกาศเปิดบริการ โชว์รูม วอลโว่ พิษณุโลก

วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย นำโดย คุณภัทรพงษ์ อชะปาละศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย (กลาง), คุณถนอมศักดิ์ สันทนาประสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารประสบการณ์ลูกค้า …