อีซูซุสร้างปรากฏการณ์แห่งความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการประกาศยอดผลิตรถยนต์จากฐานการผลิตในประเทศไทยครบ 6 ล้านคัน ซึ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 4 ล้านคัน โดยเป็นรถปิกอัพกว่า 3 ล้านคัน และส่งออกอีก 2 ล้านคัน นับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดสมศักดิ์ศรีการเป็น “โปรดักแชมเปี้ยน” ที่ได้รับการยอมรับในตลาดโลก
ทั้งหมดนี้เกิดจากความเชื่อมั่นและไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ “อีซูซุ” ในฐานะแบรนด์ชั้นนำของประเทศ พร้อมเผยจะทุ่มการลงทุนอีก 32,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีนี้ เพื่อมุ่งสู่การวางรากฐานยานยนต์อนาคต
กลุ่มตรีเพชร โดย มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “อีซูซุได้เริ่มเปิดสายการผลิตรถยนต์ครั้งแรกในประเทศไทยในปี พ.ศ.2506 ซึ่งการผลิตครบ 1 ล้านคันแรกใช้เวลา 34 ปี แต่ด้วยการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ทำให้การผลิตครบทุก ๆ 1 ล้านคันต่อมาใช้เวลาลดลง แม้ในยามวิกฤต เช่น
ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือแม้แต่ในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 อีซูซุก็ยังสามารถเป็นแบรนด์ที่ฝ่าวิกฤตด้วยยอดผลิตครบ 6 ล้านคันเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยใช้เวลาเพียง 3 ปีหลังจากวาระครบรอบ 5 ล้านคันเท่านั้น
ในประเทศไทย อีซูซุถือเป็นรถที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่นสูง รวมทั้งมีคุณค่าของแบรนด์ (Brand Equity) สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ด้วยความโดดเด่นที่สามารถนิยามได้ว่าเป็น“รถที่คุ้มค่าเงินสูงสุด” (Best-Value-for-Money) จนกลายเป็นภาพลักษณ์ของแบรนด์ในมุมมองของลูกค้า ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และนวัตกรรมดีเยี่ยม (Top Quality with innovation) เพราะอีซูซุไม่เคยหยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยตลอดมา
- ประหยัดน้ำมันสุด (Top Fuel Efficiency) จุดเด่นที่เป็นที่ยอมรับและกล่าวถึงอย่างกว้างขวางจากผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งเกิดจากความเชี่ยวชาญในการออกแบบและมีเทคโนโลยีชั้นสูงในการพัฒนาระบบเครื่องยนต์
- ประสบการณ์ต่อแบรนด์ดีสุด (Top Brand Experience) นอกเหนือจากความประทับใจจากการใช้รถอีซูซุโดยตรงแล้ว อีซูซุยังได้นำ “Omotenashi” หรือ “จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น” มาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มัดใจลูกค้า ด้วยการยกระดับการให้บริการด้วยความเอาใจใส่เหนือความคาดหมาย เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
- เครือข่ายการจำหน่ายและการบริการหลังการขายดีสุด (Top Sales, Service and Parts Network) อีซูซุมีโชว์รูมและศูนย์บริการกระจายอยู่ทุกภาคกว่า 340 แห่งทั่วประเทศ พร้อมให้ความอุ่นใจในทุกเส้นทาง
- ราคาขายต่อดีสุด (Top Resale Value) อีซูซุยังคงเป็นแบรนด์ที่ยึดมั่นในนโยบาย“การไม่ร่วมสงครามราคา” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยรักษาราคาขายต่อของรถอีซูซุในตลาดรถมือสองได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ ทำให้แบรนด์อีซูซุได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนชาวไทยอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่ซื้อไปใช้เพื่อการพาณิชย์ และลูกค้าที่ซื้อไปใช้ส่วนตัว จนทำให้การผลิตรถปิกอัพเมดอินไทยแลนด์เป็น “โปรดัก แชมเปี้ยน” ที่สามารถสร้างมูลค่าให้ประเทศไทยในตลาดโลก
โดยมีการส่งออกไปจำหน่ายมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ยังได้รับรางวัลอันทรงคุณค่ามากมาย อาทิเช่น “แบรนด์น่าเชื่อถือสูงสุดแห่งปี” (Thailand’s Most Admired Brand) และรางวัลพิเศษ “Innovation Brand Award” จากนิตยสาร BrandAge รางวัล“Marketeer No.1 Brand Thailand 2023” ในหมวดหมู่รถปิกอัพจากนิตยสาร Marketeer
หรือรางวัล “สินค้าและบริการแห่งปี 2566” ที่รถปิกอัพ “อีซูซุดีแมคซ์” ได้รับคะแนนสูงสุดในประเภทกลุ่มรถปิกอัพจากนิตยสาร Business+ และ อื่น ๆ อีกมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้นอีซูซุยังคงยึดประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์อนาคตอย่างต่อเนื่อง โดยหวังจะสร้างงาน สร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทยต่อไปด้วยการลงทุนเพิ่มอีก 32,000 ล้านบาทใน 5 ปี เพื่อการพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆ การพัฒนาโรงงาน ระบบการบริหารจัดการพลังงาน การเพิ่มระบบ automation และโรงงานผลิตใหม่ด้วย”
สถิติยอดผลิตรถอีซูซุในประเทศไทยมีรายละเอียดดังนี้
- พ.ศ.2506-2540 (ระยะเวลาเวลา 34 ปี)ครบ 1 ล้านคัน
- พ.ศ.2541-2550 (ระยะเวลาเวลา 10 ปี) ครบ 2 ล้านคัน
- พ.ศ.2551-2555 (ระยะเวลาเวลา 5 ปี) ครบ 3 ล้านคัน
- พ.ศ.2556-2559 (ระยะเวลาเวลา 4 ปี) ครบ 4 ล้านคัน
- พ.ศ.2560-2563 (ระยะเวลาเวลา 4 ปี) ครบ 5 ล้านคัน
- พ.ศ.2564-2566 (ระยะเวลาเวลา 3 ปี) ครบ 6 ล้านคัน