รีวิว ลองขับ BMW XM 50e เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3 ลิตร เทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo กับระบบ M HYBRID ให้กำลังรวมสูงสุด 476 แรงม้า
รีวิว ลองขับ BMW XM 50e (Shadow Line) ราคา 6,999,000 บาท
BMW XM 50e (Shadow Line)
“ทั้ง BMW XM 50e และ BMW XM 50e (Shadow Line) คือ ก้าวแรกของ M Performane เจเนอเรชั่นต่อไป เพื่อพิสูจน์ว่าระบบ Hybrid สามารถมอบให้ได้ทั้งความประหยัด หรือเป็นส่วนหนึ่งของความแรงได้อย่างแนบเนียน”
ถ้าเราจะบอกว่า “ทั้งรัก ทั้งเกลียด” คงจะไม่มีใครว่าอะไรใช่มั้ย ? … ใช่ ครับ เราเป็นแฟน BMW ตั้งแต่ยุคเก่าๆ ไล่เรียงจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ได้เห็นวิวัฒนาการมากมาย ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี, สมรรถนะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานดีไซน์ในเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่ต้องยอมรับว่าตามไม่ทัน ตั้งแต่ “กระจังหน้ารูปไตคู่” ที่อยู่ๆ เติบโต จนกินพื้นที่ราว 1 ใน 3 ของมุมมองด้านหน้า จนทำเอาเรารู้สึกไม่ “Happy” ไปเลยทันทีกับงานดีไซน์
และจากนั้นก็ตามมาด้วยงานดีไซน์ ลายเส้น ล้ำยุคอีกมายมาย ในหลายรุ่นของ BMW ซึ่งทำเอาเราตามไม่ทันเข้าไปใหญ่ แต่ก็เข้าใจว่าน่าจะด้วยเหตุผลของกระแสสังคมเรื่องพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า ที่ทำให้หลายคนพยายามเผยงานดีไซน์ ลายเส้น ล้ำสมัยผ่านเรือนร่างของยนตรกรรมใหม่ๆ เพื่อบ่งบอกทิศทางก้าวต่อไปในอนาคตของแบรนด์ ซึ่ง BMW เองก็เป็นหนึ่งในนั้น สังเกตได้จากไลน์อัพใหม่ ที่เปิดตัวออกมา เพื่อมอบทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค
และ XM คือ ไลน์อัพใหม่ล่าสุด ที่ผุดไอเดียขึ้นมา และเผยโฉมต่อหน้าเราครั้งแรกช่วงต้นปี 2023 ช็อควงการด้วยความดุเดือดจากขุมพลัง V8 ขนาด 4.4 ลิตร Plug-in Hybrid ที่มีเรี่ยวแรงถึง 653 แรงม้า และแรงบิด 800 นิวตันเมตร แถมยังมากับฐานะของ BMW M แบบ Plug-in Hybrid รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ อีกด้วย โดยมีค่าตัวอยู่ที่ราวๆ 15 ล้านบาท ซึ่งแน่ละ “เกินเอื้อม” ไป
เพราะฉะนั้นแผนใหม่จึงเกิดขึ้นในปลายปีเดียวกัน ด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยออกมา เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กับ BMW XM 50e ที่หน้าตาละท้ายคล้ายของแรงค่าตัว 15 ล้าน ที่เปิดตัวไปช่วงต้นปีแบบสุดๆ แต่ส่วนที่ดีงามเลย คือ “ค่าตัว” ซึ่งถูกกดลงมาอยู่ในระดับไม่เกิน 7 ล้านบาท
เริ่มต้นด้วยรุ่น BMW XM 50e ราคา 6,799,000 และพระเอกในวันนี้ รุ่นท็อปสุด BMW XM 50e (Shadow Line) ราคา 6,999,000 บาท ซึ่งเติมความโดดเด่นเข้าไปอีกขั้นด้วย Shadow Line ที่เก็บรายละเอียด ด้วยวัสดุตกแต่งโทนสีดำเงา
ส่วนขุมพลังของทั้ง 2 รุ่น ก็มีการ Down Size ลงมาเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ แถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร เสริมแรงด้วย BMW M TwinPower Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้า สร้างเรี่ยวแรงได้ไม่น้อยไปกว่ากันทีเดียว คือ รวม 2 แหล่งพลังงานแล้วมีกำลังถึง 476 แรงม้า กับแรงบิดสูงถึง 700 นิวตันเมตร เลยทีเดียว
แต่ก่อนจะไปสนุกกับ BMW XM 50e (Shadow Line) มาดูกันก่อนว่าความแตกต่างระหว่างรุ่นเริ่มต้น BMW XM 50e และ BMW XM 50e (Shadow Line) มีอะไรบ้าง เริ่มจากภายนอก จัดสรรมาให้เท่าเทียมกันทุกอย่างยกเว้น ชุดตกแต่งวัสดุสีดำเงา และล้ออัลลอย M ขนาด 23 นิ้วลาย Star Spoke แบบสลับสี ซึ่งจะมีให้เฉพาะรุ่นย่อย Shadow Line เท่านั้น
ต่อเนื่องไปที่ภายในห้องโดยสาร ที่ต้องบอกว่าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็แอบมีความต่างเล็กน้อยในส่วนของชุดเครื่องเสียงที่ในรุ่นย่อย Shadow Line จะอัพเกรดไปใช้แบรนด์ Bowers & Wilkins Diamond
ในส่วนของขุมพลังทั้ง BMW XM 50e และ BMW XM 50e (Shadow Line) ใช้เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น คือ เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบขนาด 3.0 ลิตร เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ M Twin Power Turbo มีกำลังสูงสุด 313 แรงม้า กับแรงบิด 450 นิวตันเมตร
จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid ที่มีกำลังอีก 197 แรงม้า และแรงบิด 280 นิวตันเมตร รวมแล้วทั้ง 2 ระบบมีเรี่ยวแรงทั้งสิ้นถึง 476 แรงม้า และแรงบิด 700 นิวตันเมตร
ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ M Steptronic พร้อม Drivelogic สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M xDrive ซึ่งสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.1 วินาที, สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV) เพียงอย่างเดียวได้ถึง 140 กม. และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม.
ไม่เพียงตัวเลขเท่านั้นที่เร้าใจ หากแต่ยังมีการใส่รายละเอียดความเป็น M ต่างๆ เข้าไป เพื่อบ่งบอกว่านี่คือสายพันธ์ุ M แบบ Original ไม่ว่าจะเป็นปุ่มสตาร์ทสีแดงสด, หัวเกียร์ประทับโลโก้ M พร้อมเดินด้าย 3 สี, พวงมาลัย BMW M ที่มากับปุ่ม M1 / M2 และแป้น Paddle Shift คาร์บอนหลังพวงมาลัย ตลอดจนปุ่ม M Mode
และของใหม่สุดๆ อย่างปุ่ม M Hybird ด้วยเพราะนี่คือรุ่นแรกของ BMW M ในรูปแบบ Plug-in Hybrid แม้กระทั่งระบบ M Launch Control หรือ ช่วงล่าง Adaptive M Suspension Professional ก็ตาม
ที่สำคัญ ด้วยความเป็น M แถมยังเป็น M แบบ Plug-in Hybrid รุ่นแรกของแบรนด์เลยทำให้ฟังก์ชั่นต่างๆ รวมถึงโหมดการขับขี่มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น M Mode ธรรมดา หรือแม้กระทั่ง M Hybrid ตลอดจนสามารถปรับแยกแบบ Individual ได้อีกด้วย ซึ่งถ้าจะให้เล่าเรื่องจนหมด เราเดาว่าคงเบื่อจะอ่านเป็นแน่
เพราะงั้นเราจึงเลือกขับขี่ปกติ และใช้โหมดการขับขี่ปกติ แบบที่คุ้นเคยกันมากกว่าจะเจาะลึกเข้าไปปรับแต่งอะไรใดๆ ในฟังก์ชั่นอื่น เริ่มจาก Normal Mode ที่ต้องบอก “เกินพอ” กับในเรื่องของสมรรถนะ เพราะเพียงแค่กดคันเร่ง แรงบิดระดับ 700 นิวตันเมตร ก็เริ่มจู่โจมทันที แต่การจู่โจมครั้งนี้ต้องบอกว่าเหนือความคาดหมาย
เพราะเป็นการจู่โจมที่สุภาพเรียบร้อย ค่อยๆ รั้งตัวเราเอาไว้กับเบาะ แล้วก็ออกตัวไปอย่างสวยงาม ส่วนใน Sport Mode บอกเลยว่าดุดันกว่า มีความกระชากกระชั้นมันส์ๆ แต่ไม่ได้โหดร้าย ตอบสนองฉับไวต่อการกดคันเร่ง จนเราเองยังสงสัย
ว่านี่คือยนตรกรรม Hybrid จริงรึป่าว ? … แต่ท้ายที่สุดเราก็นึกว่าว่าอีกหนึ่งนัยยะ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ กำลังบอกว่า BMW XM 50e มีการปรับเซ็ทในเรื่องการลำเลียงกำลังลงสู่พื้นได้ดีมากจนน่าประทับใจเลยทีเดียว
และด้วยบุคลิกดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้การขับขี่ในเมือง เป็นเรื่องสนุกแบบง่ายๆ ทั้งจากมิติตัวถังขนาดใหญ่ ที่รู้สึกโปร่งโล่งสบาย และออปชั่นต่างๆ ที่สร้างความเพลิดเพลินให้ผู้ขับขี่ได้ไม่ยาก มากกว่านั้น คือ การตอบสนองที่ฉับไว
ลงตัวกับพวงมาลัยที่เฉียบคม จนทำให้รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่อย่าง XM ที่มีน้ำหนักตัวราว 2.7 ตัน สามารถเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางการจราจรคับคั่งได้แบบที่เรียกว่าเกินคาดความคาดหมาย
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกอยากใช้ชีวิตท่ามกลางการจราจรในเมืองมากกว่า ด้วยเพราะเราเชื่อมั่นในขีดความสามารถของ XM 50e ที่มีพื้นฐานมาจากรถ M Car ฉะนั้นการเดินทางด้วยความเร็วสูง จึงเป็นเรื่องที่วางใจได้สบายๆ
ทั้งในเรื่องของพละกำลัง ที่สนองตอบการเร่งแซงได้แบบหายห่วง ไปจนถึงระบบช่วงล่างแบบ Adaptive M Suspension Professional ที่สามารถปรับเซ็ทให้ตอบโจทย์ความต้องการอย่างครบคลุม และนั่นทำให้เราเชื่อมั่นว่า XM50e เอาอยู่แน่ๆ แม้ไม่ต้องลองขับก็ตาม
แต่สิ่งที่รั้งเราให้เลือกที่จะใช้ชีวิตในเมืองเป็นหลัก ก็คือ “เซอร์ไพรส์” เรื่องความคล่องตัวสุดประทับใจ จากรถพิกัดใหญ่ยักษ์ ความยาว 5,110 มม. ความกว้าง 2,005 มม. และความสูง 1,755 มม. กับน้ำหนักรถระดับ 2.7 ตัน ซึ่งถ้านึกภาพตาม คุณจะรู้เลยว่า XM 50e ไม่ต่างอะไรกับ “ยักษ์” หรือพูดง่ายๆ คือ เทียบเคียงได้กับ BMW X7
แต่ขับ BMW X7 ในเมือง ก็อาจไม่รู้สึกสนุกเท่ากับ XM 50e และนั่นจึงทำให้เราเลือกเร้าใจกับการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก เพราะมียนตรกรรมอเนกประสงค์ขนาดใหญ่เพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนความรู้สึกน่าหงุดหงิดของการจราจรคับคั่ง ให้กลายเป็นความสนุกสนาน และไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
แต่ครั้นจะให้เรามุดอยู่แต่ในเมืองเลย ก็ดูจะเกินไปหน่อย เพราะงั้นเราเลยลองหาจังหวะว่างๆ ออกไปลองหาความตื่นเต้นดูบ้าง ซึ่งก็บอกเลยว่าไม่ทำให้ผิดหวัง เล่นเอาอะดรีนาลีนหลั่งไม่ขาดสาย ทุกครั้งที่กดคันเร่งในโหมด Sport ซึ่งหากคนที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
บอกเลยว่าแค่โหมด Normal ก็เหลือจะเพียงพอเลยทีเดียว ซึ่งไม่ใช่บนทางโล่งๆ นอกเมืองเท่านั้น แต่โหมด Normal ก็สามารถมอบความคล่องตัวให้สัมผัสในการใช้งานในเมืองด้วยเช่นกัน
ท้ายสุดสำหรับ BMW XM 50e (Shadow Line) ต้องยอมรับว่าเป็น SUV ที่ติดอาวุธมาให้ครบเครื่องอย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องของการใช้งานสไตล์ยนตรกรรมอเนกประสงค์ และออปชั่นอำนวยความสะดวกต่างๆ ส่วนเรื่อง “สมรรถนะ” บอกเลยว่าสาวก M Performance เค้ารู้กันแบบไม่ต้องสงสัย ซึ่งนั่นแหละคือ “สิ่งที่เราหลงรัก”
ส่วน “สิ่งที่แอบนอยด์” นิดหน่อย ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ เรื่องของงานดีไซน์ ด้วยเส้นสายที่วัยเราๆ ตามไม่ทัน เพราะงั้นจุดนี้ก็นานาจิตตัง กับทั้งหมด ทั้งมวลที่ว่ามา กับค่าตัวราว 6,999,000 บาท เพราะงั้น จะโดนใจ มากน้อยขนาดไหน แนะนำว่า ถ้ามีโอกาสควรไปลองซะให้รู้
Specification: BMW XM 50e (Shadow Line)
- Price: 6,999,000 BHT
- Engine: 2,998 CC / 6 Cylinder / 24 Valve 313 hp @ 5,000 – 6,500 rpm / 450 Nm @ 1,750 – 4,700 rpm
- Electric Motor: 197 hp / 280 Nm
- Transmission: 8A/T M Steptronic
- Performance: 0 – 100 Km/h @ 5.1 Sec / Top Speed @ 250 Km./h
- Weight: 2,695 Kg.
Special Thanks:
Pit Stop Bangkok คาเฟ่สำหรับคนรักรถ เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายทำ
สำหรับผู้ชื่นชอบการจิบเครื่องดื่ม, ทานอาหาร ท่ามกลางบรรยากาศสไตล์คนรักรถ หรือต้องการจัดมีตติ้งคาร์คลับ (มีที่จอดรถกว้างขวาง) Torque Magazine ขอแนะนำ Pit Stop Bangkok คาเฟ่สำหรับคนรักรถโดยเฉพาะ
ช่องทางการติดต่อ
- Facebook Page: https://www.facebook.com/pitstop.bangkok
- Instagram: https://www.instagram.com/pitstop.bangkok/