Breaking News

Lamborghini Urus SE ซูเปอร์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริด 800 แรงม้า วิ่งไกล 60 กม. ในโหมดไฟฟ้า ราคาเริ่มต้นที่ 24,980,000 บาท

Lamborghini Urus SE

บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย จัดงานเปิดตัว Lamborghini Urus SE ซูเปอร์เอสยูวีระบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของลัมโบร์กินี นำเสนอดีไซน์รถยนต์แนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น

และระบบส่งกำลัง 800 CV ชูเวอร์ชัน PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) เป็นรุ่นท็อปในตระกูล Urus ทั้งในด้านความสบาย ประสิทธิภาพ การปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศ โดยสามารถลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%

ประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง

Urus SE เครื่องยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและพลศาสตร์ของยานยนต์ให้โลดแล่นได้อย่างเต็มกำลังบนทุกเส้นทางและการขับขี่ทุกรูปแบบ มอบทั้งแรงบิดและกำลังเครื่องสูงสุดในทุกรอบเครื่องยนต์ด้วยโซลูชันเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อาทิ การใช้ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าระหว่างเพลาทั้งสองและระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า

เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ได้ถูกนำมาพัฒนาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีกำลังเครื่องถึง 620 CV (456 kW) และแรงบิด 800 Nm โดยระบบสันดาปได้ถูกผสานเข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้าเพื่อมอบกำลังเครื่อง 192 CV (141 kW)และแรงบิด 483 Nm และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ทีมวิศวกรจึงให้ความสำคัญกับการปรับจูนการทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) กับมอเตอร์ไฟฟ้า จนได้กำลังเครื่องสูงสุดที่ 800 CV พร้อมการันตีกำลังเครื่องเฉลี่ยดีที่สุดในทุก ๆ โหมดการขับขี่และสภาพพื้นผิวถนน พร้อมติดตั้งแบตเตอรีลิเทียม 25.9 kWh บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านบนระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า

มอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) ซึ่งติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 ระดับสามารถช่วยบูสต์เครื่องยนต์สันดาป V8 และยังเป็นตัวสร้างแรงฉุดได้อีกด้วย ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบไฟฟ้า 100% ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 60 กม.เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียว

เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกนำมาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรกคือระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ที่ติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัตช์อิเลกโตรไฮดรอลิกแบบมัลติเพลตซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังได้อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งทำหน้าที่ประสานการทำงานให้สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลังอย่างราบรื่นจะคอยกระจายแรงบิดเมื่อทำการเบรก ทำให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ oversteer ได้แบบ “on demand” เพื่อมอบสัมผัสอันเร้าใจเสมือนขับขี่รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตตัวจริง

ทั้งสองระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบและปรับจูนการทำงานให้เหมาะสมกับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบและทุกสไตล์การขับขี่ มอบแรงฉุดและการตอบสนองที่ฉับไวสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งทะยานในสนามแข่งหรือวิ่งตะลุยไปบนเนินทราย พื้นน้ำแข็ง หรือทางดิน

Lamborghini Urus SE

Lamborghini Urus SE

Lamborghini Urus SE

Urus SE เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดในคลาสเดียวกันด้วยแรงบิดและกำลังเครื่องที่เหนือล้ำในทุกรอบเครื่องยนต์และทุกสภาพถนน โดยมอบกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 800 CV (588 kW) ที่ 6,000 รอบต่อนาทีและสามารถให้แรงบิดรวม 950 Nm ที่ 1,750 รอบต่อนาทีและสูงสุดที่ 5,750 รอบต่อนาที จึงมอบประสิทธิภาพสูงสุดในคลาสในทุกแง่มุมของการขับขี่

ผลลัพธ์อันน่าประทับใจนี้มาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักเครื่อง (Weight-to-Power Ratio) ที่ 3.13 kg/CV (เปรียบเทียบกับ 3.3 ในรุ่น Urus S) โดย Urus SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม.   ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S ที่ 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.4วินาที (Urus S ที่ 12.5 วินาที)

สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. (Urus S ที่ 305 กม./ชม.) ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ SE เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดของตระกูล Urus และสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์ซูเปอร์เอสยูวี

Lamborghini Urus SE

งานออกแบบรถยนต์และอากาศพลศาสตร์

ดีไซน์ของ Urus SE สะท้อนถึงรูปทรงแบบพลศาสตร์ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ตและความแข็งแกร่งบึกบึนได้อย่างโดดเด่น ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่องและเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto

นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ ๆ อีกมากมาย ทั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินีนั่นเอง ตลอดจนการออกแบบส่วนกันชนท้ายและตะแกรงหน้าใหม่ในทุกรายละเอียด

ที่สำคัญคือการมอบสัมผัสอันหรูหรายิ่งกว่าเดิมด้วยโปรแกรมการตกแต่งแบบ Ad Personam โดยเรานำแรงบันดาลใจมาจากรุ่น Revuelto พร้อมฝากระโปรงรถแบบ Floating เพื่อมอบเส้นสายที่สะอาดตาและรูปทรงส่วนหน้าที่แข็งแกร่งบึกบึน โดยระบบไฟหน้าที่ล้ำสมัยได้ผสานดีไซน์ซิกเนเจอร์แบบ DRL ไว้อย่างลงตัว

การออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ดีไซน์ตะแกรงหลังนำแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีอย่าง Gallardo สำหรับการออกแบบห้องโดยสารภายในยังคงสืบทอดปรัชญา “Feel like a pilot”เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับและระบบดิจิทัลภายใน”

สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมดโดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น Gallardo โดยผสานเส้นสายต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ซึ่งทำให้

รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S จึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ได้ถูกยกระดับขึ้นด้วยการออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถและท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม

ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15% การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่างเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศและระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า

การตกแต่งรถยนต์ในสไตล์ของคุณ

Lamborghini Urus SE

Urus SE เสนอออปชันการตกแต่งที่เหนือชั้นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยมีทั้งล้ออัลลอยรุ่นอัปเดตใหม่พร้อมดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้วเป็นรุ่นมาตรฐานพร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมายและออปชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ

พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัว ทั้งโทนสี Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)

ออปชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบและการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4สไตล์ (Q-citura stitching) พร้อมออปชันในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก

ดีไซน์ห้องโดยสารภายใน

Lamborghini Urus SE

Lamborghini Urus SE

การตกแต่งภายในได้รับการอัปเดตใหม่ เพื่อขับเน้นดีไซน์ระดับซิกเนเจอร์ “Feel like a pilot” อันเป็นเสมือนดีเอ็นเอของลัมโบร์กินี โดยนำเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมายบริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้าและยกระดับภาพลักษณ์รถยนต์น้ำหนักเบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto

หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม ถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัดและมอบการแสดงผลกราฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้นเหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบท่อลม

โดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y”อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง

ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้วที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัดและยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) นอกจากนี้ ยังนำเสนอระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE และจอแสดงผลแบบใหม่ที่ทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วยขับต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น

สัมผัส 4 โหมดการขับขี่ที่แตกต่าง

แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทำงาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทำให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออปชัน     

โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออปชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ระบบ EV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์และศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมือง โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60 กม. และเร่งความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม. เมื่อทำความเร็วสูงกว่านี้ เครื่องยนต์ V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า

ระบบ Hybrid ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้เมื่อขับขี่ในโหมด Strada มอบประสิทธิภาพและความสบายสูงสุดบนการทำงานที่สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า และแน่นอน ถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ระบบ Recharge ซึ่งสามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมด Strada, Sport, Corsa และ Neve        

โดยสามารถชาร์จไฟให้แบตเตอรีได้ถึง 80% โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุด ส่วนระบบ Performance เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องสัมผัสศักยภาพที่แท้จริงของ Urus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมด Strada, Sportและ Corsa เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโหมด Sabbia และ Terra อีกด้วย โดยมอบประสิทธิภาพด้านพลศาสตร์ที่เหนือชั้นของซูเปอร์  เอสยูวีตัวจริงแม้ไม่ได้วิ่งบนพื้นยางมะตอย

เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกัน สปริงลมจะปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่การเดินทางระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทำงานเต็มที่ นอกจากนี้ พารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัย ระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ก็จะทำงานแบบแปรผันเช่นกัน เพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE

ทีมผู้พัฒนายังให้ความสำคัญอย่างมากกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) เพื่อเน้นประสบการณ์การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในโหมด Strada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์ Urus S ให้มากขึ้นไปอีก ส่วนในโหมด Sport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่

โดยเสริมคาแรกเตอร์ของระบบส่งกำลังแบบใหม่ในการสตาร์ตและการดริฟต์ที่มันส์อย่างต่อเนื่อง โหมด Corsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขัน ทำให้ Urus SE โชว์ศักยภาพด้านพลศาสตร์ได้อย่างเต็มที่ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU) สำหรับระบบกันสะเทือน

ซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซี (ทั้งการ Pitch, Yaw, Roll และ Pump) ซึ่งทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูงและตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว รวมไปถึงการวิ่งบนทางขรุะขระและพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำ

ซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 48V ส่วนในโหมด Neve, Stabbia และ Terra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทำกับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท

Check Also

Mazda presents awards to winner of Mazda U.S. College Golf Championships 2024

มาสด้ามอบรางวัลให้กับเยาวชนผู้ชนะเลิศโครงการ Mazda U.S. College PREP Junior Golf Championships

คณะผู้บริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย นำโดย นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร มอบรางวัลตั๋วเครื่องบินเดินทางไปกลับ กรุงเทพฯ-สหรัฐอเมริกา และอุปกรณ์กอล์ฟจากมาสด้า ให้กับเยาวชนที่ชนะเลิศโครงการ “Mazda U.S. College …