รีวิว ทดสอบรถ ใหม่ล่าสุด (25/02/19) Mercedes-Benz E 350e หรูหรา, ไฮเทค และให้ความปลอดภัยสูงสุด บวกด้วยระบบจัดสรรการใช้พลังงานอันชาญฉลาด
รีวิว ทดสอบรถ Mercedes-Benz E 350e หรูหรา, ไฮเทค และให้ความปลอดภัยสูงสุด
หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆเราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้ |
THE FUTURE OF THE FUTURE... หรูหรา, ไฮเทค และให้ความปลอดภัยสูงสุด บวกด้วยระบบจัดสรรการใช้พลังงานอันชาญฉลาด ทั้งยังคายมลพิษต่ำ E 350e คือยนตรกรรมที่ข้ามเวลามาจากโลกแห่งอนาคตอย่างแท้จริง!
ราวกับ T-virus ในภาพยนตร์ Resident Evil ไม่ว่าคุณจะชอบ หรือ ไม่ แต่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็ค่อย ๆ แทรกซึม และแพร่กระจายไปทั่วโลก ดีกว่าในภาพยนตร์ตรงที่ยนตรกรรมพลังไฟฟ้าไม่ได้ฆ่าใครเหมือนกับที่ T-virus ทำ ตรงกันข้าม มันกลับช่วยให้โลกของเราสะอาดขึ้นอีกด้วย
ขุมพลัง Mercedes-Benz E 350e
Mercedes-Benz คืออีกแบรนด์ที่หันมาทุ่มเทพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ว่า E 350e คันที่เรากำลังขับอยู่นี้ จะเป็นเพียง “ลูกครึ่ง” ที่มีทั้งเครื่องยนต์ปกติ และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มันก็ช่วยทำให้เราเห็นทิศทางของรถยนต์แห่งอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าจะออกมาเป็นเช่นใด
E 350e ใช้แบตเตอรี่ชนิด ลิเธียม-ไอออน ในการเก็บ และจ่ายพลังงาน ติดตั้งไว้ที่ใต้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ สามารถชาร์จให้เต็มได้ใน 1.5 ชั่วโมง หากชาร์จแบบ High-voltage ตามสถานีชาร์จต่าง ๆ หรือ 3 ชั่วโมงเมื่อชาร์จด้วยไฟบ้าน และขับใช้งานได้ราว 30 กม. โดยเฉลี่ย (ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ และปัจจัยแวดล้อม) อาจเป็นตัวเลขระยะทางที่ดูน้อยไปนิด แต่ E-class พันธุ์ผสมมีเทคโนโลยีที่สามารถจัดสรรการใช้พลังงานจากทั้งไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความประหยัดสูงสุด
โดยระบบจะสื่อสารกับ sat-nav (เมื่อคุณเซ็ตจุดหมายปลายทาง) เพื่อปรับการทำงานระหว่างไฟฟ้า และน้ำมันให้เหมาะสมกับระยะทาง และปัจจัยอื่น ๆ ถ้ามันตรวจพบว่ามีจุดชาร์จไฟอยู่ที่จุดหมายปลายทางที่คุณตั้งไว้ มันจะคำนวนระยะทางที่เหมาะสมจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้พอจนถึงจุดชาร์จไฟ
นอกจากนั้น คุณยังสามารถเลือกขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวจนกว่าแบตเตอรี่จะหมด, เก็บสะสมพลังงานไฟฟ้าให้อยู่ในระดับคงที่เพื่อเอาไว้ใช้ภายหลัง (เช่น ใช้เครื่องยนต์ จนกว่าจะขับเข้าไปในเมืองจึงใช้ไฟฟ้า) รวมทั้งสามารถใช้เครื่องยนต์เพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้ ซึ่งเราไม่ค่อยแนะนำเพราะจะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น
แม้จะใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ E 350e ก็สามารถขับเคลื่อนได้อย่างคล่องแคล่ว มอเตอร์ของมันสร้างพลังสูงสุดได้ 88 แรงม้า แต่กุญแจสำคัญคือ แรงบิดสูงสุดที่ทำได้ถึง 440 นิวตันเมตร ทำให้การออกตัวรวมทั้งการเร่งแซงทำได้อย่างไม่มีปัญหา ช่วงล่างถุงลม Airmatic จัดการกับแรงสั่นสะเทือนจนอยู่หมัด
ภายในห้องโดยสาร
ขณะที่พวงมาลัยก็ถูกปรับให้มีน้ำหนักเบา และกระฉับเฉงเป็นพิเศษเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ ทำให้ซอกแซกไปตามการจราจรได้ง่ายดายไม่ต่างจากรถขนาด Compact เลยทีเดียว นอกจากนั้น คุณยังได้รับสิ่งที่คุณคาดหวังจากซีดานขนาดกลางจาก Mercedes รุ่นนี้ได้เช่นเดียวกับที่ผ่านมา ห้องโดยสารที่ใช้วัสดุคุณภาพสูง, การประกอบสุดเนี้ยบ และความสะดวกสบายสูงสุด
โดยคันของเราเป็นรุ่น AMG Line ซึ่งเป็นเกรดสูงสุด แตกต่างด้วยการตกแต่งลายคาร์บอนไฟเบอร์เงาวับ และพวงมาลัย D-shape สไตล์รถสปอร์ต ส่วนเบาะนั่งก็เป็นแบบสปอร์ตเช่นกัน มีการเพิ่มขนาดปีกเบาะให้ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายังคงนุ่มนวลพอเหมาะ และนั่งสบายแม้จะต้องเดินทางไกล พื้นที่กว้างขวางโอ่อ่าไม่ว่าคุณจะนั่งที่เบาะหน้า หรือ หลัง
ร่วมด้วยการเก็บเสียงที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษใน E-class ใหม่ ซีลประตู และกระจกหน้าต่างเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ใน S-class ซึ่งช่วยลดช่วงความถี่สูงของเสียงลมได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ยังเพิ่มฉนวนกันเสียงเข้าไปตามส่วนต่าง ๆ ของห้องโดยสาร เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนอีกทางหนึ่งด้วย
การตกแต่งภายนอก
ไม่เพียงแค่รอบ ๆ ห้องโดยสารเท่านั้น แต่ Mercedes ยังพัฒนาดีไซน์ตัวถังรถให้ช่วยลดเสียงลมลงได้อีกทางหนึ่ง เคล็ดลับก็คือ การลดแรงเสียดทาน (หน่วยวัดคือ Cd) ให้ได้มากที่สุด พวกเขาปรับปรุงช่องรับอากาศกันชนหน้า และส่วนล่างของหลังใหม่, เพิ่มตัวบังคับอากาศที่ซุ้มล้อทั้งสี่, เพิ่มพื้นที่แผ่นปิดใต้ท้องรถบริเวณห้องเครื่องให้มากขึ้น พร้อมด้วยการซีลตามจุดต่าง ๆ อาทิ ระหว่างซุ้มล้อกับห้องเครื่อง, ไฟหน้ากับกระจังหน้า, ให้แน่นหนายิ่งขึ้น เพื่อลดแรงต้านให้ได้มากที่สุด
ซึ่งนอกจากช่วยลดเสียงลมแล้ว ยังมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น ส่งให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงตามไปด้วย ตามทฤษฎีแล้ว ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ลดลง 0.01 Cd จะส่งผลให้ปริมาณ Co2 ลดลง 1 กรัม/กม. แต่ในการใช้งานจริงสามารถลดได้ถึง 2 กรัม/กม. นอกจากนั้น Mercedes ยังเคลมว่า E-class ใหม่ ซึ่งมีค่าแรงเสียดทานลดลงจาก 0.25 เหลือเพียง 0.23 Cd ที่ความเร็ว 130 กม./ชม. ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงลงถึง 0.3 ลิตร/100 กม. เลยทีเดียว
เทคโนโลยีนับเป็นไฮไลท์สำคัญของ E 350e
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของความปลอดภัย ชุดไฟหน้าซึ่งเคลือบสารกันรอยขีดข่วนไว้บนฝาครอบที่ทำจากโพลีคาร์โบเนท เป็นแบบ LED ทั้งหมด มาพร้อมกับระบบไฟสูงอัตโนมัติที่ทำงานได้ฉับไวผ่านหลอด LED จำนวนถึง 84 ดวง ที่ทำงานแยกอิสระจากกันทุกดวง มันจะตรวจจับแสงจากรถคันหน้ารวมถึงรถที่วิ่งสวนทาง และปรับลดความสว่างเฉพาะจุดเพื่อไม่ให้แสงรบกวนสายตาเพื่อนร่วมทาง ขณะเดียวกันก็ยังคงไฟสูงไว้ในส่วนที่สามารถทำได้ ระบบนี้ทำงานได้อย่างราบรื่นเป็นธรรมชาติจนคุณอาจไม่ทันสังเกตถึงการปรับไปมาของแสงไฟด้วยซ้ำ
ไฟท้าย “Stardust Effect” เป็นจุดที่น่าหลงใหล และตื่นตาตื่นใจ ด้วยเทคโนโลยีแผ่นสะท้อนแสงแบบใหม่ที่ Mercedes นำมาใช้เป็นครั้งแรก ช่วยให้แสงที่เปล่งออกมาเกิดเอฟเฟคท์ระยิบระยับคล้ายกับละอองดาวบนทางช้างเผือก… เอิ่ม… อาจฟังดูเหนือจินตนาการไปหน่อย แต่มันก็ให้บรรยากาศแบบนั้นจริงๆ… ทั้งยังสามารถปรับความสว่างของไฟให้เหมาะสมตามสภาพแสง เพื่อลดการรบกวนสายตาของผู้ขับขี่คันหลังได้อัตโนมัติอีกด้วย
ระบบส่องสว่างที่ทำงานได้อย่างชาญฉลาดนี้ ส่งผลดีอย่างยิ่งเมื่อต้องขับทางไกลบนถนนสายรองที่มืดสนิท ตอนนี้ผมเปลี่ยนมาใช้โหมด Sport ซึ่งตัดการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออกไป จึงเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์ BlueDIRECT เบนซินเทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร 211 แรงม้า, 350 นิวตันเมตร เพียงลำพัง นี่คือ ขุมพลังที่ Mercedes พัฒนาให้ประหยัดเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น และคายมลพิษน้อยลง
ระบบหัวฉีดแบบ Direct Injection (ฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้) เจเนอเรชั่นที่ 3
ซึ่งปรับปรุงให้สามารถฉีดเชื้อเพลิงได้ด้วยแรงดันสูงถึง 200 บาร์ โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์จะปรับแรงดันให้เหมาะสมกับการทำงานของเครื่องยนต์ในขณะนั้น และหัวฉีดก็สามารถฉีดซ้ำได้ถึง 5 ครั้ง/มิลลิวินาที เพื่อให้ส่วนผสมของน้ำมันกับอากาศอยู่ในระดับที่เผาไหม้ได้สมบูรณ์ที่สุด ขณะที่ระบบจุดระเบิดแบบใหม่ สามารถสั่งงานให้จุดประกายได้สูงสุด 4 ครั้ง/มิลลิวินาที เมื่อทำงานร่วมกับระบบหัวฉีดแรงดันสูง จึงช่วยให้การเผาไหม้หมดจดและประหยัดเชื้อเพลิงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะทำงานโดยปราศจากกำลังเสริมของมอเตอร์ไฟฟ้า E 350e ของเราก็ยังคงพึ่งพาได้ มันเป็นรถที่ขับได้อย่างราบรื่นในทุกย่านความเร็ว อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.2 วินาที จัดว่าค่อนข้าง “เร็ว” เมื่อเทียบกับความเป็นรถซาลูนสำหรับการขับใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่แทนที่จะกระโจนออกไป มันกลับแสดงออกอย่างนุ่มนวลเสียมากกว่า ใช่ครับ มันเร็ว, เร่งทันใจ ทว่าด้วยท่วงทีที่สุภาพ
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเกียร์อัตโนมัติ 9-G Tronic แบบ 9 จังหวะ ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดอัตราสิ้นเปลือง และให้ความนุ่มนวลในการขับเคลื่อนเป็นหลัก มันเปลี่ยนตำแหน่งได้แทบจะไร้รอยต่อ และเข้าขากันดีกับพละกำลังของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง Airmatic ถูกปรับให้เฟิร์มขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่ออยู่ในโหมดนี้ คุณจะไม่รู้สึกถึงการเพิ่มขึ้นของแรงสั่นสะเทือนนัก เมื่อเทียบกับการขับในโหมด Sport + แต่สัมผัสได้ชัดเจนถึงประสิทธิภาพการควบคุมที่หนักแน่นขึ้น พวงมาลัยสื่อสารทิศทางของล้อหน้ามาสู่มือได้ชัดเจนขึ้น, ตึงมือขึ้น และเฉียบคมกว่าเดิม ทว่ามันก็ยังคงตอบสนองไปทางนุ่มนวลมากกว่ากระฉับกระเฉง
และนั่นคือสิ่งที่ผมชอบที่สุดใน E-class เหตุเพราะ Mercedes มอบภาระกิจเพียงหนึ่งเดียวให้กับมัน — “รถยนต์นั่ง” — การสร้างอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน ส่งให้มันทำหน้าที่ที่ถูกมอบหมายได้ไร้ที่ติ ถ้าคุณต้องการรถที่ขับสนุก และเล่นบทบู๊กับคุณได้อย่างไม่เคอะเขิน คงต้องเพิ่มเงินอีกก้อนเพื่อ E53 AMG ไม่ก็มองหา BMW หรือ Audi ซึ่งทำได้ดีกว่าในเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณต้องการรถสำหรับทุกวันของคุณล่ะก็ E 350e คือ ตัวเลือกที่ยากจะหาใครมาเทียบเคียง
นี่คือ รถแห่งความเป็นจริง และมันเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้โดยเฉพาะ รถที่คุณแค่กดปุ่มสตาร์ท, เข้าเกียร์ และขับออกไป หาเพลงโปรดฟัง, คุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อน ๆ หรือ คนในครอบครัวระหว่างเดินทาง โดยไม่ต้องกังวลหรือโฟกัสกับการควบคุมรถให้มากความ อีกทั้ง E 350e ยังให้ความอุ่นใจกับทุกคนในห้องโดยสารด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ
อาทิ ระบบ Cruise Control อัจฉริยะที่สามารถเพิ่มหรือลดความเร็ว, ควบคุมระยะห่าง, เบรค รวมถึงบังคับพวงมาลัย ให้อยู่ในเลนได้ตลอดเวลา จนอาจกล่าวได้ว่ามันสามารถขับเคลื่อนได้เองเกือบอัตโนมัติ โดยผู้ขับแทบไม่ต้องควบคุมรถเลย (แต่เราก็ไม่แนะนำ แม้จะเปิดใช้งานระบบนี้ ก็ควรที่จะใส่ใจในการควบคุมรถด้วยตัวเองเสมอ) เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีระบบช่วยเหลืออื่น ๆ อาทิ STEER CONTROL ซึ่งจะช่วยควบคุมการหักเลี้ยวเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น ในกรณีที่รถเกิดอาการท้ายปัด พวงมาลัยจะหักเลี้ยวสวนทาง ในองศาที่เหมาะสม เพื่อให้รถกลับสู่สมดุลอีกครั้ง, ระบบเบรคสามารถสั่งให้แตะเบรคเบา ๆ ทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ขับถอนคันเร่งอย่างฉับพลัน เป็นต้น ขณะที่โครงสร้างตัวถังซึ่งประกอบด้วยอะลูมิเนียมหล่อในหลาย ๆ จุด
นอกจากจะเบากว่าโครงสร้างทั่วไปถึง 70% แล้ว ยังให้ความแข็งแกร่ง, ลดแรงสั่นสะเทือน และลดเสียงรบกวน ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกับระบบยกฝากระโปรงหน้ารถขึ้นอัตโนมัติ เมื่อชนเข้ากับคนเดินถนน เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างฝากระโปรง และห้องเครื่องให้มากขึ้น ช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บรุนแรงของผู้ถูกชนได้อีกทางหนึ่ง
บทสรุป
กล่าวได้ว่า E 350e คือ รถที่กำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับยนตรกรรมแห่งอนาคต รถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่เคยเป็นมา และเชื่อมโยงระหว่างยุคของการใช้เชื้อเพลิงสู่รถที่ใช้ไฟฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ เราทุกคนทราบถึงวิกฤติที่กำลังเข้าสู่ขีดอันตรายของโลกที่เราอาศัย น่าปลื้มใจที่ผู้ผลิตรถยนต์ต่างพยายามที่จะช่วยบรรเทาหรือขจัดมลพิษที่เกิดขึ้นจากไอเสียให้มากที่สุด
เพียงแต่นี่คือจุดเริ่มต้น ซึ่งแน่นอนว่า ยังคงมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง และต้องรอความพร้อมของสถานีชาร์จไฟซึ่งปัจจุบันยังไม่แพร่หลายนัก แต่อีกไม่นาน ระบบเหล่านี้ก็จะสมบูรณ์ ดังนั้น การเป็นเจ้าของรถ Plug-in Hybrid จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งในแง่ของระยะเวลาในการใช้งาน และอัตราภาษีรายปีที่ถูกกว่า ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงเรื่อย ๆ อีกด้วย