รีวิว ลองขับ Honda City e:HEV RS ระบบขับเคลื่อน Full Hybrid e:HEV แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร และอัตราประหยัดน้ำมันสูงสุด 27.8 กม. / ลิตร*
รีวิว ลองขับ Honda City e:HEV RS รถไฮบริดซีดาน ราคา 839,000 บาท
Honda City e:HEV RS (Sedan)
“แม้ไม่ต้องดูตัวเลขยอดจำหน่าย แต่การมาถึงของ New Honda City เวอร์ชั่น MC คงเป็นเรื่องตอกย้ำกระแสความร้อนแรงได้ดี … และนี่คือ New City e:HEV RS ในรูปแบบ Sedan กับ ศักยภาพที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง
หลายๆ คนอาจะมองว่าการมาถึงของ New Honda City เวอร์ชั่น MC (Minor Change) อาจเป็นแค่หนึ่งในแผนงานของ “วงจรชีวิต ผลิตภัณฑ์” หรือ Product Life Cycle (PLC) ซึ่งพูดตรงๆ ว่า “ในแง่มุมหนึ่ง อาจจะใช่ … แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง อาจจะไม่ใช่”
เพราะหากสังเกตรอบตัวดีๆ คุณจะเห็น Honda City รุ่นปัจจุบัน เพิ่มจำนวนบนท้องถนนมากขึ้น จนดูเหมือนสิ่งนั้นจะ “สื่อ” ถึงกระแสตอบรับอันล้นหลามอย่างปฏิเสธไม่ได้
แถมยังอาจจะกลายเป็นสิ่งเร้า ที่ทำให้ให้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ต้องรีบเข็นเอาเวอร์ชั่น MC (Minor Change) ของ New Honda City ออกมาเร็วกว่าที่วางแผนไว้ก็เป็นได้ เพราะถ้าจำไม่ผิด
ขนาดเราเอง ยังรู้สึกว่า “เร็วมาก” ในการกลับมาเจอกันอีกครั้ง จากเจเนอเรชันที่แล้ว จนมาถึงเจเนอเรชันล่าสุด เวอร์ชั่น MC (Minor Change) … แต่จะอย่างไรก็ตาม นี่คือ “เรื่องดี” สำหรับผู้บริโภคชาวไทยแน่นอน
สำหรับ New Honda City เวอร์ชั่น MC (Minor Change) ถูกเปิดตัวขึ้นทั้งหมด 5 รุ่นย่อย แบ่งเป็นรุ่นเครื่องยนต์ VTEC Turbo ทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นที่ 629,000 บาท ในรุ่นย่อย V, 679,000 บาท ในรุ่นย่อย SV และ 749,000 บาท ในรุ่นย่อย RS
ขณะที่อีก 2 รุ่น คือ Full Hybrid e:HEV เริ่มต้นราคาที่ 769,000 บาท ในรุ่นย่อย SV และ 839,000 บาท ในรุ่นย่อย RS พระเอกของเราในครั้งนี้นั่นเอง
ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่สร้างความโดดเด่นให้เวอร์ชั่น MC (Minor Change) และในฐานะของรุ่นท็อปสุดแบบ ฉบับ RS จะประกอบด้วย ชุดกระจังหน้าสีดำเงา, ชุดกันชนหน้า, ชุดกันชนหลัง, สเกิร์ตข้าง และสปอยเลอร์หลัง ดีไซน์ใหม่
พร้อมมือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ ทั้งยังเสริมความสปอร์ตด้วย ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำเงา, เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำเงา และล้ออัลลอยแบบทูโทนสไตล์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
มีออปชันมาตรฐานที่ติดตั้งมาให้ เช่น ชุดไฟหน้าแบบ LED, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED, ไฟท้ายแบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED และระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา พร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
ภายในห้องโดยสารเรียกว่ายังคงมีความคุ้นเคยในเรื่องของรูปแบบงานดีไซน์ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความต่าง ต้องยกให้การปรับเปลี่ยนในส่วนของวัสดุ และโทนสี อาทิ บนคอนโซลหน้าที่ตกแต่งด้วยโทนสีแดงเมทัลลิค เข้ากันกับวัสดุหุ้มเบาะหนังแท้ และหนังสังเคราะห์ โทนสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ซึ่งช่วยยกระดับความสปอร์ตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พร้อมด้วยออปชันอำนวยความสะดวก ที่ยังคงจัดมาให้แบบครบๆ รักษามาตรฐานความสามารถในการตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างดี เช่น มาตรวัด พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว จับคู่กับเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
ตลอดจน Bluetooth และระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT หรือแม้กระทั่งรองรับการเชื่อมต่อโดยช่อง USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง กับด้านหลังแบบ Type-C อีก 2 ตำแหน่ง
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ที่มาพร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์, ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift), ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ที่มากับช่องปรับอากาศตอนหลัง
มากไปกว่านั้น คือ เรื่องของระบบความปลอดภัย ต้องยอมรับว่าครบเครื่องระดับน้องๆ ซีดานพี่ใหญ่ในค่ายเลยทีเดียว กับออปชันระดับไฮไลท์ เช่น เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่มาพร้อม 6 ฟังก์ชันหลักในการทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า
อาทิ ระบบเตือนการชน พร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System : CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Assist System : LKAS), ระบบเตือน และช่วยควบคุม เมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW),
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam : AHB), ระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (with Low-Speed Follow: with LSF) และล่าสุด คือ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System : LCDN)
ตามมาด้วยระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch), กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera), ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
และระบบ Auto Brake Hold ตลอดจน ถุงลมนิรภัย ที่นอกจากจะมากับคู่หน้า และถุงลมด้านข้างคู่หน้าแล้ว ยังเพิ่มเติมม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างมาให้เป็นมาตรฐาน
ที่รวมไปถึง ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย, เข็มขัดนิรภัยด้านหน้า และหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ และเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า, ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder), จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor),
ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed), ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock), ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
ตลอดจนระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA), ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) แล้วก็ยังมี สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) อีกด้วย
เรียกว่าเห็นรายชื่อออปชัน เรายังอดสงสัยไม่ได้ ว่านอกจากถุงลมนิรภัยแล้ว เราจะสามารถใช้งานกันได้หมดทุกอย่างเนี่ย ซึ่งพนันได้เลยว่า “ยาก” แน่ ถ้าแค่ยืมมาไม่กี่วัน ฉะนั้นงานนี้เลยลงท้ายแบบเดิม คือ เน้นไปที่สัมผัสภาพรวมของสมรรถนะการขับขี่เป็นหลัก
โดย Honda City e:HEV RS (Sedan) เวอร์ชั่น MC (Minor Change) ยังคงขับเคลื่อนด้วยระบบ Full Hybrid e:HEV ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำหน้าที่เป็น Generator ปั่นไฟ 1 ตัว และขับเคลื่อนอีก 1 ตัว โดยรองรับพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน
สร้างกำลังแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ผ่านการส่งกำลังโดยชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ซึ่งยังคงคอนเฟิร์มว่ามีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร ที่สำคัญ ระบบขับเคลื่อน Full Hybrid e:HEV ยังมากับโหมดขับขี่ที่เลือกได้ 3 รูปแบบ คือ EV Drive Mode, Hybrid Drive Mode และ Engine Drive Mode
ในส่วนของภาพรวมการขับ พูดได้อย่างเต็มปากว่า “ใกล้เคียง” กับ เวอร์ชั่น Hatchback e:HEV ที่เคยสัมผัสในครั้งก่อน อย่างแรกเลย คือ ความเป็น “ผู้ใหญ่” ที่รู้สึกได้เยอะกว่า
ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับรูปลักษณ์สไตล์ Sedan แต่ยังถือว่าดีงามอยู่ไม่น้อย สำหรับรุ่นย่อย RS ที่มีจุดเด่นเรื่องสไตล์สปอร์ต เลยทำให้ Honda City e:HEV RS (Sedan) มีรูปลักษณ์ที่ “ชวนมอง” มากขึ้น
กลับมาที่อารมณ์การขับขี่ Honda City e:HEV RS (Sedan) ในภาพรวม ค่อนไปทางยนตรกรรมขนาดกลาง – ใหญ่ ไล่มาตั้งแต่ช่วงล่างที่มีความนุ่ม และแน่น มั่นใจได้ว่าเป็นผลพวงจากการปรับเซ็ทใหม่ เพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับน้ำหนัก และการตอบสนองของพวงมาลัย ที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก มากกว่าเวอร์ชั่น VTEC Turbo ทำให้โดยสรุปแล้วเวอร์ชั่น e:HEV จะเป็นไปในแนวทางนิ่ง และสุขุมกว่า ขณะที่เวอร์ชั่น VTEC Turbo จะเปรี้ยวซ่าส์ได้มากกว่า
จากพวงมาลัยที่มีน้ำหนัก สร้างบุคลิกที่นิ่ง และสุขุมกว่า ของเวอร์ชั่น e:HEV ข้อดี ก็คือ ความมั่นใจที่มากกว่า เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วเดินทาง ส่วนในความเร็วต่ำๆ อาจจะรู้สึกขาดสภาพคล่องไปบ้าง (ถ้าเทียบกับเวอร์ชั่น VTEC Turbo) แต่สรุปโดยรวมสำหรับเราแล้ว ซึ่งค่อนข้างชอบฟิลลิ่งการขับแบบหนักแน่นเป็นทุน คงตอบได้ว่าไม่ใช่ปัญหาใดๆ ในการขับขี่
สำหรับสมรรถนะการขับเคลื่อน ตัวเลขแรงบิดระดับ 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที บอกเลยว่าสร้างความประทับใจได้ดีทั้งในช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง จากความเร็วต่ำๆ หรือแม้แต่จังหวะเร่งแซง แต่ทั้งหมด ทั้งมวล คือ อยู่ภายใต้พฤติกรรมการขับขี่ที่เรียกว่า “เนียน” คันเร่ง
ด้วยเพราะโจทย์แรก คือ ลักษณะนิสัยของเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ขณะที่อีกหนึ่งโจทย์ก็คือ วัตถุประสงค์ของระบบ Full Hybrid e:HEV หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ เน้นประหยัด เน้นการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นการตะบี้ตะบัน กดคันเร่งหนักๆ จึงที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ นอกจากได้เสียงแผดกร้าวสร้างความสะใจเท่านั้น
หลังจากค้นพบพฤติกรรมเหมาะ สิ่งหนึ่งที่ได้มาพร้อมๆ กัน ก็คือ เราค้นพบ “ความสบาย” ในการขับขี่ เพราะแม้ Honda City e:HEV RS (Sedan) จะเป็นรถที่มีกำลังมากพอ เพื่อตอบสนองทุกจังหวะการขับ แต่การใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา ควบคู่กับการขับขี่สไตล์ “เนียน” คันเร่ง คือ สิ่งที่จะทำให้ “ความสบาย” แบบที่เราว่า มีภาพที่ชัดเจนขึ้นไปอีก
เนื่องจากไม่ใช่แค่ “ความสบาย” ที่จะได้สัมผัส ในการขับ หรือในการเดินทางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วย จากตัวเลขโรงงานที่เคลมกันไว้ถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร แถมยังรองรับเชื้อเพลิงได้ถึงระดับ E20 อีกด้วย เรียกว่า “คุ้มค่า” สุดๆ ในเรื่องเชื้อเพลิง หากไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อนเท้าหนัก
ส่วนเรื่องออปชัน และบุคลิกในการขับ อันนี้เราเดาว่า น่าจะเหมาะสมกับใครซักคันที่เน้นหลักๆ เรื่อง “การใช้งาน” แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น เราแนะนำให้ไปที่โชว์รูมใกล้บ้าน แล้วทดลองขับจริงจังซักนิดดีกว่า เพราะท้ายที่สุด Honda City e:HEV RS (Sedan) จะสามารถตอบโจทย์คุณได้เอง ว่าค่าตัว 839,000 บาท นั้น ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรือไม่ … ?
Specification: Honda City e:HEV RS (Sedan)
- Price: 839,000 BHT
- Engine: 1,498 CC / 4 Cylinder / 16 Valve 98 hp @ 5,600 – 6,400 rpm / 127 Nm @ 4,500 – 5,000 rpm
- Electric Motor: 109 @ 3,500 – 8,000 rpm / 253 Nm @ 0 – 3,000 rpm
- Transmission: E-CVT
- Performance: 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight: 1,232 Kg.