MAZDA เปิดประสบการณ์ ท้าทายสมรรถนะ SUV พันธุ์แกร่งสู่สแกนดิเนเวีย

MAZDA เปิดประสบการณ์ ท้าทายสมรรถนะ SUV พันธุ์แกร่งสู่สแกนดิเนเวีย กับทริปสุดท้าทาย “MAZDA PASSION DRIVE TO THE NEW HORIZON”

MAZDA เปิดประสบการณ์ ท้าทายสมรรถนะ SUV พันธุ์แกร่งสู่สแกนดิเนเวีย

นับเป็นอีกครั้งกับการท้าทายของมาสด้าอีกค่ายรถที่ไม่เคยหยุดท้าทาย ทั้งในเรื่องของสินค้า และบริการจนทำให้ยอดขายของมาสด้าในรถหลายประเภทขึ้นแซงมาเป็นเจ้าตลาดได้ นอกจากนี้ทางมาสด้าก็เป็นอีกค่ายรถที่จัดท้าทายสมรรถนะของรถที่ผลิตในประเทศไทยที่ถูกส่งไปทั่วโลก ภายใต้แนวคิดว่า “รถมาสด้าคุณภาพเดียวกันทั่วโลก” ทำให้มาสด้าพาสื่อมวลชนไปร่วมทรหดและท้าทายกันมาหลากหลายทริป ตั้งแต่ทริป มองโกเลีย และเมื่อปีที่ผ่านมากับการขับรถสู่ไซบีเรียทะลุถึงมอสโคว ประเทศรัสเซีย ที่สร้างความฮือฮา ในแวดวงค่ายรถยนต์ได้ไม่น้อย ล่าสุดกับการเดินทางครั้งใหม่ของทางมาสด้ากับทริป “MAZDA PASSION DRIVE TO THE NEW HORIZON” ที่จะพาเราไปไกลกันถึงกลุ่มประเทศในสแกนดิเนเวีย เพื่อตามล่าแสงเหนือที่นอร์เวย์ อีกหนึ่งความงามที่น้อยคนนักจะได้มีโอกาสพบเจอ

ท่ามกลางความตื่นเต้นหลังจากที่ได้รับอีเมลจากคุณอุทัย เรืองศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ หนึ่งในผู้ใหญ่ใจดีที่พาทีม Torque ไปตะลุยทุกครั้งไม่เคยพลาด นับเป็นประสบการณ์ที่หาได้ไม่ง่ายนักกับการเดินทางด้วยการขับรถในต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งแต่ละที่ก็มีวิถี และขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป ระหว่างรอคอยเวลาเพื่อเดินทาง อย่างที่ทราบกันดีว่าทางมาสด้า ประเทศไทยต้องการที่จะเอารถที่ผลิตในไทยไปทดสอบที่จุดหมาย โดยในครั้งนี้ไปไกลถึงนอร์เวย์ ก็ต้องมีการเตรียมรถและข้าวของสเบียงขนส่งกันไปทางเรือ ซึ่งออกเดินทางกันไปก่อนร่วมเดือน แต่จากข่าวที่เกิดพายุขนาดใหญ่กลางมหาสมุทรทำให้เรือเดินสมุทรไม่สามารถไปต่อได้ ซึ่งส่งผลกับทางมาสด้าเช่นกัน ทำให้รถที่ตั้งใจจะไปส่งไปที่นอร์เวย์ ไม่สามารถเดินทางถึงได้ตามเวลาที่กำหนด แต่ก็ไม่มีอะไรมาขวางทางของเราได้ ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมมาสด้าไทย และมาสด้านอร์เวย์ที่มีการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนสรุปทางมาสด้านอร์เวย์จัดรถที่นอร์เวย์กว่า 10 คันเอาไว้ใช้ในการล่าทริปครั้งนี้

บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้พาสื่อมวลชนกว่า 50 ชีวิต มุ่งหน้าล่าแสงเหนือกันที่สแกนดิเนเวีย ทริปนี้คือการสานต่อความฝันบนเส้นทางที่แสนงดงาม และพิสูจน์ความแข็งแกร่งของรถยนต์มาสด้า สกายแอคทีฟ ว่าสามารถวิ่งได้ทุกสภาพอากาศ และทุกสภาพถนน โดยแบ่งสื่อมวลชนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยเราอยู่ในกลุ่มที่สองซึ่งเดินทางไปเริ่มต้นการขับรถที่เมือง Honningswag เมืองเหนือสุดของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นจุดที่เห็นแสงเหนือที่ขึ้นชื่อ

เราเริ่มเดินทางออกจากประเทศไทยด้วยสายการบินไทย กับการเดินทางกว่า 11 ชั่วโมงที่บอกเลยว่าสาหัส เพราะไม่เคยต้องนั่งเครื่องบินไปนานขนาดนี้ ว่าตอนไปรัสเซียว่านานแล้ว นี้นานกว่ากันมาก สิ่งหนึ่งที่ทำให้แปลกใจก็คือเวลานั่งไปนาน ๆ ทำไมถึงปวดก้นมากมาย ถึงกับทำให้การนอนหลับสนิทนั้นดูยากเย็น เราจึงต้องอาศัยการลุกออกมาเดินเพื่อช่วยบรรเทาการเมื่อยก้นไม่มากก็น้อย การถอดรองเท้าตอนบินก็เป็นอีกหนึ่งในการช่วยผ่อนคลาย เพราะเวลาบินไปสูง ๆ เท้าเราจะบวมทำให้รู้สึกไม่สบาย การถอดรองเท้าจึงเป็นอีกวิธีในการผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี หลังจากหลับ ๆตื่น ๆ ลุกๆ เดิน ๆ ดูหนัง เราก็มาถึงเมือง Oslo เมืองหลวงของ นอร์เวย์ ซึ่งการเดินทางยังไม่จบเพราะเราต้องมาเปลื่ยนเครื่องต่อไปยังเมือง Alta โดยใช้เวลาบินอีก 3 ชั่วโมง. (เวลานอร์เวย์ช้ากว่าบ้านเรา 5 ชั่วโมง ) หลังจากนั้นก็นั่งรถบัส นั่งต่อไปอีกเกือบ 300 กิโลเมตร เพื่อไปที่เมือง Honningswag เมืองเหนือสุดของประเทศนอร์เวย์

ตลอดสองข้างทางที่เรานั่งรถไป สังเกตว่าถนนที่นี่ค่อนข้างปราบเซียนเพราะเป็นถนนเลนสวนไม่มีเส้นแบ่งกลาง หมายความว่าคุณต้องกะด้วยตัวคุณเอง แถมยังเป็นพวงมาลัยซ้ายขับชิดขวาอีก ซึ่งจะสวนทางกับบ้านเรา ทำให้เวลาขับรถเราต้องเผื่อด้านซ้ายไว้ เพราะถนนที่นี่ไม่มีไหล่ทางอีกด้วย แต่ความพะวงก็หมดไปเมื่อได้มาเห็นบรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสีที่ผสานกับทิวเขาที่ถูกเชื่อมต่อด้วยผืนทะเล ที่เส้นทางลัดเลาะเรียบกับทะเลไปตลอด บรรยากาศค่อนข้างครึมฟ้าครึมฝน เมื่อถึงจุดหมายสักพักก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก เล่นเอาเราเศร้าใจไปเลยเพราะหมายถึงการเห็นแสงเหนือนั้นยากขึ้นไปอีก เพราะเจ้าถิ่นแถวนั้นยังบอกเลยว่าโอกาสเห็น 0 เปอร์เซ็นต์ ด้วยจากสภาพอากาศ ซึ่งนับเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ของผู้เขียน ซึ่งได้มีการเตรียมอุปกรณ์เพื่อถ่ายแสงเหนือมาจากไทยอย่างเต็มที่ แต่ด้วยคำพูดของคนท้องถิ่นจึงไม่ได้แบกเอาไปที่ North Cape ด้วย

หลังจากเรามาถึงพักใหญ่ ๆ ทีมกรุ๊ปแรกก็เดินทางมาถึงที่พัก ซึ่งถือเป็นการส่งไม้ต่อให้กับทีมกรุ๊ปสอง โดยเราได้มีโอกาสทานอาหารร่วมกันซึ่งได้รับเกียรติจากผู้บริหารมาสด้าทั้งสองท่านที่มาร่วมทริปกับเราในครั้งนี้ คุณชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และคุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

หลังจากร่วมรับประทานอาหารกันเรียบร้อย คณะคาราวานมาสด้าทั้งกลุ่ม 1 และ 2 กว่า 50 ชีวิต ก็นั่งรถบัสขึ้นไปที่ North Cape ประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งก็มีฝนโปรยปรายตลอดทางที่ไป โดยในใจลึก ๆ ก็ไม่ได้คาดหวังนักเพราะฟ้าปิดมืดมาก เลยเอาไปแค่กล้องตัวเดียว เพื่อไปเก็บภาพบรรยากาศเฉย ๆ ที่น่าแปลกใจและคิดว่าน้อยคนนักที่จะทราบว่าที่ North Cape มีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงครั้งเมื่อ รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและนอร์เวย์ ทำให้เรามีโอกาสได้สักการะพระปรมาภิไธยย่อที่สลักบนหินด้วย

หลังจากถ่ายรูปเก็บบรรยากาศในที่พิพิธภัณฑ์ ก็เริ่มมีเสียงดังจากข้างนอก ด้วยความสงสัยของเพื่อนนักข่าว ที่ลองเอากล้องถ่ายไปบนท้องฟ้าที่มีการเคลื่อนตัวแปลก ๆ ด้วยความสามารถของตัวกล้องทำให้เห็นแสงสีเขียวปรากฎบนภาพ ทุกคนถึงกับตื่นเต้นดีใจ เพราะมันคือแสงเหนือที่ทุกคนตั้งตารอ จากฟ้าที่มืดมิด ท้องฟ้าเริ่มโปร่งทำให้เราเห็นลวดลายม่านสีเขียวด้วยตาเปล่าได้ชัดเจนขึ้น โดยลวดลายจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ด้วยความไม่เตรียมพร้อมทำให้เราอดถ่ายภาพสวย ๆ ไปเลย แต่ก็ยังพอเก็บภาพมาได้บ้างแม้อาจจะไม่ชัดมากมายนัก แต่ก็พอเป็นภาพในความทรงจำของพวกเราไปอีกนานแสนนาน นับเป็นโชคดีของพวกเรามาก ๆ เพราะจริง ๆ แล้วแสงเหนือจะเริ่มมาประมาณเดือน 11 แต่นี่มาปรากฏให้เราได้ยลโฉมกันก่อนเป็นเดือน และที่สำคัญที่นี่ในฤดูร้อนช่วงเที่ยงคืน ยังเป็นจุดดูพระอาทิตย์เที่ยงคืนอีกด้วย สำหรับคนที่มานอร์เวย์ไม่ควรพลาด

หลังจากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับแสงเหนือไปแล้วเมื่อคืน ถือว่าเรามาถึงเป้าหมายอย่างแรกในการมายังที่นี่ ซึ่งวันนี้นับเป็นวันที่สามตั้งแต่เราเดินทางออกมาจากประเทศไทย ซึ่งพระเอกของเราวันนี้ที่เราจะมาสัมผัสการเดินทางดินแดนไวกิ้งต่อก็คือเจ้า Mazda CX-5 ซึ่งอย่างเคยกล่าวไปข้างต้น เหตุจากฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทำให้รถจากไทยนั้นมาไม่ทันขบวน ซึ่งทำให้รถที่เราขับที่นี่เป็นรถสเปกยุโรปทั้งหมด แต่โดยรวมไม่แตกต่างจากตัวที่จำหน่ายในบ้านเรานัก โดยรุ่นที่เราใช้เป็น Mazda CX-5 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทั้งหมดจำนวน 9 คัน จะเป็นรุ่นขับสี่ทั้งหมด 8 คัน และมีรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อเพียง 1 คันในทริป ซึ่งได้ตกมาอยู่ในมือของทีม Torque นั่นเอง

โดยหลัก ๆ ที่แตกต่างก็มีเบาะ และพวงมาลัยที่มีฮีตเตอร์ ซึ่งในระหว่างเดินทางเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้การขับขี่ดีขึ้นมาก ทั้งเป็นการช่วยกระตุ้นฝ่ามือ และยังคลายความหนาวได้เป็นอย่างดี และอีกจุดคือพวงมาลัยถูกย้ายมาอยู่ทางซ้าย ซึ่งก็ไม่ง่ายนักสำหรับคนไทยที่คุ้นเคยขับรถพวงมาลัยขวาแถมยังขับรถเลนขวาอีก พอเป็นพวงมาลัยซ้ายขับชิดขวา ทำให้เราต้องใช้ระยะเวลาปรับทักษะพอสมควร ต้องกะระยะเผื่อด้านขวามากขึ้น เพราะถนนที่นี่โดยในเขตนอกเมืองถือว่าแคบมากจริง ๆ และไม่มีไหล่ทางให้วิ่งอีก แต่ที่ขอบเส้นจะมีการทำเส้นเตือนให้เรารู้ว่ารถชิดขอบเกินไปแล้ว และในบางจุดก็จะมีเส้นยาว ๆ มาปักเป็นมาร์กจุดไว้ให้

เราเริ่มต้นออกเดินทางจากเมือง Honningswag ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญอันดับสองของนอร์เวย์ ซึ่งที่นี่จะทำประมงเป็นหลัก ที่สำคัญคนที่นี่ไม่ได้ทำงานทั้งปีเหมือนบ้านเรา ซึ่งจะทำอยู่ประมาณ 6 เดือนที่เหลือก็จะไปทำงานที่อื่น เพราะด้วยอากาศที่หนาวเย็นจัดนั่นเอง ทำให้ในเมืองไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก การเดินทางของพวกเราเริ่มต้นโดยเราวิ่งผ่านเส้นทางเดิมที่เรามากับรถบัสเมื่อวานก่อน ธรรมชาติที่สวยงามที่ตราตรึงใจทุกคน ซึ่งด้วยความค่อนข้างห่างไกล จึงแทบไม่มีรถสวนขบวนของเราเลย ถนนเลนสวนแคบ ๆ ที่ลัดเลาะไปกับทะเล กับแนวภูเขาสูงที่มีใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นคลุมสีเหลืองเขียวแดงถูกผสมผสานเหมือนงานศิลปะ บางจุดเมื่อแสงแดดส่องมาปะทะใบไม้สีเหลืองก็ดูอร่ามจด เหมือนต้องมนต์สเน่ห์ ที่นึกในใจว่าได้มีโอกาสได้มาพบเจอ ที่นี่วิวทิวทัศน์สวยงามระดับ 10 อากาศเย็นเลขสองหลักต้น ๆ ก็ทำให้เราคนเมืองร้อนรู้สึกสดชื่น เรามุ่งกลับมายังเมือง Alta โดยเหมือนเดจาวู

โดยมาแวะทานมื้อลางวันที่เมืองนี้ โดยอาหารวันนี้จะเป็นบุฟเฟต์พิซซ่า ซึ่งก็ทำให้เราลิ้มรถแบบฉบับยุโรปแท้ ๆ ซึ่งก็มีการทำกันสดใหม่ให้ทานแบบไม่มีอั้น และหลากหลายหน้า เมื่อพักเอาแรงก็ถึงเวลาเดินทางต่อเส้นทางมุ่งหน้าสู่ Tromso โดยเส้นทางยังคงเป็นเลนเดียวรถสวนกัน ด้วยฟ้าฝนไม่เป็นใจมีฝนตกลงมาตลอดสลับหยุดนิ่งเป็นพัก ๆ ทำให้ระบบปัดน้ำฝนของ Cx-5 ทำงานให้เราเองโดยที่เราไม่ต้องไปยุ่งกับการควบคุมให้วุ่นวายใจ เส้นทางที่นี่จะมีอุโมงค์ค่อนข้างเยอะ ทั้งอุโมงค์ที่ทะลุเขาสู่เขา และ อุโมงค์ที่ทะลุเขาลอดใต้ทะเล ก็มีระยะความยาวแตกต่างกัน

โดยก่อนเข้าอุโมงค์จะมีระยะทางบอกทุกอุโมงค์ นับเป็นสเน่ห์อีกหนึ่งอย่างของเส้นทางนี้ เรามีแวะพักเปลี่ยนตามจุดตลอดเส้นทาง โดยมีจุดไฮไลท์ที่เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งเก่าที่ละลายกลายเป็นเส้นทางทะเล ซึ่งที่นอร์เวย์มีแบบนี้อยู่มากมายโดยที่นี่มีชื่อว่า Krigsfangeleir pa Skorpa ก็ไม่รีรอในการเก็บภาพประทับใจกัน ซึ่งบนจุดชมวิวนี้ลมค่อนข้างแรง อยู่กันสักพักใหญ่ ๆ เราก็ออกเดินทางกันต่อ ซึ่งวันนี้เราขับรถกันไปร่วมกว่า 600 กม. แม้เวลาของที่นี่จะช้ากว่าที่ไทยประมาณ 5 ชั่วโมง เรามาถึงก็ค่ำของ ๆ ที่นี่ เข้าพักที่โรงแรม Scandic Ishavshotel ซึ่งในคืนนั้นก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก พร้อมลมแรงมากทีเดียว

โดยวันต่อมาเราใช้สูตร 6 -7-8 เช่นเดิม คือตื่น 6 โมง อาบน้ำ ทานข้าวล้อหมุม 8 โมงนั้นเอง วันนี้สภาพพื้นถนนค่อนข้างเปียกแฉะจากพายุฝนเมื่อวาน อากาศยังคงอยู่เลข 2 ตัวต้น ๆ แม้ฝนจะหยุดตกไปแล้ว แต่ฟ้ายังขุ่นมัว โดยภารกิจแรกของเราวันนี้คือการเติมน้ำมัน ซึ่งบอกเลยว่าน้ำมันที่นี่แพงมากมาย เพราะอย่างดีเซลที่นี่ลิตรละเกือบ 50 บาทไทย โค้กกระป๋องละเกือบ 100 บาท ต้องบอกเลยว่าในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์ คือ ประเทศที่ค่าครองชีพสูงที่สุด โดยระบบการเติมน้ำมันที่นี่จะเป็นการเติมเองโดยใช้บัตรเครดิตรูดที่หน้าเครื่องเติมแล้วเราจึงค่อยไปเติมเอง ก็ได้ฟิลไปอีกแบบ หลังจากเติมพลังให้รถแล้ว เราเตรียมมุ่งต่อสู่เมือง Lulea โดยวันนี้เราจะขับยาว ๆ กว่า 660 กม.

เส้นทางวันนี้เริ่มดูกว้างขึ้นแม้จะเป็นเลนสวนเหมือนเดิม แต่ช่องทางยังมีพื้นที่กว้างขึ้นมีเส้นแบ่งเลนชัดเจนรวมถึงมีไหล่ทางให้เราอีกครึ่งเมตร ระบบ LDWS (Lane Departure Warning System) ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไฟกะพริบบนหน้าปัด พร้อมส่งเสียงเตือน เมื่อตรวจพบการเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ได้ตั้งใจ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ ระบบทำงานได้อย่างแม่นยำเป็นอีกตัวช่วยในการขับขี่ในสภาพถนนที่ไม่คุ้นเคยได้เป็นอย่างดี ช่วยให้การขับขี่ดูสบายขึ้นกว่าเมื่อวาน รวมไปถึงรถเจ้าถิ่นก็มีให้เห็นกันมากขึ้น วิวทิวทัศน์ยังคงเป็นเช่นเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา แม้จะไม่ตื่นตาเท่าวันแรก ๆ แต่ก็ยังคงสวยงามเช่นเดิม

โดยวันนี้เราจะขับข้ามประเทศสู่สวีเดน โดยประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียสามารถเดินทางถึงกันได้หมด เส้นทางในสวีเดนไม่แตกต่างจากนอร์เวย์มากนัก ธรรมชาติยังคงสวยงาม เราพักตามจุดธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์ไลเคนและมอส ป่าเฟริ์นที่สวยงาม เรามีเวลาได้แวะชมน้ำตก Jockfall ที่มีความสวยงาม เราใช้เวลาสั้น ๆ ก่อนเดินทางต่อโดยมีจุดหมายที่เมือง Lulea ในสวีเดนโดยเมืองนี้ค่อนข้างทันสมัยมีการวางแผงเมืองที่น่าสนใจ แต่เราไปถึงค่อนข้างดึกร้านค้าก็ปิดเกือบหมด ไหน ๆ มาแล้วก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยการเดินชมเมือง เมืองที่นี่ดูสะอาดมากแถมมีโบสถ์ขนาดใหญ่ดูตระการตา แต่เสียที่เราอ่านไม่ออกได้แต่เก็บภาพมาให้ชมกัน เรามีโอกาสแวะร้านสะดวกซื้อที่นี่ ทำให้เราทราบว่าคนที่นี่ไม่นิยมพกเงินสด แต่จะใช้บัตรเครดิตในการซื้อของแม้จะมูลค่าไม่กี่เหรียญก็ตาม รวมไปถึงตามร้านค้าปลีกเล็กก็สามารถใช้บัตรเครดิตได้

รุ่งเช้านี้แสงอาทิตย์เริ่มสาดแสงทำให้เราเห็นวิวของเมืองนี้ได้อย่างชัดเจน นับเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีความสวยงาม โดยวันนี้เรายังใช้เส้นทางในสวีเดนเพื่อตัดเข้าฟินแลนด์ก่อนวกกลับมาเข้านอร์เวย์อีกครั้ง ทำให้วันนี้เราจะขับรถกันถึงสามประเทศเลยทีเดียว มาสด้า CX-5 โฉมใหม่ เพิ่มอีกระดับของความปลอดภัย กับเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยสุดล้ำ i-ACTIVSENSE ที่สามารถคาดการณ์อย่างแม่นยำ และส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้รอบคัน ได้แก่

• ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ : Smart Brake Support (SBS)
• ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ : Adaptive LED Headlamps (ALH)
• ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน : Advanced Blind Spot Monitoring (ABSM)
• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน : Lane-keep Assist System (LAS)
• ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ หากระบบตรวจสอบพบว่า ไม่สามารถเลี่ยงการชนได้ : Smart City Brake Support (SCBS)
• ระบบจะขึ้นสัญญาลักษณ์เตือนที่หน้าจอ เพื่อไฟสูงไม่รบกวนคันที่วิ่งสวนมา : Driver Attention Alert (DAA)
• ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ : Mazda Radar Cruise Control (MRCC)
• ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน : Lane Departure Warning System (LDWS)
• ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง : Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
• ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง : Smart City Brake Support-Reverse (SCBS –R)

ที่ใช้งานควบคู่กับระบบขับอัตโนมัติช่วยให้การขับขี่ในระยะทางไกล ๆ ที่ใช้ความเร็วไม่สูงมากนั้นค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะเมื่อระบบทำงานจะล็อคความเร็ว ตามความเร็วของรถคันหน้าโดยที่เราไม่ต้องเอาเท้าไปที่คันเร่งให้เมื่อย เพราะด้วยกฎหมายที่นี่ค่อนข้างรุนแรงทำให้คนที่นี่ไม่ค่อยทำผิดวินัยจราจร และมีมารยาทในการขับขี่ที่ดีมาก อย่างในวงเวียนที่นี่เราจะต้องให้ทางรถในวงเวียนไปก่อนทุกกรณี

การเดินทางวันนี้กว่า 800 กม. ซึ่งไกลกว่าขับจากกรุงเทพไปเชียงใหม่อีก ซึ่งทุกคนก็พร้อมรับกับคาราวานในรูปแบบนี้ ที่คาดเดาอะไรไม่ได้ แถมยังถูกควบคุมด้วยป้ายความเร็วที่ทำให้ขบวนใช้ความเร็วอยู่ที่ประมาณ 70-120 กม./ชม. เพื่อไม่ให้เกินตามที่กฎหมายกำหนด วันนี้เราคงถึงค่อนข้างดึกอย่างแน่นอน พอขับ ๆ ไป ความเย็นบนหน้าปัดเริ่มตกลงมาเรื่อย ๆ จนมาอยู่ทีเลขตัวเดียว และก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอยู่ เราเริ่มนึกถึงความหนาวระดับตอนไปลุยที่รัสเซียมา ท้องฟ้าเริ่มมืด โดยเราได้มีการลองระบบไฟสูงของรถ ซึ่งเส้นทางที่เราวิ่งนั้นแทบไม่มีรถให้เห็นมากนัก แถมไม่มีไฟตามทางแบบบ้านเราทำให้บริเวณนอกรถมืดสนิท ที่จะเห็นได้ก็เพราะมาจากแสงไฟจากพระจันทร์เท่านั้น

โดยระบบไฟ ALH (Adaptive LED Headlamps), ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ปรับการทํางานของไฟ สูง – ต่ำ แยกอิสระ ซ้าย – ขวา โดยอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับสภาพถนน ระยะห่างจากตําแหน่งของรถคันหน้า หรือรถที่วิ่งสวนมา เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน และช่วยให้การทํางานของไฟสูง ไม่ไปรบกวนรถคันอื่น, ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC (Mazda Radar Cruise Control) พร้อมปรับระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า หากพบรถคันหน้าที่มีความเร็วน้อยกว่า ระบบจะทำการปรับลดความเร็วลงตามความเร็วของรถคันหน้า และรักษาระยะห่างกับรถคันหน้าให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ โดยผู้ขับสามารถปรับระยะห่างจากรถคันหน้าได้จากสวิตช์ที่พวงมาลัย ทั้งนี้ ระบบจะกลับไปใช้ความเร็วเดิมที่กำหนดไว้โดยอัตโนมัติเมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่มีรถอยู่ด้านหน้า ซึ่งบอกว่ามันดีงามมากขับให้เราเห็นทัศนวิสัยได้ไกลขึ้น ขับไปสักพักเริ่มมีสายฝนตกโปรยปราย ดูไปดูมาสรุปว่าหิมะตกครับ ซึ่งตกหนักเอาการทำเอาตื่นเต้นทั้งขบวน

ทริปนี้เราได้เจอครบทั้งแสงเหนือและหิมะ พอไปมองดูที่หน้าปัดอุณหภูมิอยู่ที่ 0 องศาทีเดียว ทำให้การขับขิ่งช้าลงไปอีก เราค่อยลัดเลาะผ่านมาจนในที่สุดก็มาถึงจุดหมายที่เมือง Trondheim โดยเมืองนี้ถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและวิจัยทางเทคโนโลยี และการแพทย์ของนอร์เวย์ เนื่องด้วยเป็นที่ตั้งของ Norwegian University of Science and Technology (NTNU) และ SINTEF โดย NTNU มีนักศึกษาประมาณ 25,000 คนอีกด้วย

ในวันรุ่งขึ้นเราตื่นขึ้นมากับท้องฟ้าที่สดใสแต่อากาศหนาวมาก ๆ แถมลมพัดอย่างแรงเล่นเอาหน้าชากันเลย ผู้คนในเมืองเริ่มออกทำงาน โดยโรงแรมที่เราพักอยู่ อยู่ในทำเลที่ดีงาม เพราะติดกับสะพานข้ามคลองขนาดใหญ่ซึ่งจะเห็นบ้าน หรือโกดังท่าเรือในยุคก่อนที่ถูกทาสีไว้อย่างสวยงาม ทั้งสีส้ม, สีขาว, สีฟ้า และสีเขียวหลากหลายสีสัน ยาวสุดลูกหูลูกตา โดยวันนี้เรามีจุดหมายหลัก เราออกเดินทางได้สักพักใหญ่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง เส้นทางในวันนี้ส่วนมากจะต้องวิ่งลัดเลาะขึ้น-ลง ภูเขาซะส่วนใหญ่ ขับผ่านเขาสูงที่มีทั้งโค้งซ้าย-ขวา แถมถนนยังเล็กอีก ทำให้เราใช้ความเร็วไม่ได้ แต่ช่วงล่างแบบอิสระพร้อมเหล็กกันโคลงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังมัลติลิงก์ ช่วงล่างปรับเซตเพื่อความนุ่มนวล ขับความเร็วต่ำถึงปานกลางนุ่มนวล และผ่อนคลาย สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดี

ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดภายใต้ชุดเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS ระบบ GVC ช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยําและสมดุล ทำให้การเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำและนุ่มนวล และเพื่อให้ผู้ขับ MAZDA CX-5 โฉมใหม่ สัมผัสความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันของคนกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นการทํางานของระบบ GVC ระบบจะทํางานโดยประมวลผลจากการบังคับพวงมาลัยของผู้ขับขี่ ความเร็วของรถรวมถึงน้ำหนักของเท้าที่กดลงบนแป้นคันเร่ง จากนั้นระบบจะควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ และเกิดการถ่ายน้ำหนักที่เหมาะสมไปสู่แต่ละล้อทําให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ควบคุมได้แม่นยําในทุกสถานการณ์

วันนี้เราได้นำขบวนมาสด้า cx-5 ขึ้นเรือเฟอร์รี่กันช่วยย่นระยะทางพอสมควร ซึ่งตัวเรือและระบบความปลอดภัยต้องยอมรับว่าดูมีมาตรฐานกว่าในบ้านเรามาก เราอยู่บนเรือประมาณ 20 นาที ก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นรถได้แล้วเตรียมออกเดินทางกันต่อเลย ลงเรือมาเรายังคงเจอกับถนนเล็ก ๆ ที่วิ่งลัดเลาะริมทะเลไปเรื่อย ๆ วันนี้ฝนตกไม่ขาดสายแถมยังมีลมพัดโหมแรง มาตามทางสักพักเราก็มาเห็นสะพานสวย ๆ ที่ออกแบบมีเอกลักษณ์ทำให้เรารู้ว่านี่คืออีกสถานที่ ที่ทุกคนรอคอยมันคือ Atlantic Road ถนนที่ถูกขนานนามว่าเป็นถนนสายที่สวยที่สุดในโลก ด้วยเส้นถนนที่เชื่อมเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นเหมือนงูเลื้อย ซึ่งยากจะหาถนนเส้นใดเหมือน ซึ่งเรามีโอกาสได้เก็บภาพความประทับใจ แต่ฟ้าฝนก็ไม่ค่อยเป็นใจนัก ฝนเริ่มตกหนักมากแถมอากาศก็หนาวเย็น ทุกคนก็เลยต้องรีบทำเวลา จึงรีบขึ้นรถมุ่งไปทานข้าวเที่ยงที่ เมือง Molde ในนอร์เวย์

โดยมื้อนี้เป็นอาหารไทยแบบประยุกต์แม้จะไม่จัดจ้านเหมือนบ้านเรา ก็พอให้ลืมรสชาติปลาค็อตที่เป็นอาหารหลักของเราทุกวันมานี้ได้บ้าง ที่เมืองนี้ก็เป็นอีกเมืองท่า โดดเด่นที่มีการเจาะภูเขาทำเป็นที่จอดรถขนาดใหญ่ ที่มีความแปลกตาให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเหมืองขนาดใหญ่ และมีรูเข้าออกได้หลายทาง และเราก็ขับผ่านเส้นทางเดิม ย้อนกลับไป วันนี้ก็ใช้เวลาค่อนข้างเยอะมาก ไม่ทราบว่าเพราะฝนตกเลยทำให้ใช้ความเร็วไม่ได้ จาก 600 กว่ากิโลเมตรในตอนแรก แต่กลับมาถึงที่พักพอกับเมื่อวานที่ 900 กม. ถึงบอกว่าการเดินทางแบบคาราวานในต่างประเทศมักมีอะไรไม่คาดคิดได้เสมอ เรามาถึงที่พักที่ Leikanger ซึ่งในคืนนั้นเหมือนพายุเข้าฝนตกอย่างหนักแถมลมพัดแรง ทำเอานอนไม่ค่อยหลับกันทีเดียว

รุ่งเช้าในวันต่อมา วันนี้เราขับกันแบบสบาย ๆ เพียง 260 กม.เท่านั้น หลังจากควบระยะทางแบบ 600 กม. ทุกวันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเราใช้เส้นทางสู่ชนบท ถนนเริ่มกลับมาเล็กเหมือนในวันแรก ๆ อีกครั้ง เพื่อมุ่งไปสู่เมือง Flam ในนอร์เวย์ ซึ่งที่นี่ตระการตาด้วยภูเขาสูงที่ล้อมรอบ ซึ่งในช่วงนี้ที่ฝนตกตลอดทำให้ตามกำแพงภูเขาที่ล้อมรอบนั้น มีสายน้ำตกเล็ก ๆ ให้เห็นเป็นหลายสิบสาย ซึ่งตรงจุดนี้เคยเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งขนาดใหญ่มาก ปัจจุบันละลายการเป็นเขตพื้นราบเป็นแอ่งกระทะ โดยที่นี่มีการล่องเรือเฟอรี่ไปตามเส้นทางธารน้ำแข่งเก่าที่ละลายเป็นทะเล ซึ่งวิวจะอลังการมากมาย หรือ จะนั่งรถไฟชมก็ได้ โดยเราจะเลือกที่จะล่องเรือชม โดยใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ก่อนถึงอีกฝั่ง แล้วค่อยนั่งรถบัสกลับมาที่จุดจอดรถในตอนแรก

โดยมีไกด์บอกว่าที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของไวกิ้ง ที่เราเคยรู้จักกัน ซึ่งมีการจำลองเรือไวกิ้ง และรูปแกะสลักให้นักท่องเที่ยวได้ชม โดยบ้านเรือนในนอร์เวย์มีความสวยงาม และนิยมใช้ไม้ในการก่อสร้างเพราะเก็บความร้อนและกันความหนาวได้ดีกว่าวัสดุอื่น ๆ ซึ่งบ้านบางหลังก็มีการเอาหญ้ามาปลูกไว้บนหลังคา ทำให้มีความสวยงามไปอีกแบบ

เราเดินทางต่อมาถึงเมือง Bergen อีกเมืองท่าอันดับต้น ๆ ของนอร์เวย์ ด้วยระยะทางที่ไม่มากในการขับขี่ในวันนี้ ทำให้มีเวลาเดินเล่นในเมืองนี้ ที่เมืองนี้ถือว่าเป็นแห่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของนอร์เวย์ เพราะเป็นเมืองได้ได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกของยูเนสโก จากอาคารทรงเก่าแก่ทำด้วยไม้โบราณบริเวณท่าเรือ นอกจากนี้ของฝากที่ขึ้นชื่ออย่างพวกไข่ปลาคาเวียหลอด ด้วยความเป็นเมืองท่าทำให้มีของทะเลสด ๆ มากมาย ซึ่งอีกอย่างที่ดูน่าสนใจอย่างเนื้อปลาวาฬรมควันก็มีขาย ซึ่งเราก็ได้มีโอกาสชิมไปนิดหน่อยให้เป็นประสบการณ์ชีวิต เพราะไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสมาอีกเมื่อไหร่ มีโอกาสเลยขอลองดูสักที ซึ่งรถชาติก็ไม่แตกต่างจากทูน่ารมควันเค็ม ๆ เท่านั้นเอง กินทูน่าน่าจะดีกว่าเพราะยังไงก็เป็นอาหารมากกว่าปลาวาฬแน่นอน

วันนี้ก็เป็นวันท้าย ๆ ของการเดินทาง เรามุ่งสู่เมือง Oslo ซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลวงของนอร์เวย์ ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางของรถในภารกิจ MAZDA PASSION DRIVE TO THE NEW HORIZON ตามล่าแสงเหนือของเราในครั้งนี้ เส้นทางวันนี้อากาศค่อนข้างเป็นใจ อากาศเย็นสบาย ซึ่งในวันนี้จะเป็นการท้าทาย เพราะเราต้องผ่านที่ราบสูง Gelio ซึ่งเป็นทางบังคับที่ทุกคนจะต้องผ่านถ้าจะไปสู่เมือง Oslo ด้วยเครื่องยนต์เครื่องยนต์ดีเซล 2,200 ซีซี เทอร์โบชาร์จแบบ 2 สเตจ ฝาสูบแบบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบแปรผันวาล์วไอเสีย VVT ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 42.79 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบต่อนาที ที่ให้การตอบสนองในเส้นทางชัดได้เป็นอย่างดี ทำให้การเร่งแซงรถท้องถิ่นนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ

ซึ่งเวลาผ่านไป เมื่อสังเกตเส้นทางข้างหน้าเริ่มมีฝนตกโปรย ๆ แล้วก็เริ่มขุ่นมัว สภาพทัศนวิสัยเริ่มมองไม่เห็นในระยะไกล ถูกแล้วครับเราเจอพายุหิมะแบบฉับพลัน ทำให้การขับขี่กลายเป็นแทบคลานเพราะมีรถในขบวนที่เป็นขับสองล้อด้วย เพราะระหว่างทางก็มีรถตกลงข้างทางให้เห็นตลอด เพราะจริงแล้วรถที่ใช้วิ่งในเส้นทางที่หิมะตกหนาจะต้องเปลี่ยนมาใช้ยางตะปูกันแล้ว แต่นี่หิมะตกแบบไม่ตั้งตัวทำให้พื้นถนนเต็มไปด้วยหิมะซึ่งมีความหนา ซึ่งรถขับสี่ล้อยังมีอาการไถลเลยถ้าออกตัวแรง ๆ ขับเคลื่อนสองล้อคงไม่ไหว เพราะแทบจะใช้ความเร็วไม่ได้เลย จึงต้องให้รถที่เป็นขับเคลื่อนสี่ล้อสองคันมาช่วยขับนำเพื่อเปิดเส้นทางบนถนนให้ แล้วให้รถขับเคลื่อนสองล้อตาม

โดยที่ระบบ Dynamic Stability Control (DSC) ช่วยควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ และ Traction Control System (TCS) ช่วยป้องกันรถลื่นไถล ทำงานอย่างเต็มที่ขึ้นตลอดทาง โดยระบบนี้มีอยู่ในทุกรุ่น ซึ่งบางช่วงในการขับต้องบอกว่าน่ากลัวมากเพราะเป็นเหว แถมไม่มีไหล่ทาง และไม่มีรั้วกั้น เรามาถึงจุดพักรถระหว่างทาง ด้วยความปลอดภัยทุกคัน กับสภาพรถที่เต็มไปด้วยหิมะเกาะเต็มกระจังหน้าจนไม่เห็นโลโก้และกันชนหน้า นับเป็นประสบการณ์ความเร้าใจที่คุณไม่มีวันได้สัมผัสถ้าไม่มาขับด้วยตัวคุณเอง

เราก็ไม่ลืมเก็บบรรยากาศสวย ๆ เอาไว้เตือนความทรงจำ เราใช้เวลามุ่งสู่ที่หมายอย่างปลอดภัยที่ Oslo เมืองหลวงที่มีความสวยงามของสถาปัตยกรรม และเส้นสายการวางแผนเมืองที่คุณสามารถเดินถึงกันได้หมดเหมือนใยแมงมุม เราใช้ระยะเวลาในค่ำคืนที่เหลือในการสำรวจเมืองเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่พักเราอยู่ใจกลางเมือง โรงแรมที่เราพักเป็นสถานีรถไฟเก่าที่ถูกปรับปรุงมาเป็นส่วนของโรงแรม เมื่อเราเดินออกจากโรงแรมก็เป็นส่วนหนึ่งของสถานีรถไฟซึ่งมีร้านค้ามากมาย แต่ติดที่ร้านค้าแถวนี้ปิดแทบจะหมดแล้ว แถมพรุ่งนี้เปิด 10 โมงอีกต่างหาก ซึ่งเราคงมาไม่ทันต้องกลับก่อนอย่างแน่นอน ที่ลานหน้าโรงแรมก็มีรูปปั้นเสือโคร่งขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนจุดแลนด์มาร์กว่านี่คือศนูย์กลางของ Olso ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเก็บไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมาเหยียบที่ดินแดนนี้ ดินแดนไวกิ้งที่น้อยนักจะมีคนไทยบ้าขับรถกันมาถึง

ด้วยการเดินทางกว่า 3,000 กิโลเมตร ในระยะเลาไม่ถึง 10 วัน ผ่านทุกสภาพการเดินทางที่เราไม่คุ้นเคย การขับขี่ที่แตกต่าง นับเป็นประสบการณ์ที่สวยงาม และหลากหลายที่ได้จากการเดินทางในทริปเดียว มิตรภาพใหม่ที่เกิดขึ้นจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ร่วมทริป และคงต้องขอบคุณทาง บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เปิดประสบการณ์ให้เราได้มีโอกาสไปสัมผัสการเดินทางที่ตื่นเต้นในครั้งนี้