TorqueThailand.com
รีวิว ทดสอบ Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล พิกัด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 194 แรงม้า
รีวิว ทดสอบ Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ
Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium
The CLS อีกหนึ่งยอดยนตรกรรมในกลุ่ม Dream Car ที่ยังคงความโดดเด่นจากการผสมผสานเส้นสาย Coupe ลงบนตัวถังแบบ 4 ประตู จน “โดนใจ” ผู้บริโภคชาวไทย แม้เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ค่าตัวจะ “ดีด” ไปไกล … แต่วันนี้ “เอื้อมง่าย” แล้ว กับ CLS 220 d AMG Premium
มองเผินๆ แบบถ้าไม่เดินไปหลังรถ จนพบเจอเพลทโละหะที่บ่งบอกรุ่น ว่าเจ้านี่คือ CLS 220 d ล่ะก็ … เราเชื่อว่าหลายคนคงแยกไม่ออก เพราะการปฏิวัติจาก Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium มาสู่ Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium นั้นแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยซักนิด
ร่ายยาวด้วยเหล่าอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน พร้อมด้วยออปชันเสริมให้สมฐานะที่มีนามสกุล AMG Premium พ่วงท้าย หลักๆ ก็ เช่น กระจังหน้า Diamond-Pattern Grille ประกบด้วยชุดไฟหน้า Multibeam LED เสริมด้วยฟังก์ชัน ระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS, ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง Cornering Light, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist และชุดไฟ Daytime Running Light แบบ LED
ตามด้วยไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ต่อเนื่องไปที่ด้านหลังกับชุดไฟท้าย LED พร้อมเทคโนโลยี Fibre-Optic และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ขณะที่ด้านบนนั้นมากับหลังคา Sunroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า โดยมีด้านล่างเป็นล้ออัลลอย AMG ลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยาง Runflat Tyre ขนาด 245/40 R19 ในด้านหน้า และขนาด 275/35 R19 ในด้านหลัง
แถมด้วยการสร้างความสะดุดตาจากสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรก ให้ลงตัวกับความหล่อเหลาจากชุดแต่ง AMG รอบคัน ซึ่งหากคุณเป็นผู้คลั่งไคล้เกมส์จับผิดภาพตัวจริง เราคิดว่าคงจะพอเห็นบางสิ่งจากภายนอกที่มีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง นอกเหนือจากเพลทโลหะด้านหลังรถ นั่นคือ “จานเบรกแบบเจาะรู” ที่ถูกถอดออกไปนั่นเอง
สำหรับภายในห้องโดยสาร ความหรูหราด้วยงานตกแต่งจากลายไม้ Grey Open-Pore Ash Wood Trim และวัสดุหนัง Nappa ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกก็ยังคงครบเครื่องเช่นกัน อาทิ หน้าจอแสดงผล Dual Cockpit Screen จอคู่ ขนาด 12.3 นิ้ว 2 จอ พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-up Display และพวงมาลัย Multifunction
ซึ่งมีการอัพเกรดปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย Touch Control เป็นรูปแบบใหม่, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ THERMATIC Dual Zone ไปจนถึงการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth และระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charging
นอกจากนี้ในส่วนของ Infotainment ยังได้ทำการ “เพิ่มเติม” ระบบปฎิบัติการ Multimedia MBUX เข้ามาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ที่มาพร้อมกับการเพิ่มเติมฟังก์ชันใช้งาน เช่น ระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hey Mercedes”, ระบบเชื่อมต่อรถยนต์ Mercedes me connect, ระบบโทรช่วยเหลือฉุกเฉิน Emergency Call System,
ระบบวิเคราะห์สภาพ และตั้งค่ารถยนต์ Telediagnostics ไปจนถึงระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อเปิดระบบปรับอากาศด้วยมือถือ Remote Engine Start โดยรองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple Car Play และ Andriod Auto
แต่จะให้จัดออปชันมาครบๆ พร้อมกับลดค่าตัวลง ก็คงเป็นไปได้ “ยาก” เพราะงั้น “มีได้” ก็ต้อง “มีเสีย” ซึ่งส่วนตัวผมว่าถ้าไม่ได้ซีเรียสมากนัก ก็ถือว่าพอรับได้อยู่ เช่น โหมดการขับขี่ Sport+, ปุ่มควบคุมการปรับเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า จากฝั่งคนขับ แล้วก็นาฬิกาแบบ Analog
ส่วนระบบความปลอดภัยที่ถูกเอาออกก็คือ ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า Active Distance Assist DISTRONIC และทำการ “เพิ่มเติม” ระบบเบรกอัตโนมัติ Active Brake Assist และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย เบาะนั่งด้านหลัง เข้ามาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย
ซึ่งถ้าถามส่วนตัวผมไม่ซีเรียส กับการตัดระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC) ออก เพราะหากรถยังต้องใช้คนขับเป็นผู้ควบคุมหลัก ทุกอย่างที่เป็นอุปกรณ์เสริมก็แค่ “ตัวช่วย” ซึ่งจะ “ดี” หรือ “ร้าย” ก็อยู่ที่คนขับ … แต่กับผู้บริโภคบอกเลยว่า “ไม่แน่” เพราะส่วนใหญ่มักคิดว่า “รถแพง เทคโนโลยีเลิศ” ความปลอดภัยต้อง 100% ทั้งๆ ที่มือยังต้องจับพวงมาลัย ส่วนเท้าก็ยังต้องใช้เหยียบทั้งคันเร่ง และเบรก
ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องบอกว่าเห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุด ต้องยกให้กับขุมพลังที่ลดลงมาเป็นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล พิกัด 2.0 ลิตร มาพร้อมเทอร์โบชาร์จ และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้เรี่ยวแรงอยู่ที่ 194 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตันเมตร ในรอบต่ำตั้งแต่ 1,600 – 2,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic
พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift และฟังก์ชันปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ Dynamic Select ให้เลือกเพียง 4 รูปแบบ คือ Eco, Comfort, Individual และ Sport ส่วน Sport+ นั้นถูกตัดออกไปดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันสร้างความรู้สึกที่มีทั้ง “ดี” และ “ไม่ดี” โดยทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่ “มุมมองความต้องการ” ของผู้ซื้อเป็นหลัก เช่น ถ้าคุณเลือก “ความสะดวกสบาย” เป็นประเด็นหลัก ในส่วนของออปชันสิ่งอำนวยความสะดวกที่ประจำการใน CLS220 d ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี เพราะนี่คือ เทคโนโลยีล่าสุดเทียบเท่ายนตรกรรมรุ่นที่จำหน่ายในปัจจุบัน ที่คุณสามารถจ่ายได้ด้วยราคาถูกกว่า
แต่ถ้าคุณมองเรื่อง “สมรรถนะ” มาเป็นอันดับ 1 ล่ะก็ เรี่ยวแรงไม่ถึง 200 แรงม้า จากเครื่องยนต์พิกัด 2.0 ลิตร อาจสนองความต้องการได้ไม่มากพอ โดยเฉพาะถ้าภาพจำคุณ คือ CLS 300 d ฉะนั้นคุณจึงมีทางเลือกเพียงแค่ 2 คือ “ยอมรับ” หรือ “ขยับสเตป” เพราะถ้า “ปัจจัย” ไม่ใช่ปัญหา Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ รอคุณอยู่
ส่วนในมุมมองของเราที่มีสไตล์แบบ Old School หลังจากที่ลองขับมาเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับนำเอาทุกอย่างมาเรียบเรียง และชั่งตวงวัดในหัว ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าถ้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องความล้ำของ “ออปชัน” แถมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แต่ในเมืองเป็นหลัก เถลไถลออกต่างจังหวัดบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยพฤติกรรมการขับแบบ “กลัวคันเร่งสึก” เราว่า “สมรรถนะ” เท่านี้ ก็ “เพียงพอ” แล้วครับกับราคา 4,329,000 บาท หรือจ่ายถูกลงมาอีกราว 1.2 แสนบาท
แต่ Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium เพียงหนึ่งเดียวในอนุกรมที่จำหน่ายอยู่ในตลาดเมืองไทย ยังเติมเต็มคุณได้ไม่เพียงพอ ก็อย่างที่บอกล่ะครับว่าต้องขยับไปที่หนึ่งเดียวในอนุกรม Mercedes-AMG อย่าง CLS 53 4MATIC+ ซึ่งก็ต้องควักเพิ่มไปอีกประมาณ 1 ล้านนิดๆ เพื่อแลกมา
โดยเรื่องตลกก็คือ การมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในรุ่นของทั้ง 2 โมเดล มันทำให้เรานึกถึงคำว่า “รถเลือกเจ้าของ” ขึ้นมา เพราะทั้ง 2 รุ่นต่างก็มีคุณสมบัติเฉพาะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฉะนั้นใครที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของก็ต้องยอมรับ และปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับกับรถเท่านั้น เพื่อพิสูจน์ถึงความเหมาะสมในการเป็นเจ้าของที่แท้จริง ซึ่งนั่นก็หน้าที่คุณแหละครับ ว่าไลฟ์สไตล์ และความต้องการ จะเหมาะสมกับการเป็นเจ้าของ CLS เวอร์ชั่นไหน
Specification : Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium
- Price : 4,329,000 BHT
- Engine : 1,950 CC / 4 Cylinder / 16 Valve / Turbocharged / Intercooler 194 hp @ 3,800 rpm / 400 Nm @ 1,600 – 2,800 rpm
- Transmission : 9A/T (9G-Tronic)
- Performance : 0 – 100 Km/h @ 7.5 Sec / Top Speed @ 237 Km/h
- Weight : N/A
