มิชลิน เผยโฉม ‘MICHELIN Road 6’ (มิชลิน โรด 6) ผลิตภัณฑ์ยางรุ่นล่าสุดในตระกูลยางสปอร์ตทัวริ่งที่โดดเด่นเหนือกว่ายางประเภทเดียวกันในตลาด โดยยางรุ่นนี้พัฒนาขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะที่เป็นเยี่ยม ทั้งด้านศักยภาพการยึดเกาะ อายุการใช้งาน การบังคับควบคุม และความสะดวกสบายขณะขับขี่ ให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ประเภท
- โรดสเตอร์ (Roadsters)
- จักรยานยนต์วิบาก (Trail Bikes)
- จักรยานยนต์สไตล์สปอร์ต (Sportsbikes)
- จักรยานยนต์ประเภทแกรนด์ทัวริ่ง (GT Motorcycles)
การเปิดตัวครั้งนี้ไม่เพียงนำเสนอผลิตภัณฑ์ยางกลุ่มมาตรฐานซึ่งครอบคลุมขนาดยางสำหรับใช้งานกับจักรยานยนต์วิบากขนาดใหญ่ (Big Trail Bikes) แต่ยังแนะนำยาง ‘MICHELIN Road 6 GT’ (มิชลิน โรด 6 จีที) ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถจักรยานยนต์ประเภทแกรนด์ทัวริ่งโดยเฉพาะอีกด้วย
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยวิศวกรประจำศูนย์วิจัยและพัฒนาของมิชลิน ส่งผลให้ยาง ‘MICHELIN Road 6’ มีสมรรถนะในการยึดเกาะถนนเปียกสูงขึ้นถึง 15%* ทั้งยังมีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น 10%** เมื่อเทียบกับยาง ‘MICHELIN Road 5’ รุ่นก่อนหน้า
นอกจากนี้ พัฒนาการที่เหนือกว่าในด้านสมรรถนะของยางรุ่นนี้ยังเป็นผลมาจากดอกยางดีไซน์ใหม่ การใช้วัตถุดิบจากเทคโนโลยีขั้นสูง และโครงสร้างยางที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด
ดีไซน์ดอกยาง
-อัตราส่วนพื้นที่ร่องรีดน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ที่ 14% (อัตราส่วนของร่องดอกยางต่อเนื้อยาง) ส่งผลให้มีสมรรถนะในการยึดเกาะระดับสูงทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้ง อัตราส่วนดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงขณะขับขี่เข้าโค้งจึงให้การตอบสนองที่สม่ำเสมอ
-เทคโนโลยี MICHELIN Water EverGrip ซึ่งเป็นเทคโนโลยีร่องระบายน้ำบนหน้ายางสิทธิบัตรเฉพาะของมิชลินที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเปียกในระดับสูงและเสริมสร้างความมั่นใจขณะขับขี่ท่ามกลางสภาพอากาศชื้นแฉะ โดยร่องระบายน้ำดังกล่าวออกแบบให้เปิดกว้างยิ่งขึ้นเมื่อยางผ่านการใช้งานเป็นระยะทางมากขึ้น
-มุมเอียงของร่องดอกยางและร่องระบายน้ำบนหน้ายาง มีความยาวมากขึ้นเพื่อประสิทธิภาพในการวิ่งตัดผ่านฟิล์มน้ำและยึดเกาะพื้นผิวถนน
วัตถุดิบ
-สูตรเนื้อยางที่ผลิตจากซิลิกา 100% โดยใช้เทคโนโลยี MICHELIN Silica ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะบนถนนที่ชื้นแฉะและท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น โดยยังคงมีอายุการใช้งานยาวนานเป็นเยี่ยมดังเดิม
-เทคโนโลยีเนื้อยางคู่ MICHELIN 2CT+ ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง โดยแต่ละส่วนของดอกยางให้คุณสมบัติเชิงสมรรถนะที่แตกต่างกัน เนื้อยางใต้ฐานดอกยางมีความแข็งกว่าเพื่อให้ความมั่นคงขณะเข้าโค้ง ขณะที่เนื้อยางส่วนบนของดอกยางซึ่งสัมผัสพื้นผิวถนนจะมีความนุ่มกว่าเพื่อให้สมรรถนะการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ทั้งยังช่วยให้ขับขี่ได้ระยะทางมากขึ้นบนถนนเปียกและถนนแห้ง
โครงสร้างยาง
-เทคโนโลยี MICHELIN Radial X Evo ชั้นโครงสร้างยางแบบทำมุม 90 องศาบริเวณหน้ายางช่วยให้ยางมีหน้าสัมผัสกว้างจึงให้การยึดเกาะสูงทั้งเมื่อขับขี่ในแนวตรงและเมื่อขับทำมุมเอียง แก้มยางของยางรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Radial X Evo มีการเรียงชั้นเนื้อยางแบบพิเศษเพื่อให้ยางมีความยืดหยุ่นและให้ความสบายขณะขับขี่ยิ่งขึ้นเนื่องจากช่วยดูดซับความขรุขระของผิวถนน
ทั้งยังช่วยรักษาเสถียรภาพของยางขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง จึงเหมาะสำหรับใช้งานกับจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง ในเชิงประสิทธิภาพโดยรวม…เทคโนโลยีนี้ยังช่วยเพิ่มสมรรถนะให้ยางตอบสนองต่อการบังคับควบคุมได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้ขับขี่ได้สนุกเร้าใจและปลอดภัย
-เทคโนโลยี MICHELIN Aramid Shield ซึ่งใช้โครงยางที่มีความหนาแน่นสูงและแข็งแกร่งมากขึ้นช่วยให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการบังคับควบคุมเป็นเยี่ยม โดยชั้นดอกยางที่ทำจากอะรามิดไม่เพียงทนทานต่อการขยายตัวของยางเมื่อเกิดแรงเหวี่ยงขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง แต่ยังช่วยให้ยางมีน้ำหนักลดลง และมีเสถียรภาพเป็นเยี่ยมอีกด้วย
ก้าวล้ำไปกับ “ความแปลกใหม่ครั้งแรก”
เนื่องจากเล็งเห็นว่าผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ของรถจักรยานยนต์ ‘MICHELIN Road 6’ จึงเป็นยางรถจักรยานยนต์รุ่นแรกในตระกูล ‘MICHELIN Road’ ที่ใช้เทคโนโลยี MICHELIN Premium Touch Design ซึ่งทำให้ได้แก้มยางที่มีลักษณะพื้นผิวคล้ายกำมะหยี่ (Micro Geometry) และให้ความแตกต่างระหว่างเฉดสีเทาดำที่ตัดกัน ส่งผลให้สัญลักษณ์บนยางโดดเด่นชัดเจนขึ้นและให้ภาพลักษณ์โดยรวมที่เตะตาอย่างมีสไตล์
พบกับยาง ‘MICHELIN Road 6’ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ณ ร้านตัวแทนจำหน่ายยางมิชลิน โดยมียางล้อหน้า 6 ขนาด และยางล้อหลัง 8 ขนาด ให้เลือกใช้ ขณะที่ยาง ‘MICHELIN Road 6 GT’ มียางล้อหน้าวางจำหน่าย 1 ขนาด และยางล้อหลัง 3 ขนาด
ผลิตภัณฑ์ยางรุ่นล่าสุดนี้รองรับการติดตั้งกับรถจักรยานยนต์หลากหลายประเภท ตั้งแต่โรดสเตอร์ขนาดเล็ก เช่น KTM 390 ไปจนถึงจักรยานยนต์สไตล์สปอร์ตและจักรยานยนต์วิบาก รวมถึงจักรยานยนต์ประเภทแกรนด์ทัวริ่ง เช่น BMW K1600 GT/GTL
ความเป็นมาของยางตระกูล ‘MICHELIN Road’
ยาง ‘MICHELIN Road 6’ พัฒนาขึ้นตามแนวทางของยางในตระกูล ‘MICHELIN Road’ นั่นคือ การนำเสนอ “ความแปลกใหม่ครั้งแรก” ในกลุ่มยางประเภทเดียวกัน
- 2545 ยาง ‘MICHELIN Pilot Road’…ยางรถจักรยานยนต์รุ่นแรกในตระกูล ‘MICHELIN Road’
- 2550 ยาง ‘MICHELIN Pilot Road 2’…ยางรถจักรยานยนต์รุ่นแรกในตระกูล ‘MICHELIN Road’ ที่มาพร้อมร่องระบายน้ำบนหน้ายาง
- 2557 ยาง ‘MICHELIN Pilot Road 4’…ยางรถจักรยานยนต์รุ่นแรกในตระกูล ‘MICHELIN Road’ ที่นำเสนอยางสำหรับรถจักรยานยนต์ประเภทแกรนด์ทัวริ่งโดยเฉพาะเอาไว้ด้วย
- 2561 ยาง ‘MICHELIN Pilot Road 5’…ยางรถจักรยานยนต์รุ่นแรกในตระกูล ‘MICHELIN Road’ ที่ใช้เทคโนโลยีร่องระบายน้ำบนหน้ายางแบบ 3 มิติ (3D Sipe Technology)
* การทดสอบภายในองค์กรเพื่อเปรียบเทียบยาง ‘มิชลิน โรด 6’ กับยาง ‘มิชลิน โรด 5’ ณ สนามแข่งฟองตาญเญ่ (Fontange Track)
- วันที่ 7 และ 8 กรกฎาคม 2563: โดยใช้ยางขนาด 120/70 ZR 17 และ 180/55 ZR 17 ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ Suzuki 1250S Bandit และ Triumph Street Triple S 765
- วันที่ 15 มีนาคม และ 21 พฤษภาคม 2564: โดยใช้ยางขนาด 120/70 ZR 17 และ 180/55 ZR 17 ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ Suzuki 1250S Bandit
- วันที่ 17 มกราคม 2563: โดยใช้ยางขนาด 120/70 ZR 17 และ 180/55 ZR 17 (ยางประเภท GT) ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ BMW R1200RT
- วันที่ 17 กันยายน 2563: โดยใช้ยางขนาด 120/70 ZR 17 และ 160/60 ZR 17 ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ Kawasaki ER6n
- วันที่ 17 มกราคม 2563: โดยใช้ยางขนาด 110/80 ZR 19 และ 150/70 ZR 17 ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ BMW R1200GS
** การเปรียบเทียบยาง ‘มิชลิน โรด 6’ กับยาง ‘มิชลิน โรด 5’ ในการทดสอบซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานอิสระ DEKRA Narbonne บนถนนสาธารณะ
- วันที่ 20 กรกฎาคม และ 7 สิงหาคม 2563: โดยใช้ยางขนาด 120/70 ZR 17 และ 180/55 ZR 17 ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ BMW K1300R
- วันที่ 17 สิงหาคม และ 14 ตุลาคม 2563: โดยใช้ยางขนาด 120/70 ZR 17 และ 180/55 ZR 17 (ยางประเภท GT) ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ BMW R1250RT ซึ่งมีน้ำหนักบรรทุกเต็มพิกัด แต่ไม่มีกล่องใส่ของท้ายรถ
- วันที่ 28 กันยายน และ 12 พฤศจิกายน 2563: โดยใช้ยางขนาด 120/70 ZR 17 และ 160/60 ZR 17 ที่ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ Suzuki Gladius 650